ในช่วงสีจิ้นผิงขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนใหม่ๆ ประมาณปี 2012 นั้น มีชายคนหนึ่งชื่อป๋อซีไหลเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในพรรคคอมมิวนิสต์ ถึงขั้นมีคำกล่าวที่ว่า “หากสีไม่ได้เป็นผู้นำ ก็คงเป็นป๋อซีไหลนี่แหละ”
แต่ไปๆ มาๆ ก่อนสีเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ถูกริบยศและตำแหน่งทั้งหมด และถูกจำคุกในอีก 1 ปีถัดมา กลายเป็น “ดาวดับ” ในทันทีจากกรณีอื้อฉาว ท่ามกลางข้อครหาว่าเป็นการ “กวาดล้าง” ภายในพรรคเพราะมีคนคิดชิงอำนาจสี
บทความนี้จะพาไปดูประวัติของชายคนนี้ ตั้งแต่บุญพาวาสนาส่งเกือบได้ไปอยู่ ณ จุดสูงสุดของอำนาจ จนถึงวันที่ขัดแย้งกับ “ท่านผู้นำ” จนหมดอนาคตกันครับ
*** ชีวิตวัยเยาว์ที่ผันผวน ***
"ป๋อซีไหล" เกิดเมื่อปี 1949 เป็นบุตรของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีชื่อเสียงนาม "ป๋ออี้โป" ซึ่งมีตำแหน่งสูง
ป๋ออี้โปเคยเป็นถึง 1 ใน 8 ผู้อาวุโส (Great Eminent Officials) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ร่วมรบกับเหมาเจ๋อตงมาก่อน และเคยเป็นรัฐมนตรีคลังในช่วงตั้งประเทศใหม่ๆ
ภาพแนบ: ป๋ออีโปวัยหนุ่ม
แต่ป๋ออี้โปกลับเสียตำแหน่งในปี 1965 หลังขัดแย้งกับผู้นำคนอื่นในเรื่องนโยบายเปิดรับชาติตะวันตก ส่วนแม่ป๋อซีไหลถูกพวกเรดการ์ดพาตัวไปและเสียชีวิตในที่สุด ...ถ้าไม่ใช่ฆ่าตัวตายก็คือถูกเรดการ์ดทำร้ายจนตาย
ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ป๋อซีไหลวัย 17 ปียังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่ง เขาถูกตีตราว่าเป็น “พวกต้านการปฏิวัติ” ตามพ่อ
ภาพแนบ: ป๋อซีไหลวัยหนุ่มกับภรรยาคนแรก
ป๋อซีไหลถูกจับเข้าคุกนานถึง 5 ปี จนเมื่อเหมาเสียชีวิตจึงได้รับการปล่อยตัว เขาทำงานในโรงงานซ่อมฮาร์ดแวร์ในปักกิ่ง
จากนั้นป๋อซีไหลเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้มีโอกาสเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกครั้งในปี 1980
...ดูตามนี้แล้ว ดราม่าในวัยเด็กของเขาไม่ต่างจากสีจิ้นผิงนัก…
ภาพแนบ: เจียงเจ๋อหมิน
*** นายกฯ เล็กไกลปืนเที่ยง ***
ตระกูลป๋อเริ่มมีอิทธิพลทางการเมืองอีกครั้ง เพราะป๋ออี้โปพ่อของเขาได้กลับมาได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และมีบทบาทในการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง
ป๋ออี้โปช่วยกรุยทางให้แก่เจียงเจ๋อหมินในการสืบทอดตำแหน่งเลขาธิการพรรค ซึ่งทำให้เขาและลูกชายเติบโตในหน้าที่การงานตามไปด้วย
ภาพแนบ: ต้าเหลียนในปัจจุบัน
ป๋อซีไหลได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการพรรคประจำเทศบาลจิน (ปัจจุบันคือเขตจินโจว เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง)
ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งจนเป็นเลขาธิการพรรคในเขตจินโจวซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จนได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองต้าเหลียนในปี 1993 รวมเวลาไต่เต้า 13 ปี
ภาพแนบ: สะพานอ่าวหางโจว กว้าง 6 เลน
ผลงานในฐานะนายกเทศมนตรีต้าเหลียนได้แก่ การพัฒนาเมืองให้กลายเป็นมหานครที่มีความทันสมัยจนได้ฉายาเป็น “ฮ่องกงแห่งภาคเหนือ” จากการสร้างทางด่วนขนาดใหญ่, ทำโครงการโครงสร้างพื้นฐานและงานสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ทว่าถึงเขาจะทำให้ดินแดนในปกครองเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก แต่ก็ถูกวิจารณ์อยู่เหมือนกัน เพราะถูกมองว่าให้ความสำคัญกับความสวยงามมากเกินไป และมีการย้ายประชากรออกไปอยู่นอกเมืองเพื่อเวนคืนพื้นที่อยู่อาศัยมาก่อสร้าง
ในปี 1997 พ่อเขาพยายามวิ่งเต้นรณรงค์ให้เขาได้รับเลื่อนขั้นเป็นคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ
ครอบครัวช่วยกันรณรงค์โปรโมตความสำเร็จของป๋อซีไหลในตำแหน่งนายกเทศมนตรีต้าเหลียนไปทั่วประเทศ ถึงขั้นจ้างนักประพันธ์เขียนรายงานว่าเขาเป็น “รัฐบุรุษเหมือนกับเฮนรี คิสซิงเจอร์, ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเหมือนอัล กอร์ และมีคนรักมากมายพอๆ กับเจ้าหญิงไดอานา”
ภาพแนบ: โครงสร้างพรรคคอมมิวนิสต์จีน (คณะกรรมการกลางเป็นตำแหน่งสูงกว่าสภา อยู่ต่ำกว่าโปลิตบูโร)
...แต่สุดท้ายป๋อซีไหลก็ไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญ เชื่อว่ามีสาเหตุจากการต่อต้านการเล่นญาติในพรรค และเขาถูกเหม็นขี้หน้าเนื่องจากถูกมองว่าเป็น “เด็กเส้น” ตั้งแต่สมัยอยู่ต้าเหลียนแล้ว (ตรงนี้ก็เหมือนสีอีกแล้ว
ภาพแนบ: มณฑลเหลียวหนิง
*** ขยับเป็นผู้ว่าการมณฑล ***
แต่ดูเหมือนว่าฟ้าเป็นใจ เมื่อผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชัน
เจียงเจ๋อหมินซึ่งเป็นประธานาธิบดีจีนในขณะนั้นนึกถึงบุญคุณที่ตระกูลป๋อที่ช่วยเหลือตนให้กระชับอำนาจได้สำเร็จ จึงช่วยสนับสนุนป๋อซีไหลให้ได้เป็นผู้ว่าการมณฑลเต็มตัวในปี 2003 และต่อมายังได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
ภาพแนบ: ฝักฝ่ายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เกือบตลอดชีวิตการเมืองของป๋อซีไหลนั้นสวามิภักดิ์อยู่กับกลุ่มของเจียงเจ๋อหมินซึ่งมีอุดมการณ์เน้นการค้าเสรี, สนับสนุนการส่งออก, และเน้นพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองแถบชายฝั่ง
สมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้มักประกอบด้วยเหล่า “เจ้าชายน้อย” หรือลูกของอดีตผู้นำพรรคระดับสูง และกลุ่มนักธุรกิจและผู้นำของเมืองแถบชายฝั่ง
ภาพแนบ: หูจิ่นเทา
ตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจของหูจิ่นเทา ซึ่งประกอบด้วยผู้นำชนบท, ปัญญาชนสายสังคมนิยม, และผู้ที่ไต่เต้าขึ้นมาจากสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ หรือพูดง่ายๆ ว่ารากหญ้ากว่า
สำหรับสีจิ้นผิงเดิมอยู่ในกลุ่มเจียงเจ๋อหมิน อย่างไรก็ตามมีท่าทีที่สามารถคุยได้กับทุกฝ่าย และการที่เข้าได้ขึ้นสู่อำนาจนั้น เชื่อว่ามาจากการตกลงแบ่งอำนาจกันระหว่าง 2 กลุ่ม
ป๋อเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงอยู่ 1 ปี ระหว่างนั้นเขาดำเนินนโยบายพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นที่เคยชะลอตัว (หลังรัฐบาลหันไปให้ความสนใจกับการปฏิรูปเศรษฐกิจในแถบชายฝั่งตะวันออกมากกว่า) ให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
นอกจากนั้นยังส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศทำให้มีเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในปีเดียว
ภาพแนบ: กลุ่มผู้นับถือฝ่าหลุนกงในนิวยอร์ก
นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องอื่นๆ อีก ที่ร้ายแรงก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝ่าหลุนกง
ฝ่าหลุนกงเป็นกลุ่มความเชื่อที่สอนเรื่องการปฏิบัติสมาธิและการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เคยให้การสนับสนุน แต่ต่อมากลับสั่งห้ามและกวาดล้างอย่างรุนแรง เพราะระแวงที่กลุ่มนี้มีขนาดใหญ่โตมาก (สมาชิกประมาณ 70 ล้านคน), หัวหน้ามีความเป็นอิสระไม่ถูกควบคุมจากรัฐบาล, และสอนเรื่องทางจิตวิญญาณ
สำหรับวิธีการกวาดล้างนั้นก็มีตั้งแต่การจับกุมดำเนินคดี, การโฆษณาชวนเชื่อป้ายสี, การเซ็นเซอร์ข่าว, การจับกุมตามอำเภอใจ, การทรมานและวิสามัญฆาตกรรม รวมทั้งการฆ่าเพื่อเอาอวัยวะ
ภาพแนบ: ภาพที่หลุดออกมาว่าผู้คุมคุกใช้ไม้ร้อนๆ นาบไปบนขาเพื่อทรมานให้เลิกเชื่อฝ่าหลุนกง
ตัวป๋อซีไหลถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการปราบปรามพวกฝ่าหลุนกงอย่างป่าเถื่อนในเมืองต้าเหลียน มีการทรมานและฆ่าสมาชิกกลุ่มเพื่อเอาอวัยวะไปปลูกถ่าย
(ศาลสเปนยังเคยตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย จากที่สมาชิกฝ่าหลุนกงในต่างประเทศฟ้องคดี แต่เป็นคำพิพากษาเชิงสัญลักษณ์มากกว่า)
*** แจ้งเกิดในตำแหน่ง รมต. พาณิชย์ ***
เมื่อหูจิ่นเทาเป็นเลขาธิการพรรคคนถัดมาในปี 2002 ป๋อก็ได้เข้าสู่การเมืองระดับชาติโดยได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ และยังได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการกลางของพรรค (ซึ่งเป็นสถาบันการเมืองที่มีอำนาจสูงสุด)
การเลื่อนขั้นจากข้าราชการท้องถิ่นไปเป็นนักการเมืองระดับชาติทำให้ได้รับความสนใจจากสื่ออย่างมากทั้งในและต่างประเทศ
มีการมองว่าเขาเป็น “ดาวรุ่งทางการเมือง” ด้วยปัจจัยที่อายุไม่มาก, มีบุคลิกใจกว้าง, มีแนวคิดประชานิยม, นอกจากนั้นยังหน้าตาดีจนได้รับความนิยมในหมู่นักข่าวหญิง เคยมีสื่อชมว่าเขามีเสน่ห์เหมือนกับจอห์น เอฟ. เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ภาพแนบ: ป๋อซีไหลสมัยเป็นรัฐมนตรีเดินทางเยือนสหรัฐ
สมัยเป็นรัฐมนตรีป๋อรับแขกและผู้แทนต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง เขาพูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วน่าประทับใจ และด้วยทัศนะแบบ “นอบน้อมประนีประนอมแต่ไม่ยอมถอย” ทำให้เจรจาสำเร็จเป็นอันมาก
เช่นเมื่อครั้งที่เดินทางไปเยือนสหรัฐ เขาได้เจรจากับรัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกัน สามารถลงนามข้อตกลงทั้งในด้านทรัพย์สินทางปัญญา, ภาคบริการ, ผลิตภัณฑ์เกษตร, ความปลอดภัยด้านอาหาร, และการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผลสำเร็จ
ด้านภายในประเทศ ป๋อซีไหลได้ปรับนโยบายให้รัฐสนใจทั้งการลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศ พยายามลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติ และให้การคุ้มครองบริษัทจีนจากการแข่งขันจากต่างประเทศ แสดงถึงความสามารถเป็นอย่างดี
ภาพแนบ: ทิวทัศน์เมืองฉงชิ่ง
*** “เลื่อนตำแหน่ง” ไปที่ฉงชิ่ง ***
ในปี 2007 ป๋อซีไหลถูกส่งไปเป็นเลขาธิการพรรคประจำฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเทศบาลใหญ่ แต่ก็พูดยากว่านับเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่ เพราะในด้านหนึ่งแม้ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งใหญ่ที่มีอำนาจ เป็นสมาชิกโปลิตบูโร (คณะกรรมการบริหารพรรค) แต่ฉงชิ่งในเวลานั้นเต็มไปด้วยปัญหาหนัก เช่นปัญหาว่างงาน, ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนสามผา, และปัญหาด้านสาธารณสุข
มีกระแสว่าจริงๆ ป๋อต้องการเป็นรองนายกรัฐมนตรีมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นเพราะมีแรงเสียดทานจากนายกรัฐมนตรีเหวินเจียเป่าที่ให้เหตุผลว่าป๋อเป็นพวกชอบโฆษณาตัวเอง และเคยมีคดีความเรื่องฝ่าหลุนกงในต่างประเทศ เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดี
ภาพแนบ: การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองฉงชิ่งก็เป็นนโยบายหนึ่งของป๋อซีไหล
แม้ในตอนแรกป๋อไม่ได้รู้สึกดีมากนักกับตำแหน่งใหม่นี้ แต่ไม่ช้านานเขาก็มุ่งมั่นใช้ตำแหน่งเป็นบันไดเพื่อกลับไปทวงตำแหน่งในเวทีระดับชาติอีกครั้ง
เขาริเริ่ม “ฉงชิ่งโมเดล” ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจแบบตลาดที่ปฏิรูปมาตั้งแต่ยุคเติ้งเสี่ยวผิงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมาก
การนี้นับว่ากล้าหาญ และทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็น “ฝ่ายซ้ายใหม่” สามารถเรียกการสนับสนุนจากผู้นิยมแนวคิดเหมาเจ๋อตงและผู้นิยมประชาธิปไตยสังคมนิยมเป็นอันมาก
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** คดีป๋อซีไหล: ลำนำอำนาจสีจิ้นผิง ***
แต่ไปๆ มาๆ ก่อนสีเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ถูกริบยศและตำแหน่งทั้งหมด และถูกจำคุกในอีก 1 ปีถัดมา กลายเป็น “ดาวดับ” ในทันทีจากกรณีอื้อฉาว ท่ามกลางข้อครหาว่าเป็นการ “กวาดล้าง” ภายในพรรคเพราะมีคนคิดชิงอำนาจสี
บทความนี้จะพาไปดูประวัติของชายคนนี้ ตั้งแต่บุญพาวาสนาส่งเกือบได้ไปอยู่ ณ จุดสูงสุดของอำนาจ จนถึงวันที่ขัดแย้งกับ “ท่านผู้นำ” จนหมดอนาคตกันครับ
*** ชีวิตวัยเยาว์ที่ผันผวน ***
"ป๋อซีไหล" เกิดเมื่อปี 1949 เป็นบุตรของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีชื่อเสียงนาม "ป๋ออี้โป" ซึ่งมีตำแหน่งสูง
ป๋ออี้โปเคยเป็นถึง 1 ใน 8 ผู้อาวุโส (Great Eminent Officials) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ร่วมรบกับเหมาเจ๋อตงมาก่อน และเคยเป็นรัฐมนตรีคลังในช่วงตั้งประเทศใหม่ๆ
ภาพแนบ: ป๋ออีโปวัยหนุ่ม
แต่ป๋ออี้โปกลับเสียตำแหน่งในปี 1965 หลังขัดแย้งกับผู้นำคนอื่นในเรื่องนโยบายเปิดรับชาติตะวันตก ส่วนแม่ป๋อซีไหลถูกพวกเรดการ์ดพาตัวไปและเสียชีวิตในที่สุด ...ถ้าไม่ใช่ฆ่าตัวตายก็คือถูกเรดการ์ดทำร้ายจนตาย
ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ป๋อซีไหลวัย 17 ปียังเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่ง เขาถูกตีตราว่าเป็น “พวกต้านการปฏิวัติ” ตามพ่อ
ภาพแนบ: ป๋อซีไหลวัยหนุ่มกับภรรยาคนแรก
ป๋อซีไหลถูกจับเข้าคุกนานถึง 5 ปี จนเมื่อเหมาเสียชีวิตจึงได้รับการปล่อยตัว เขาทำงานในโรงงานซ่อมฮาร์ดแวร์ในปักกิ่ง
จากนั้นป๋อซีไหลเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้มีโอกาสเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกครั้งในปี 1980
...ดูตามนี้แล้ว ดราม่าในวัยเด็กของเขาไม่ต่างจากสีจิ้นผิงนัก…
ภาพแนบ: เจียงเจ๋อหมิน
*** นายกฯ เล็กไกลปืนเที่ยง ***
ตระกูลป๋อเริ่มมีอิทธิพลทางการเมืองอีกครั้ง เพราะป๋ออี้โปพ่อของเขาได้กลับมาได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และมีบทบาทในการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง
ป๋ออี้โปช่วยกรุยทางให้แก่เจียงเจ๋อหมินในการสืบทอดตำแหน่งเลขาธิการพรรค ซึ่งทำให้เขาและลูกชายเติบโตในหน้าที่การงานตามไปด้วย
ภาพแนบ: ต้าเหลียนในปัจจุบัน
ป๋อซีไหลได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการพรรคประจำเทศบาลจิน (ปัจจุบันคือเขตจินโจว เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง)
ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งจนเป็นเลขาธิการพรรคในเขตจินโจวซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จนได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองต้าเหลียนในปี 1993 รวมเวลาไต่เต้า 13 ปี
ภาพแนบ: สะพานอ่าวหางโจว กว้าง 6 เลน
ผลงานในฐานะนายกเทศมนตรีต้าเหลียนได้แก่ การพัฒนาเมืองให้กลายเป็นมหานครที่มีความทันสมัยจนได้ฉายาเป็น “ฮ่องกงแห่งภาคเหนือ” จากการสร้างทางด่วนขนาดใหญ่, ทำโครงการโครงสร้างพื้นฐานและงานสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ทว่าถึงเขาจะทำให้ดินแดนในปกครองเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก แต่ก็ถูกวิจารณ์อยู่เหมือนกัน เพราะถูกมองว่าให้ความสำคัญกับความสวยงามมากเกินไป และมีการย้ายประชากรออกไปอยู่นอกเมืองเพื่อเวนคืนพื้นที่อยู่อาศัยมาก่อสร้าง
ในปี 1997 พ่อเขาพยายามวิ่งเต้นรณรงค์ให้เขาได้รับเลื่อนขั้นเป็นคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ
ครอบครัวช่วยกันรณรงค์โปรโมตความสำเร็จของป๋อซีไหลในตำแหน่งนายกเทศมนตรีต้าเหลียนไปทั่วประเทศ ถึงขั้นจ้างนักประพันธ์เขียนรายงานว่าเขาเป็น “รัฐบุรุษเหมือนกับเฮนรี คิสซิงเจอร์, ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเหมือนอัล กอร์ และมีคนรักมากมายพอๆ กับเจ้าหญิงไดอานา”
ภาพแนบ: โครงสร้างพรรคคอมมิวนิสต์จีน (คณะกรรมการกลางเป็นตำแหน่งสูงกว่าสภา อยู่ต่ำกว่าโปลิตบูโร)
...แต่สุดท้ายป๋อซีไหลก็ไม่ได้รับตำแหน่งสำคัญ เชื่อว่ามีสาเหตุจากการต่อต้านการเล่นญาติในพรรค และเขาถูกเหม็นขี้หน้าเนื่องจากถูกมองว่าเป็น “เด็กเส้น” ตั้งแต่สมัยอยู่ต้าเหลียนแล้ว (ตรงนี้ก็เหมือนสีอีกแล้ว
ภาพแนบ: มณฑลเหลียวหนิง
*** ขยับเป็นผู้ว่าการมณฑล ***
แต่ดูเหมือนว่าฟ้าเป็นใจ เมื่อผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชัน
เจียงเจ๋อหมินซึ่งเป็นประธานาธิบดีจีนในขณะนั้นนึกถึงบุญคุณที่ตระกูลป๋อที่ช่วยเหลือตนให้กระชับอำนาจได้สำเร็จ จึงช่วยสนับสนุนป๋อซีไหลให้ได้เป็นผู้ว่าการมณฑลเต็มตัวในปี 2003 และต่อมายังได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย
ภาพแนบ: ฝักฝ่ายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เกือบตลอดชีวิตการเมืองของป๋อซีไหลนั้นสวามิภักดิ์อยู่กับกลุ่มของเจียงเจ๋อหมินซึ่งมีอุดมการณ์เน้นการค้าเสรี, สนับสนุนการส่งออก, และเน้นพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองแถบชายฝั่ง
สมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้มักประกอบด้วยเหล่า “เจ้าชายน้อย” หรือลูกของอดีตผู้นำพรรคระดับสูง และกลุ่มนักธุรกิจและผู้นำของเมืองแถบชายฝั่ง
ภาพแนบ: หูจิ่นเทา
ตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจของหูจิ่นเทา ซึ่งประกอบด้วยผู้นำชนบท, ปัญญาชนสายสังคมนิยม, และผู้ที่ไต่เต้าขึ้นมาจากสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ หรือพูดง่ายๆ ว่ารากหญ้ากว่า
สำหรับสีจิ้นผิงเดิมอยู่ในกลุ่มเจียงเจ๋อหมิน อย่างไรก็ตามมีท่าทีที่สามารถคุยได้กับทุกฝ่าย และการที่เข้าได้ขึ้นสู่อำนาจนั้น เชื่อว่ามาจากการตกลงแบ่งอำนาจกันระหว่าง 2 กลุ่ม
ป๋อเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงอยู่ 1 ปี ระหว่างนั้นเขาดำเนินนโยบายพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นที่เคยชะลอตัว (หลังรัฐบาลหันไปให้ความสนใจกับการปฏิรูปเศรษฐกิจในแถบชายฝั่งตะวันออกมากกว่า) ให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
นอกจากนั้นยังส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศทำให้มีเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในปีเดียว
ภาพแนบ: กลุ่มผู้นับถือฝ่าหลุนกงในนิวยอร์ก
นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาเรื่องอื่นๆ อีก ที่ร้ายแรงก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝ่าหลุนกง
ฝ่าหลุนกงเป็นกลุ่มความเชื่อที่สอนเรื่องการปฏิบัติสมาธิและการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เคยให้การสนับสนุน แต่ต่อมากลับสั่งห้ามและกวาดล้างอย่างรุนแรง เพราะระแวงที่กลุ่มนี้มีขนาดใหญ่โตมาก (สมาชิกประมาณ 70 ล้านคน), หัวหน้ามีความเป็นอิสระไม่ถูกควบคุมจากรัฐบาล, และสอนเรื่องทางจิตวิญญาณ
สำหรับวิธีการกวาดล้างนั้นก็มีตั้งแต่การจับกุมดำเนินคดี, การโฆษณาชวนเชื่อป้ายสี, การเซ็นเซอร์ข่าว, การจับกุมตามอำเภอใจ, การทรมานและวิสามัญฆาตกรรม รวมทั้งการฆ่าเพื่อเอาอวัยวะ
ภาพแนบ: ภาพที่หลุดออกมาว่าผู้คุมคุกใช้ไม้ร้อนๆ นาบไปบนขาเพื่อทรมานให้เลิกเชื่อฝ่าหลุนกง
ตัวป๋อซีไหลถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการปราบปรามพวกฝ่าหลุนกงอย่างป่าเถื่อนในเมืองต้าเหลียน มีการทรมานและฆ่าสมาชิกกลุ่มเพื่อเอาอวัยวะไปปลูกถ่าย
(ศาลสเปนยังเคยตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วย จากที่สมาชิกฝ่าหลุนกงในต่างประเทศฟ้องคดี แต่เป็นคำพิพากษาเชิงสัญลักษณ์มากกว่า)
*** แจ้งเกิดในตำแหน่ง รมต. พาณิชย์ ***
เมื่อหูจิ่นเทาเป็นเลขาธิการพรรคคนถัดมาในปี 2002 ป๋อก็ได้เข้าสู่การเมืองระดับชาติโดยได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ และยังได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการกลางของพรรค (ซึ่งเป็นสถาบันการเมืองที่มีอำนาจสูงสุด)
การเลื่อนขั้นจากข้าราชการท้องถิ่นไปเป็นนักการเมืองระดับชาติทำให้ได้รับความสนใจจากสื่ออย่างมากทั้งในและต่างประเทศ
มีการมองว่าเขาเป็น “ดาวรุ่งทางการเมือง” ด้วยปัจจัยที่อายุไม่มาก, มีบุคลิกใจกว้าง, มีแนวคิดประชานิยม, นอกจากนั้นยังหน้าตาดีจนได้รับความนิยมในหมู่นักข่าวหญิง เคยมีสื่อชมว่าเขามีเสน่ห์เหมือนกับจอห์น เอฟ. เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ภาพแนบ: ป๋อซีไหลสมัยเป็นรัฐมนตรีเดินทางเยือนสหรัฐ
สมัยเป็นรัฐมนตรีป๋อรับแขกและผู้แทนต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง เขาพูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วน่าประทับใจ และด้วยทัศนะแบบ “นอบน้อมประนีประนอมแต่ไม่ยอมถอย” ทำให้เจรจาสำเร็จเป็นอันมาก
เช่นเมื่อครั้งที่เดินทางไปเยือนสหรัฐ เขาได้เจรจากับรัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกัน สามารถลงนามข้อตกลงทั้งในด้านทรัพย์สินทางปัญญา, ภาคบริการ, ผลิตภัณฑ์เกษตร, ความปลอดภัยด้านอาหาร, และการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผลสำเร็จ
ด้านภายในประเทศ ป๋อซีไหลได้ปรับนโยบายให้รัฐสนใจทั้งการลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศ พยายามลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติ และให้การคุ้มครองบริษัทจีนจากการแข่งขันจากต่างประเทศ แสดงถึงความสามารถเป็นอย่างดี
ภาพแนบ: ทิวทัศน์เมืองฉงชิ่ง
*** “เลื่อนตำแหน่ง” ไปที่ฉงชิ่ง ***
ในปี 2007 ป๋อซีไหลถูกส่งไปเป็นเลขาธิการพรรคประจำฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเทศบาลใหญ่ แต่ก็พูดยากว่านับเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่ เพราะในด้านหนึ่งแม้ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งใหญ่ที่มีอำนาจ เป็นสมาชิกโปลิตบูโร (คณะกรรมการบริหารพรรค) แต่ฉงชิ่งในเวลานั้นเต็มไปด้วยปัญหาหนัก เช่นปัญหาว่างงาน, ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนสามผา, และปัญหาด้านสาธารณสุข
มีกระแสว่าจริงๆ ป๋อต้องการเป็นรองนายกรัฐมนตรีมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นเพราะมีแรงเสียดทานจากนายกรัฐมนตรีเหวินเจียเป่าที่ให้เหตุผลว่าป๋อเป็นพวกชอบโฆษณาตัวเอง และเคยมีคดีความเรื่องฝ่าหลุนกงในต่างประเทศ เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดี
ภาพแนบ: การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองฉงชิ่งก็เป็นนโยบายหนึ่งของป๋อซีไหล
แม้ในตอนแรกป๋อไม่ได้รู้สึกดีมากนักกับตำแหน่งใหม่นี้ แต่ไม่ช้านานเขาก็มุ่งมั่นใช้ตำแหน่งเป็นบันไดเพื่อกลับไปทวงตำแหน่งในเวทีระดับชาติอีกครั้ง
เขาริเริ่ม “ฉงชิ่งโมเดล” ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจแบบตลาดที่ปฏิรูปมาตั้งแต่ยุคเติ้งเสี่ยวผิงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมาก
การนี้นับว่ากล้าหาญ และทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็น “ฝ่ายซ้ายใหม่” สามารถเรียกการสนับสนุนจากผู้นิยมแนวคิดเหมาเจ๋อตงและผู้นิยมประชาธิปไตยสังคมนิยมเป็นอันมาก
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***