แถวบ้านเปิดเพลงเสียงดัง เรารำคาญแต่ทำไมคนอื่น บ้านอื่นไม่เห็นจะรู้สึกรู้สาอะไรเลย...

บ้านที่เปิดเพลงอยู่ห่างบ้านเรา 3-4 หลัง แค่ได้ยินเสียงเบส ตึบ ๆ ๆ มาก็รู้สึกอารมณ์เสีย ทำอะไรอยู่ก็หมดอารมณ์โดยปริยาย ซึ่งบ้านที่อยู่ติดกัน หรือ บ้านที่อยู่ใกล้กว่า ต้องได้ยินดังกว่าอยู่แล้ว แต่ทำไมไม่เห็นเขาจะรู้สึกรู้สาอะไรกันเลย มีแต่เรา พอเราไปบอกกล่าวเรื่องเสียงรบกวนก็โดนประณาม โดนตอกกลับว่าบ้านอื่นไม่เห็นเขาจะเดือดร้อน
บางที่ดังมาก ๆ ก็พยายามอดทน จะรอดูว่าจะมีใครอื่นเดือดร้อนบ้างไหม แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บ้านที่อยู่บริเวณนั้นส่วนใหญ่ผู้ที่อาศัยก็จะเป็นแนวคนเกษียณ แนวป้า แนวแม่บ้าน เคยลองถาม บางคนเขาก็บอกว่าไม่ได้ยิน ซึ่งบริเวณดังกล่าวสะท้อน เสียงเบสบวม ๆ บูม ๆ ได้ดีมาก

หรือที่เขาไม่เดือดร้อนกัน เพราะเขาไม่สนใจ หรือไม่ได้ใส่ใจกับเสียงที่ได้ยิน เลยกลายเป็นว่าไม่ได้ยินโดยปริยาย?

หาแนวร่วมรำบากเหลือเกินแถวนี้ ย้ายหนีก็ยังไม่ได้อีก Facepalm
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
เสียงเบส เป็นเสียงคลื่นยาว จะไปแสดงผลชัดเจนที่ระยะห่าง 20 เมตรขึ้นไป

บ้านใกล้ๆ จะได้ยินเสียงคลื่นสั้นที่เป็นเสียงองค์ประกอบของดนตรีชัด ทำให้กลบเสียงเบสไป

ที่นี้ บ้านที่อยู่ห่างไป 20 เมตร เสียงคลื่นสั้นจะมาไม่ถึง เลยได้ยินแต่เสียงคลื่นยาว ตึงๆๆๆๆๆๆ

เหมือนคนเอาอะไรมาทุบ โดยไม่เป็นเพลงเลย

คนบ้านใกล้ๆ เขาไม่ได้ยินเหมือนบ้านไกล

ด้วยเหตุนี้ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงมีการกำหนดค่าเสียงเบสไว้ ในกฏหมาย มีค่าปรับสูง เพราะมันรบกวนโสตประสาทคนไปได้ไกลนับกิโลเมตร
ความคิดเห็นที่ 28
เราว่าสังคมไทย เป็นสังคมที่ไม่มองถึงเรื่องส่วนรวม หรือการอยู่ร่วมกันเป็นหลัก
ดูจะแนวมักง่าย รอมชอม อะลุ่มอะลวยจนเคยชิน
ทุกสิ่งในที่สาธารณะดูไร้ระเบียบ ระเกะระกะ
สิ่งเหล่านี้แทรกอยู่ในทุกชุมชน จนกลายเป็นปัญหา
ไม่ว่าจะเป็นส่งเสียงดัง การตั้งของกีดขวางทางสาธารณะ
การไม่ดูแลสิ่งของส่วนรวม ฯลฯ

จะบอกว่าปัญหานี้มันแก้ยาก เพราะมันเป็นนิสัยที่ฝังลึก
การจะเลือกสังคมที่ดี ก็ต้องใช้เงินในการแก้ปัญหา

กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ คนถือกฎหมายไม่เข้มงวด
ประชาชนไม่ปฏิบัติตาม สิ่งที่ทำได้ คือ ทำใจค่ะ
ความคิดเห็นที่ 16
ประเทศไทยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนโดยเฉพาะสังคมต่างจังหวัดผู้คนส่วนใหญ่เหมือนรับ DNA ไพร่มาจากบรรพบุรุษ ไม่อยากมีเรื่องมีราว ยอม ๆ กันไป ไม่กล้าต่อสู้กับอำนาจเถื่อน ถ้าเราจะเรียกร้องสิทธิความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานเหมือนนานาอารยะประเทศเราต้องออกแรงเยอะหน่อย เพราะสำนึกเรื่องนี้แต่ละคนต่างกันออกไป เลยไม่เกิดการเรียกร้อง บางคนถ้าไม่กระทบเรื่องปากท้องก็ไม่อยากมีเรื่องมีราวกับใคร เพราะบางครั้งต้นทุนในการเรียกร้องมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับกลับมา คนถ่อยจึงอยู่อย่างสบายในสังคมแบบนี้ ขั้นตอนการร้องเรียนก็ยุ่งยาก แล้วก็ไม่มีหน่วยงานรัฐจริงจังกับเรื่องนี้ ระบบแบบนี้แหละ ที่ทำให้สังคมยังแย่อยู่แบบนี้

เมืองที่เราอยู่ก็เป็น ทนได้กันทั้งเมือง เราอยู่เมืองกาญจน์คนทั้งเมืองไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเสียงแพเธค มีแต่เรากับคนแก่ ๆ ไม่กี่คนที่รู้สึกรำคาญ เราแจ้งตำรวจมากกว่า 50 ครั้ง (เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศูนย์วิทยุเกลียดเรามาก ด่าเราหลายครั้ง) เคยทำหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดมากมากกว่า 3 คน เคยชวนคนแก่มาทำเนียบรัฐบาลก็ทำมาแล้ว ออกรายการโทรทัศน์ก็หลายรายการ ก็ไม่ได้ผลอะไร ตอนนี้เราฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมาย ตอนนี้เรื่องยังอยู่ในศาลปกครอง และเราต้องฟ้องคนเดียวเพราะไม่มีใครกล้า  ถามว่าทำไมไม่มีใครกล้าก็คงเพราะกลัว เราเองไม่ใช่แค่โดนข่มขู่แต่ถึงขนาดมาทำร้ายร่างกายที่บ้าน และตำรวจเองก็ไม่อยากมายุ่งเรื่องนี้ เพราะตำรวจเองก็เคยโดนทำร้าย เคสนี้เราไปนั่งรอตำรวจตอนห้าทุ่มที่โรงพัก เพราะปกติแจ้งแล้วไม่มีตำรวจไป เราเลยขับรถมาโรงพักแล้วโวยวายถึงยอมไป เราบอกให้เอาตำรวจไปเยอะ ๆ เพราะคนที่เสียงดังอาจเป็นผู้มีอิทธิพล แต่เจ้าหน้าที่ให้ไปแค่คนเดียว ผลก็เป็นไปตามข่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่