คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
หลวงปู่เล่าเรื่องทำบุญอุทิศให้คนตายแต่คนเป็นได้รับ
.
เรื่องที่นำมากล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องที่หลวงปู่ (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) เคยเล่าให้พระภิกษุสามเณรฟัง ที่วัดเขาสุกิม ในเวลาหลังจากถวายการสรงน้ำที่พระเณรได้ปฏิบัติเป็นอาจริยวัตรประจำทุกเย็น...
วันหนึ่งหลวงปู่ได้เล่าว่า “การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ที่อยู่ในปรโลกนั้น เปรียบเสมือนการส่งจดหมายไปให้ญาติ
พระสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้รับไทยทานของเรานั้น เปรียบเหมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
วัตถุทานที่บริสุทธิ์ด้วยองค์สาม เปรียบเหมือนซองจดหมายปิดผนึกที่บรรจุข้อความถูกต้องดีแล้ว
การกล่าวคำถวายและน้อมจิตออกชื่อนามสกุล เปรียบเหมือนการจ่าหน้าซองปิดแสตมป์ เขียนชื่อ ที่อยู่ บ้านเลขที่ ชัดเจน ทำได้อย่างนี้จดหมายนั้นย่อมไม่ตกหล่นไปทางไหน ถึงมือผู้รับอย่างแน่นอน จะอยู่อเมริกาหรือบ้านเราก็ได้รับ เพราะถูกต้องตามกฎกติกา
การทำบุญที่ถูกต้องก็เช่นกัน บุญกุศลย่อมถึงผู้ที่ล่วงลับวายชนม์ ซึ่งกำลังรอคอยบุญซึ่งเป็นอาหารทิพย์จากญาติพี่น้อง...เขาต้องได้รับอย่างแน่นอน
อย่าว่าแต่คนตายเลย แม้แต่คนเป็นๆ ที่บ้านผมยังเคยมีเป็นตัวอย่างมาแล้ว ที่ได้รับพลานิสงส์จากคนเป็นด้วยกันทำบุญไปให้เพราะเข้าใจผิดคิดว่าตายแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้ว
สมัยหนึ่ง มีญาติพี่น้องของผมอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด มีอาชีพทำนา เมื่อเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้วก็หมดงานทำ จึงบอกลูกบอกภรรยาว่า จะลงไปหางานทำทางภาคกลางที่อยุธยา แล้วจะกลับขึ้นมาภายในเดือนหก เพื่อมาจัดเตรียมพื้นนา ตกกล้าปักดำในฤดูต่อไป แต่ถ้าถึงเดือนหกแล้วฉันยังไม่กลับมาถึงบ้าน ก็ให้ถือว่าฉันตาย ช่วยทำบุญไปให้ด้วย (ทำบุญอุทิศ) แกสั่งลาลูกและภรรยาแล้วแกก็ออกเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดไปจังหวัดอยุธยา ต่อมาแกเกิดไปพบแม่ม่ายลูกติดมีสตางค์เข้าคนหนึ่ง จึงอยู่กินด้วยกันอย่างสุขสบาย จนลืมลูกและภรรยาทางบ้าน ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าเดือนหกจะกลับบ้าน
ส่วนลูกและภรรยาทางบ้านก็เฝ้าแต่รอคอยมาจนถึงเดือนเจ็ด รอวันรอคืน ก็ไม่มีวี่แววว่าสามีจะกลับสักที ข่าวคราวสามีก็ไม่เคยส่งให้ทราบเลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงได้ปรึกษาหารือญาติผู้ใหญ่ว่า สงสัยว่าสามีของแกจะตายไปแล้วจริงๆ นี่เดือนเจ็ดแล้วยังไม่กลับ อีกอย่างหนึ่งที่สามีสั่งไว้ว่าถ้าถึงเดือนหกไม่กลับก็ให้ทำบุญไปให้ด้วย...จึงได้นัดญาติพี่น้องให้มารวมกันเพื่อทำบุญให้สามีของแก ในวันแรมสองค่ำ เดือนเจ็ด ฝ่ายสามีของแก ที่ไปทำงานจนได้ดิบได้ดีตกถังข้าวสารได้ครอบครัวใหม่อยู่ที่อยุธยา อยู่ดีมีความสุขจนลืมคิดถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับครอบครัว
เวลาผ่านไปหนึ่งปี แกเพิ่งจะฝันถึงทางบ้านเมื่อคืนนี้เองว่า...ภรรยาและญาติพี่น้องที่จังหวัดร้อยเอ็ด ทำบุญไปให้ตนซึ่งมีอาหารคาวเท่านั้นอย่างและมีอาหารหวานเท่านั้นอย่าง ในฝันแกกินอย่างอิ่มหนำสำราญ พอรุ่งเช้าของวันใหม่แกก็รู้สึกอิ่มเหมือนได้กินข้าวปลาอาหาร แกอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มปากอิ่มท้อง โดยที่แกไม่ได้กินข้าวไม่ได้กินน้ำ อยู่ถึง ๗ วันเต็มๆ
เมื่อความแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับแก แกก็เริ่มทบทวนเรื่องอดีต แล้วแกก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่จะมาจากร้อยเอ็ดได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับทางบ้านว่า จะกลับบ้านภายในเดือนหก ถ้าไม่กลับให้ถือว่าตายแล้ว ให้ทางบ้านทำบุญไปให้ด้วย เมื่อแกคิดได้ ก็หาทางกลับบ้านทันที เมื่อแกมาถึงจังหวัดร้อยเอ็ด เข้าถึงบ้านญาติพี่น้องต่างพากันร้องห่มร้องไห้ ต่อว่าต่อขานแกสารพัด ภรรยาแกบอกว่าเพิ่งทำบุญให้เมื่อแรมสองค่ำเดือนเจ็ด ตามที่แกสั่งไว้นี่เอง ฝ่ายสามีแกก็เล่าความเป็นมาเป็นไป สารภาพผิดกับภรรยาและลูก แล้วแกก็เล่าเรื่องแปลกประหลาดของแกเองที่อิ่มข้าวอิ่มน้ำในวันดังกล่าวนั้น ซึ่งก็ตรงกันกับวันที่ภรรยาและญาติพี่น้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แกนั่นเอง จึงเป็นสิ่งบอกเหตุให้แกต้องเดินทางกลับบ้านในครั้งนี้...
หลวงปู่สมชายบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เหลือเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วกับญาติของหลวงปู่เอง ที่ได้รับอานิสงส์จากการทำบุญอุทิศไปให้จากภรรยาของแก ทั้งๆ ที่แกยังไม่ตาย จึงเรียกว่าอิ่มทิพย์ แกอิ่มทิพย์โดยที่ไม่ต้องกินข้าวปลาอาหารอยู่ถึง ๗ วันดังกล่าว
หนังสือชีวประวัติพระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) ฉบับสมบูรณ์
วัดเขาสุกิม ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
.
เรื่องที่นำมากล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องที่หลวงปู่ (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) เคยเล่าให้พระภิกษุสามเณรฟัง ที่วัดเขาสุกิม ในเวลาหลังจากถวายการสรงน้ำที่พระเณรได้ปฏิบัติเป็นอาจริยวัตรประจำทุกเย็น...
วันหนึ่งหลวงปู่ได้เล่าว่า “การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ที่อยู่ในปรโลกนั้น เปรียบเสมือนการส่งจดหมายไปให้ญาติ
พระสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้รับไทยทานของเรานั้น เปรียบเหมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
วัตถุทานที่บริสุทธิ์ด้วยองค์สาม เปรียบเหมือนซองจดหมายปิดผนึกที่บรรจุข้อความถูกต้องดีแล้ว
การกล่าวคำถวายและน้อมจิตออกชื่อนามสกุล เปรียบเหมือนการจ่าหน้าซองปิดแสตมป์ เขียนชื่อ ที่อยู่ บ้านเลขที่ ชัดเจน ทำได้อย่างนี้จดหมายนั้นย่อมไม่ตกหล่นไปทางไหน ถึงมือผู้รับอย่างแน่นอน จะอยู่อเมริกาหรือบ้านเราก็ได้รับ เพราะถูกต้องตามกฎกติกา
การทำบุญที่ถูกต้องก็เช่นกัน บุญกุศลย่อมถึงผู้ที่ล่วงลับวายชนม์ ซึ่งกำลังรอคอยบุญซึ่งเป็นอาหารทิพย์จากญาติพี่น้อง...เขาต้องได้รับอย่างแน่นอน
อย่าว่าแต่คนตายเลย แม้แต่คนเป็นๆ ที่บ้านผมยังเคยมีเป็นตัวอย่างมาแล้ว ที่ได้รับพลานิสงส์จากคนเป็นด้วยกันทำบุญไปให้เพราะเข้าใจผิดคิดว่าตายแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้ว
สมัยหนึ่ง มีญาติพี่น้องของผมอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด มีอาชีพทำนา เมื่อเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้วก็หมดงานทำ จึงบอกลูกบอกภรรยาว่า จะลงไปหางานทำทางภาคกลางที่อยุธยา แล้วจะกลับขึ้นมาภายในเดือนหก เพื่อมาจัดเตรียมพื้นนา ตกกล้าปักดำในฤดูต่อไป แต่ถ้าถึงเดือนหกแล้วฉันยังไม่กลับมาถึงบ้าน ก็ให้ถือว่าฉันตาย ช่วยทำบุญไปให้ด้วย (ทำบุญอุทิศ) แกสั่งลาลูกและภรรยาแล้วแกก็ออกเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดไปจังหวัดอยุธยา ต่อมาแกเกิดไปพบแม่ม่ายลูกติดมีสตางค์เข้าคนหนึ่ง จึงอยู่กินด้วยกันอย่างสุขสบาย จนลืมลูกและภรรยาทางบ้าน ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าเดือนหกจะกลับบ้าน
ส่วนลูกและภรรยาทางบ้านก็เฝ้าแต่รอคอยมาจนถึงเดือนเจ็ด รอวันรอคืน ก็ไม่มีวี่แววว่าสามีจะกลับสักที ข่าวคราวสามีก็ไม่เคยส่งให้ทราบเลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงได้ปรึกษาหารือญาติผู้ใหญ่ว่า สงสัยว่าสามีของแกจะตายไปแล้วจริงๆ นี่เดือนเจ็ดแล้วยังไม่กลับ อีกอย่างหนึ่งที่สามีสั่งไว้ว่าถ้าถึงเดือนหกไม่กลับก็ให้ทำบุญไปให้ด้วย...จึงได้นัดญาติพี่น้องให้มารวมกันเพื่อทำบุญให้สามีของแก ในวันแรมสองค่ำ เดือนเจ็ด ฝ่ายสามีของแก ที่ไปทำงานจนได้ดิบได้ดีตกถังข้าวสารได้ครอบครัวใหม่อยู่ที่อยุธยา อยู่ดีมีความสุขจนลืมคิดถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับครอบครัว
เวลาผ่านไปหนึ่งปี แกเพิ่งจะฝันถึงทางบ้านเมื่อคืนนี้เองว่า...ภรรยาและญาติพี่น้องที่จังหวัดร้อยเอ็ด ทำบุญไปให้ตนซึ่งมีอาหารคาวเท่านั้นอย่างและมีอาหารหวานเท่านั้นอย่าง ในฝันแกกินอย่างอิ่มหนำสำราญ พอรุ่งเช้าของวันใหม่แกก็รู้สึกอิ่มเหมือนได้กินข้าวปลาอาหาร แกอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มปากอิ่มท้อง โดยที่แกไม่ได้กินข้าวไม่ได้กินน้ำ อยู่ถึง ๗ วันเต็มๆ
เมื่อความแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับแก แกก็เริ่มทบทวนเรื่องอดีต แล้วแกก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่จะมาจากร้อยเอ็ดได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับทางบ้านว่า จะกลับบ้านภายในเดือนหก ถ้าไม่กลับให้ถือว่าตายแล้ว ให้ทางบ้านทำบุญไปให้ด้วย เมื่อแกคิดได้ ก็หาทางกลับบ้านทันที เมื่อแกมาถึงจังหวัดร้อยเอ็ด เข้าถึงบ้านญาติพี่น้องต่างพากันร้องห่มร้องไห้ ต่อว่าต่อขานแกสารพัด ภรรยาแกบอกว่าเพิ่งทำบุญให้เมื่อแรมสองค่ำเดือนเจ็ด ตามที่แกสั่งไว้นี่เอง ฝ่ายสามีแกก็เล่าความเป็นมาเป็นไป สารภาพผิดกับภรรยาและลูก แล้วแกก็เล่าเรื่องแปลกประหลาดของแกเองที่อิ่มข้าวอิ่มน้ำในวันดังกล่าวนั้น ซึ่งก็ตรงกันกับวันที่ภรรยาและญาติพี่น้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แกนั่นเอง จึงเป็นสิ่งบอกเหตุให้แกต้องเดินทางกลับบ้านในครั้งนี้...
หลวงปู่สมชายบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เหลือเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วกับญาติของหลวงปู่เอง ที่ได้รับอานิสงส์จากการทำบุญอุทิศไปให้จากภรรยาของแก ทั้งๆ ที่แกยังไม่ตาย จึงเรียกว่าอิ่มทิพย์ แกอิ่มทิพย์โดยที่ไม่ต้องกินข้าวปลาอาหารอยู่ถึง ๗ วันดังกล่าว
หนังสือชีวประวัติพระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) ฉบับสมบูรณ์
วัดเขาสุกิม ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
แสดงความคิดเห็น
ทำบุญให้คนที่ล่วงลับไปแล้วถ้าเขาไปเกิดแล้วเขายังได้รับบุญอยู่ไหม