เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อก่อนทั้งเราและสามีต่างก็ทำงานประจำกันทั้งคู่อยู่ในกรุงเทพ เงินเดือนไล่เลี่ยไม่ได้ต่างกันหลายบาท (เงินเดือนเราจะได้มากกว่าสามีค่ะ) ตอนนั้นก็จะต่างฝ่ายต่างใช้ กระเป๋าใครกระเป๋ามัน จนมันมีเหตุให้เรากับสามีต้องพากันลาออกทั้งคู่ เพื่อกลับไปจัดการกับธุระที่บ้านเป็นเดือนๆ แล้วช่วงนั้นสามีเลยชวนเราไปทำงานเป็นไรเดอร์ค่ายอาหารค่าหนึ่งแถวๆบ้านเพื่อไม่ให้ขาดรายได้ ก็ต่างคนต่างขับไปแล้วช่วงนั้นเราก็ตั้งท้องพอดี เลยทำให้เราวิ่งงานได้อยู่ไม่กี่เดือนก็ต้องหยุดขับเพราะร่างกายไม่ไหว และตั้งแต่นั้นมาสามีก็ขับรถเป็นไรเดอร์อยู่คนเดียว
พอท้องเริ่มโต สามีก็ชวนกลับมากรุงเทพ แล้วเขาก็มาวิ่งไรเดอร์อยู่ที่นี่ ส่วนรายได้ก่อนโควิดก็ถือว่าดี ได้วันนึงไม่ต่ำกว่า 500 บาท ก็พอจุนเจือและเราก็แทบไม่ได้ใช้เงินเลยเพราะอุ้ยอ้าย ไม่ค่อยอยากออกจากบ้าน และพอโควิดระบาดอย่างที่รู้กันว่าได้รับผลกระทบกันหมดทุกสายอาชีพรวมถึงสามีเราด้วย รายได้ก็ขาดลงเรื่อยๆ แต่ก็พอจะมีกินมีใช้แต่ไม่มีเก็บเลย
จนกระทั่งเราคลอดลูก เวลาผ่านไป 3 เดือนและเราได้รับทาบทามให้มาทำงานประจำ ซึ่งรายได้ถือว่าดีมากๆ เราตกลงที่จะเข้าทำงาน นั่นทำให้สามีต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงลูก อาจจะดูเหมือนว่าเราทิ้งลูกให้สามีเลี้ยง แต่ถ้าเราไม่เลือกทำงานประจำ รายได้มันก็จะไม่พอ ไหนจะค่าห้องเช่า ค่าแพมเพิสลูก สามีเรารับผิดชอบส่วนนี้ไม่ไหวเพราะเขาก็วิ่งงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม สุดท้ายเราก็ออกมาทำงาน
หลังจากทำงานเราก็จุนเจือค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนวันไหนเราไม่ได้ไปทำงานสามีก็จะออกไปวิ่งงานบ้างเป็นครั้งคราว จนกระทั่งลูกเราหย่านมแม่ (กินนมเราค่ะ) หันไปกินนมชง ตอนนี้เลยฝากแม่สามีเลี้ยงได้และทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะเช่าบ้านรวมอยู่ด้วยกันเลยทั้งหมด 6 คน (แม่สามี พ่อเลี้ยงสามี น้องสามี สามี เรา และลูกค่ะ) ตอนนี้ค่าเช่าบ้านก็จะเป็นแม่สามีกับเราที่รับผิดชอบ ก็เป็นเงินก้อนใหญ่ทุกๆเดือน และสามีเราก็มีเวลาวิ่งงานมากขึ้น และนี่แหละค่ะเขาก็เริ่มทำตัวงอแง เริ่มอยากให้เราลาออกจากงานประจำ อยากให้ไปวิ่งงานกับเขา ทั้งๆที่เศรษฐกิจก็เป็นแบบนี้ รายได้เขาเองก็ไม่มั่นคง จนเราทะเลาะกันอยู่ตลอด และทุกครั้งแม่สามีจะเข้าข้างเรา เพราะคิดเหมือนกับเราว่าตอนนี้เราเป็นคนพยุงบ้านไว้ จะให้เราลาออกมาทำไม สามีก็จะไม่พอใจอยู่เนืองๆค่ะ เขามักจะอ้างว่าเราทำงานประจำไม่มีอิสระ ไม่มีเวลา อยากไปไหนก็ไม่ได้ไป?? ทำไมเขาไม่คิดเรื่องค่าใช้จ่ายอันนี้เรางงมาก พยายามคุยกันด้วยเหตุผล เขาก็มักจะลงเอยด้วยคำว่าแค่คิดเฉยๆว่าทำไมไม่ออกมาวิ่งงานด้วยกันจะได้มีอิสระ...เราไม่ได้ต้องการอิสระค่ะ เราต้องการเงิน!!
สุดท้าย เราและแม่สามีก็ไม่ไหวที่จะพยุงค่าบ้านหลังนี้ เลยตัดสินใจย้ายบ้าน ไปเช่าที่ถูกกว่าและตรงนี้แหละค่ะจุดพีคเลย เพราะมันทำให้ทุกอย่างช็อต และเราก็กลายเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดรายจ่ายทั้งหมด ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำไฟ ค่ากิน ของคนทั้งหมด 5 คน (พ่อเลี้ยงสามีแยกไปอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน) และสามีก็อีหรอบเดิมค่ะ พยายามพูดให้เราลาออกไปวิ่งงานกับเขา ทั้งๆที่เขาเองก็วิ่งงานแทบไม่ได้แล้ว เพราะการแข่งขันที่กรุงเทพนี่สูงมาก และเราก็ไม่ได้ขยันอะไรขนาดนั้น หลังจากที่กล่อมเราให้ลาออกไม่ได้ เขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการกินเวลาทำงานของเราค่ะ อย่างเช่น ขอให้พาไปซื้อของด้วยกันจนเราเข้างานสายในช่วงบ่าย ขอให้เราลาบ่อยๆเพื่อพาเขาไปนั่นนี่ และที่หนักที่สุดเลยคือ ในทุกๆเช้าเขาจะทำตัวอ้อยอิ่ง เชื่องช้า จนเราเข้างานสายแทบทุกวัน พอเราต่อว่า ว่าเขาทำไมชอบทำให้เรามาเข้างานสาย เขาก็จะบอกว่า วันหลังไปเองสิ แต่พอเราจะไปทำงานเองคนเดียว เขาก็จะบ่นว่าเดี๋ยวไปส่งเอง จะไปทำไมเองเสียค่ารถนั่นนี่..เป็นแบบนี้ทุกวัน
จนตอนนี้เราเหนื่อยกับนิสัยเขามากเลยค่ะ ถามว่ารักไหม เรารักมากๆ แต่ปรับจนเหนื่อย พยายามคุยกันด้วยเหตุผล แต่กับคนไม่มีเหตุผลนี่ยิ่งคุยยิ่งลำคาญค่ะ เคยอยากพาลูกหนีกลับบ้าน แต่ก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจแม่สามีเพราะแกไม่เคยทิ้งเราเลย เข้าข้างเราทุกครั้ง และที่สำคัญแกหวงลูกของเรามากค่ะ แค่บอกว่าจะพาหลานกลับบ้านแกก็ร้องไห้แล้ว
เราจะทำยังไงกับชุดความคิดของสามีดีคะ เหนื่อยมากค่ะ เงินเดือนแต่ละเดือนออกมาไม่มีเก็บ ไม่มีใช้เลย น้องสามีก็อีกคน ทำงานแต่ไม่มีเงิน ค่าเช่าบ้านไม่เคยช่วย ค่าน้ำไฟไม่เคยจ่าย พูดทีไรสามีก็เข้าข้างน้องทุกที อยากหนีออกจากบ้านมากค่ะ
จะแก้ชุดความคิดของสามียังไงดีคะ
พอท้องเริ่มโต สามีก็ชวนกลับมากรุงเทพ แล้วเขาก็มาวิ่งไรเดอร์อยู่ที่นี่ ส่วนรายได้ก่อนโควิดก็ถือว่าดี ได้วันนึงไม่ต่ำกว่า 500 บาท ก็พอจุนเจือและเราก็แทบไม่ได้ใช้เงินเลยเพราะอุ้ยอ้าย ไม่ค่อยอยากออกจากบ้าน และพอโควิดระบาดอย่างที่รู้กันว่าได้รับผลกระทบกันหมดทุกสายอาชีพรวมถึงสามีเราด้วย รายได้ก็ขาดลงเรื่อยๆ แต่ก็พอจะมีกินมีใช้แต่ไม่มีเก็บเลย
จนกระทั่งเราคลอดลูก เวลาผ่านไป 3 เดือนและเราได้รับทาบทามให้มาทำงานประจำ ซึ่งรายได้ถือว่าดีมากๆ เราตกลงที่จะเข้าทำงาน นั่นทำให้สามีต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงลูก อาจจะดูเหมือนว่าเราทิ้งลูกให้สามีเลี้ยง แต่ถ้าเราไม่เลือกทำงานประจำ รายได้มันก็จะไม่พอ ไหนจะค่าห้องเช่า ค่าแพมเพิสลูก สามีเรารับผิดชอบส่วนนี้ไม่ไหวเพราะเขาก็วิ่งงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม สุดท้ายเราก็ออกมาทำงาน
หลังจากทำงานเราก็จุนเจือค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนวันไหนเราไม่ได้ไปทำงานสามีก็จะออกไปวิ่งงานบ้างเป็นครั้งคราว จนกระทั่งลูกเราหย่านมแม่ (กินนมเราค่ะ) หันไปกินนมชง ตอนนี้เลยฝากแม่สามีเลี้ยงได้และทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะเช่าบ้านรวมอยู่ด้วยกันเลยทั้งหมด 6 คน (แม่สามี พ่อเลี้ยงสามี น้องสามี สามี เรา และลูกค่ะ) ตอนนี้ค่าเช่าบ้านก็จะเป็นแม่สามีกับเราที่รับผิดชอบ ก็เป็นเงินก้อนใหญ่ทุกๆเดือน และสามีเราก็มีเวลาวิ่งงานมากขึ้น และนี่แหละค่ะเขาก็เริ่มทำตัวงอแง เริ่มอยากให้เราลาออกจากงานประจำ อยากให้ไปวิ่งงานกับเขา ทั้งๆที่เศรษฐกิจก็เป็นแบบนี้ รายได้เขาเองก็ไม่มั่นคง จนเราทะเลาะกันอยู่ตลอด และทุกครั้งแม่สามีจะเข้าข้างเรา เพราะคิดเหมือนกับเราว่าตอนนี้เราเป็นคนพยุงบ้านไว้ จะให้เราลาออกมาทำไม สามีก็จะไม่พอใจอยู่เนืองๆค่ะ เขามักจะอ้างว่าเราทำงานประจำไม่มีอิสระ ไม่มีเวลา อยากไปไหนก็ไม่ได้ไป?? ทำไมเขาไม่คิดเรื่องค่าใช้จ่ายอันนี้เรางงมาก พยายามคุยกันด้วยเหตุผล เขาก็มักจะลงเอยด้วยคำว่าแค่คิดเฉยๆว่าทำไมไม่ออกมาวิ่งงานด้วยกันจะได้มีอิสระ...เราไม่ได้ต้องการอิสระค่ะ เราต้องการเงิน!!
สุดท้าย เราและแม่สามีก็ไม่ไหวที่จะพยุงค่าบ้านหลังนี้ เลยตัดสินใจย้ายบ้าน ไปเช่าที่ถูกกว่าและตรงนี้แหละค่ะจุดพีคเลย เพราะมันทำให้ทุกอย่างช็อต และเราก็กลายเป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดรายจ่ายทั้งหมด ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำไฟ ค่ากิน ของคนทั้งหมด 5 คน (พ่อเลี้ยงสามีแยกไปอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน) และสามีก็อีหรอบเดิมค่ะ พยายามพูดให้เราลาออกไปวิ่งงานกับเขา ทั้งๆที่เขาเองก็วิ่งงานแทบไม่ได้แล้ว เพราะการแข่งขันที่กรุงเทพนี่สูงมาก และเราก็ไม่ได้ขยันอะไรขนาดนั้น หลังจากที่กล่อมเราให้ลาออกไม่ได้ เขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการกินเวลาทำงานของเราค่ะ อย่างเช่น ขอให้พาไปซื้อของด้วยกันจนเราเข้างานสายในช่วงบ่าย ขอให้เราลาบ่อยๆเพื่อพาเขาไปนั่นนี่ และที่หนักที่สุดเลยคือ ในทุกๆเช้าเขาจะทำตัวอ้อยอิ่ง เชื่องช้า จนเราเข้างานสายแทบทุกวัน พอเราต่อว่า ว่าเขาทำไมชอบทำให้เรามาเข้างานสาย เขาก็จะบอกว่า วันหลังไปเองสิ แต่พอเราจะไปทำงานเองคนเดียว เขาก็จะบ่นว่าเดี๋ยวไปส่งเอง จะไปทำไมเองเสียค่ารถนั่นนี่..เป็นแบบนี้ทุกวัน
จนตอนนี้เราเหนื่อยกับนิสัยเขามากเลยค่ะ ถามว่ารักไหม เรารักมากๆ แต่ปรับจนเหนื่อย พยายามคุยกันด้วยเหตุผล แต่กับคนไม่มีเหตุผลนี่ยิ่งคุยยิ่งลำคาญค่ะ เคยอยากพาลูกหนีกลับบ้าน แต่ก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจแม่สามีเพราะแกไม่เคยทิ้งเราเลย เข้าข้างเราทุกครั้ง และที่สำคัญแกหวงลูกของเรามากค่ะ แค่บอกว่าจะพาหลานกลับบ้านแกก็ร้องไห้แล้ว
เราจะทำยังไงกับชุดความคิดของสามีดีคะ เหนื่อยมากค่ะ เงินเดือนแต่ละเดือนออกมาไม่มีเก็บ ไม่มีใช้เลย น้องสามีก็อีกคน ทำงานแต่ไม่มีเงิน ค่าเช่าบ้านไม่เคยช่วย ค่าน้ำไฟไม่เคยจ่าย พูดทีไรสามีก็เข้าข้างน้องทุกที อยากหนีออกจากบ้านมากค่ะ