แต่เอเวอร์แกรนด์ แม้จะเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จีน แต่เมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจทั้งหมดแล้ว ถือว่าเล็กมาก ไม่ได้ใหญ่จนรัฐบาลต้องอุ้มเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบ หนี้ที่มีกับสถาบันการเงินก็อยู่ในขอบเขตที่จัดการได้ หากว่าจะกลายเป็นหนี้เสีย อีกทั้งนโยบายล่าสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อภาคเอกชนคือ การควบคุมไม่ให้ใหญ่เกินไป และจำกัดการก่อหนี้ไม่ให้เป็นความเสี่ยงต่อระบบ รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่สนับสนุนการสร้างความร่ำรวยที่มากเกินไป
ดังนั้น รัฐบาลปักกิ่งจึงน่าจะปล่อยให้เอเวอร์แกรนด์แก้ปัญหาเอง ตามครรลองของธุรกิจไม่เข้าไปแทรกแซงโดยไม่จำเป็น ถ้าแก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้ล้มไปเอง
ชชชชชชชชชชชชชชชชช
ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจจีน แต่ถ้าเอเวอร์แกรน อยู่ในไทยขนาดให้แน่นอน
=======================================
สองปีที่แล้วรัฐบาลปักกิ่งมีนโยบายจำกัดการก่อหนี้ของภาคเอกชน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนั้น ยังควบคุมการกู้เงินผ่านตลาดการเงิน ในรูปของการออกตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ตั๋วเงินขายให้กับประชาชนทั่วไป เพราะการระดมทุนในลักษณะดังกล่าว ขยายตัวใหญ่มากจนเกิดเป็น “ธนาคารเงา” ใหญ่กว่าธนาคารในระบบ แต่ไม่มีระบบกำกับดูแล และมีหลายกรณีที่เข้าข่าย “แชร์ลูกโซ่” ที่ทำให้ประชาชนต้องสูญเงินจำนวนมาก
นโยบายจำกัดการก่อหนี้ ทำให้เอเวอร์แกรนด์ประสบปัญหาสภาพคล่องเรื่อยมา นอกจากนั้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในสภาวะซัปพลายมากกว่าดีมานด์หลายเท่า รายได้จากการขายโครงการล่วงหน้า ไม่เพียงพอที่จะทำให้บริษัทลดภาระหนี้สินที่สั่งสมมานานหลายปีให้ลดน้อยลงไปได้
ชชชชชชชชชช
จีนจัดการกับการปล่อยกู้ที่ไม่มีหลักประกัน
=====================================
เอเวอร์แกรนด์ ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้ออก “จังค์บอนด์” หรือตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงรายใหญ่สุดของจีน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านหยวน หรือเท่ากับ 10% ของหนี้ทั้งหมด นอกจากนักลงทุนสถาบันที่ถือตราสารเหล่านี้แล้ว ยังมีนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งพนักงานบางส่วนของเอเวอร์แกรนด์เองที่ซื้อตั๋วเงินของเอเวอร์แกรนด์ ที่ให้ดอกเบี้ยสูง
==========================
วันที่ 17 กันยายน ธนาคารกลางจีน อัดฉีดเงินสดสูงถึง 90,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 460,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งนับเป็นการอัดฉีดเงินก้อนใหญ่ที่สุดในปีนี้ คาดเดากันว่าเพื่อเสริมสภาพคล่อง รองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ หรือล้มละลาย นอกเหนือจากการอัดฉีดเงินเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่ประชาชนจะมีการใช้จ่ายเงินมากกว่าปกติ
ส่วนการอัดฉีดเงินเข้าระบบธนาคาร เพื่อรองรับการล้มละลายของเอเวอร์แกรน และเอาไว้ให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย ช่วงวันไหว้พระจันทร์ ไม่ได้อัดเงินเพื่ออุ้ม เอเวอร์แกรน
https://mgronline.com/daily/detail/9640000092938
เสียใจด้วย ดูท่าทางจีนน่าจะปล่อยให้ เอเวอร์แกรนล้มไปถ้าแก้ไขตัวเองไม่ได้
ดังนั้น รัฐบาลปักกิ่งจึงน่าจะปล่อยให้เอเวอร์แกรนด์แก้ปัญหาเอง ตามครรลองของธุรกิจไม่เข้าไปแทรกแซงโดยไม่จำเป็น ถ้าแก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้ล้มไปเอง
ชชชชชชชชชชชชชชชชช
ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจจีน แต่ถ้าเอเวอร์แกรน อยู่ในไทยขนาดให้แน่นอน
=======================================
สองปีที่แล้วรัฐบาลปักกิ่งมีนโยบายจำกัดการก่อหนี้ของภาคเอกชน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนั้น ยังควบคุมการกู้เงินผ่านตลาดการเงิน ในรูปของการออกตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ตั๋วเงินขายให้กับประชาชนทั่วไป เพราะการระดมทุนในลักษณะดังกล่าว ขยายตัวใหญ่มากจนเกิดเป็น “ธนาคารเงา” ใหญ่กว่าธนาคารในระบบ แต่ไม่มีระบบกำกับดูแล และมีหลายกรณีที่เข้าข่าย “แชร์ลูกโซ่” ที่ทำให้ประชาชนต้องสูญเงินจำนวนมาก
นโยบายจำกัดการก่อหนี้ ทำให้เอเวอร์แกรนด์ประสบปัญหาสภาพคล่องเรื่อยมา นอกจากนั้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในสภาวะซัปพลายมากกว่าดีมานด์หลายเท่า รายได้จากการขายโครงการล่วงหน้า ไม่เพียงพอที่จะทำให้บริษัทลดภาระหนี้สินที่สั่งสมมานานหลายปีให้ลดน้อยลงไปได้
ชชชชชชชชชช
จีนจัดการกับการปล่อยกู้ที่ไม่มีหลักประกัน
=====================================
เอเวอร์แกรนด์ ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้ออก “จังค์บอนด์” หรือตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงรายใหญ่สุดของจีน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านหยวน หรือเท่ากับ 10% ของหนี้ทั้งหมด นอกจากนักลงทุนสถาบันที่ถือตราสารเหล่านี้แล้ว ยังมีนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งพนักงานบางส่วนของเอเวอร์แกรนด์เองที่ซื้อตั๋วเงินของเอเวอร์แกรนด์ ที่ให้ดอกเบี้ยสูง
==========================
วันที่ 17 กันยายน ธนาคารกลางจีน อัดฉีดเงินสดสูงถึง 90,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 460,000 ล้านบาท เข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งนับเป็นการอัดฉีดเงินก้อนใหญ่ที่สุดในปีนี้ คาดเดากันว่าเพื่อเสริมสภาพคล่อง รองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ หรือล้มละลาย นอกเหนือจากการอัดฉีดเงินเนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่ประชาชนจะมีการใช้จ่ายเงินมากกว่าปกติ
ส่วนการอัดฉีดเงินเข้าระบบธนาคาร เพื่อรองรับการล้มละลายของเอเวอร์แกรน และเอาไว้ให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย ช่วงวันไหว้พระจันทร์ ไม่ได้อัดเงินเพื่ออุ้ม เอเวอร์แกรน
https://mgronline.com/daily/detail/9640000092938