เดือนมิถุนายน ตามปฏิทินก็คงนับได้ว่าเข้าฤดูฝนแล้ว แต่แสงแดดจัดจ้าที่แผดเผาอยู่เหนือศีรษะ ไม่ได้ให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของฤดูฝนเสียสักนิด น่าแปลกที่เวลามองแดดจ้าฟ้าใส ไร้เค้าลางของสายฝนเช่นนี้ ในใจลึก ๆ จะรู้สึกได้ว่า อีกไม่ช้าไม่นานฝนต้องตกลงมาอย่างแน่นอน
ลางสังหรณ์ของคนเรา บางครั้งก็เป็นสิ่งที่แม่นยำอย่างน่าประหลาด บ่ายวันนั้นฝนก็ตกลงมาจริง ๆ ตกหนักทีเดียว แดดจ้าหลบลี้หนีเสียงฟ้าร้อง ฟ้าใสหลับไหลใต้เมฆสีเทาทึมทึบ เม็ดฝนร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสายกลายเป็นม่านขนาดยักษ์ ปกคลุมภาพของเมืองใหญ่ให้เห็นเป็นเพียงเงาที่พร่ามัว
ผมก้าวอย่างเร่งรีบ หนีฝนที่กระหน่ำมาจากทุกทิศทุกทางอย่างไร้ประโยชน์ เท้าย่ำลงไปบนแอ่งน้ำที่ขังอยู่บนฟุตบาท เสียงกระเซ็นดังขึ้นพร้อมกับหยดน้ำที่กระจายออกแล้วกลับมารวมกันใหม่ สายตาสอดส่ายหาที่หลบฝน วิ่งผ่านป้ายรถเมล์ที่ผู้คนยืนนั่งเบียดเสียด แทรกตัวผ่านหมู่ร่มหลากสีสันทั้งคันเล็กคันใหญ่ จนมาถึงสวนแห่งหนึ่ง ก่อนจะทันได้คิดอะไร เท้าก็พาผมเลี้ยวเข้าไปในสวนนั้น
ทันทีที่เข้ามาในสวน ฝนที่กระหน่ำหนักอยู่เมื่อครู่กลับผ่อนแรงลงกลายเป็นเพียงฝนปรอย เม็ดฝนร่วงหล่นกระทบใบไม้ ก่อนตกลงมากระทบปลายจมูก น้ำฝนเย็น ๆ ทำให้สะดุ้งเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็รับรู้ถึงกลิ่นของดินและหญ้าที่เปียกชื้น ฝีเท้าค่อย ๆ ฉะลอลง ขณะที่มองเห็นศาลาหลังน้อยอยู่ข้างหน้า
ศาลาปูนสีเทาทรงสี่เหลี่ยม อยู่ท่ามกลางสีเขียวของหมู่ไม้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ สายตาก็ปะทะเข้ากับเงาร่างหนึ่งใต้ชายคาของศาลา พริบตาแรกเงาร่างนั้นเป็นตัวเป็นตนมองเห็นได้ชัดเจน แต่วินาทีต่อมากลับเลือนรางคล้ายกลืนกลายไปกับสายฝน ผมกระพริบตาไล่หยดน้ำที่เกาะอยู่บนขนตาออก ขณะเขม้นมองเงาร่างนั้น
คน อย่างน้อยความคิดแรกของผมก็บอกเช่นนั้น คนหนุ่ม กะเกณฑ์อายุคงไม่เกิน 30 ปี ผมของเขามีร่องรอยการจัดแต่งทรงมาอย่างดี แต่เวลานี้มันเปียกชื้นจนลู่ไปกับศีรษะ น้ำหยดจากปลายผม ไหลมาตามกรอบหน้า แล้วหยดใส่เสื้อจนเป็นรอย ผมหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ชัด ๆ มันเป็นชุดสูทเต็มยศ ดูแปลกตาเมื่ออยู่ในเวลาและสถานที่เช่นนี้
ผิวของเขาขาว อาจถึงขั้นซีด ดูราวกับจะเปล่งแสงได้ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวเช่นนี้ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปที่ท้องฟ้า เขาอาจจะกำลังมองขนาดของเม็ดฝน มองรูปทรงของก้อนเมฆ หรือมองเลยไปยังสิ่งที่อยู่ห่างไกลกว่าที่ใครจะคาดถึง
เมื่อเดินไปถึงศาลา เขาคนนั้นก็เบนสายตาที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้ามาทางผม ส่งยิ้มบางเบามาให้เหมือนเป็นการทักทาย ผมยิ้มตอบเป็นมารยาทขณะก้าวเข้าไปภายในศาลา แล้วหยุดยืนที่ด้านข้างของเขา
เกิดความเงียบระหว่างเราอยู่ครู่หนึ่ง จนหูแว่วเสียงแมลงปอร่อนแตะผิวน้ำ และเสียงดอกไม้ขยับกลีบรับฝน เขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“เมื่อไหร่ฝนจะหยุดก็ไม่รู้นะครับ” เขาพูดโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ท้องฟ้า
ผมง่วนอยู่กับการสะบัดน้ำฝนที่เกาะตามเสื้อผ้าออก ขณะเอ่ยตอบเขา “นั่นสิครับ”
เมื่อรู้ว่าการสะบัดน้ำฝนออกไม่ได้ทำให้หายเปียกไปมากกว่านี้ ผมจึงหยุดสนใจเสื้อเปียก ๆ ของตัวเอง และเบนสายตาไปมองคนข้าง ๆ ความสงสัยขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
“ผมกำลังจะแต่งงานครับ คนรักของผมเขากำลังรออยู่ ผมอยากจะรีบไป ถ้าไม่ติดว่าฝนตกละก็…” เขาพูดก่อนที่ผมจะถามออกไป ราวกับรับรู้ความสงสัยของผม
ที่แท้ชุดของเขาก็เป็นชุดเจ้าบ่าวนี่เอง เมื่อรู้ดังนั้น ผมจึงพินิจชุดของเขาโดยละเอียด
เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดสวมทับด้วยสูทแจ็กเก็ตปกป้านสีกรมท่า เข้ากันกับเนคไทสีน้ำตาลอ่อนผูกแบบ Full Windsor Knot กางเกงสีเดียวกับสูทแจ็กเก็ต และรองเท้าหนังสีดำขัดเป็นมันวับ ดูเป็นเจ้าบ่าวที่ภูมิฐานมากคนหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาตอนนี้ไม่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน
สายตาของผมถูกดึงดูดโดยสิ่งที่อยู่บนอกเสื้อด้านซ้ายของเขา ดอกไม้ ดอกไม้ชนิดหนึ่งกลีบดอกหยักสีเขียวอ่อนซ้อนกันเป็นช่อชั้น ความอ่อนหวานของดอกไม้ตัดกันความเคร่งขรึมของชุดสูท ผมพยายามจะนึกชื่อดอกไม้นั้น แต่ก็นึกไม่ออก
ผมละสายตาจากดอกไม้หันกลับไปมองทัศนียภาพด้านนอกศาลา ก่อนจะพูดกับเขา
“ถ้าคุณรีบอยู่ ทำไมไม่วิ่งฝ่าฝนออกไปเลยล่ะครับ ตอนนี้ฝนก็ดูจะซาลงไปมากแล้ว” ผมพูดโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ฝนปรอยด้านนอก “แถมคุณก็เปียกไปทั้งตัวแล้วด้วย”
เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง ราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูด จากนั้นก็เอ่ยตอบผมอย่างช้า ๆ
“ถึงฝนในสวนนี้จะซาลงไปมากแล้ว แต่เราไม่รู้หรอกครับว่าฝนข้างนอกยังตกหนักอยู่รึเปล่า” เสียงของเขาเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงฝนที่ยังคงตกปรอย ๆ “และถึงตัวผมจะเปียกอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่อยากที่จะเปียกฝนซ้ำอีกครั้งหรอก”
ผมไม่สามารถหาคำใดที่จะเอ่ยตอบเขาได้ และเขาก็ดูจะไม่มีคำใดที่จะพูดกับผมอีก บทสนทนาระหว่างเราสิ้นสุดเพียงเท่านั้น ผมมองไปด้านนอกศาลา เห็นแสงแดดจาง ๆ ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ กระทบเข้ากับละอองฝน แล้วกระจายตัวเป็นแสง 6 สี
ในที่สุดผมก็นึกคำที่อยากจะพูดกับเขาออก จึงรีบหันไปข้างตัวโดยทันที
ลมพัดมาวูบหนึ่ง มันพัดผ่านหมู่ไม้ที่ตอนนี้เขียวชอุ่มจากการได้รับน้ำ พัดผ่านเสาของศาลาปูนที่เริ่มมีรอยแตกกะเทาะ พัดผ่านตัวผมทำให้รู้สึกหนาวเล็กน้อย และพัดเลยไปยังด้านข้างของผมที่เคยมีเงาร่างหนึ่งอยู่
แต่ตอนนี้ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของคนหนุ่มในชุดสูทที่เปียกชื้นยืนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งผมสงสัยว่าลมวูบเมื่อครู่พัดร่างของเขาให้สลายรวมไปกับละอองฝนแล้วหรือเปล่า
ตรงที่เขาเคยยืนมีดอกไม้ดอกหนึ่งตกอยู่ ดอกไม้ชนิดหนึ่งกลีบดอกหยักสีเขียวอ่อนซ้อนกันเป็นช่อชั้น สีเขียวอ่อนนั้นราวกับมีเรื่องที่อยากจะบอกกับโลกใบนี้ ดอกคาร์เนชั่น ในที่สุดผมก็นึกชื่อของมันออก
ผมหันหน้ากลับมา เหม่อมองท้องฟ้าไปยังจุดเดียวกันกับเขา
ฝน ยังคงตกอยู่
~~~ จบ ~~~
🌧 เรื่องสั้น: เจ้าบ่าวเดือนมิถุนา 🌧
ลางสังหรณ์ของคนเรา บางครั้งก็เป็นสิ่งที่แม่นยำอย่างน่าประหลาด บ่ายวันนั้นฝนก็ตกลงมาจริง ๆ ตกหนักทีเดียว แดดจ้าหลบลี้หนีเสียงฟ้าร้อง ฟ้าใสหลับไหลใต้เมฆสีเทาทึมทึบ เม็ดฝนร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสายกลายเป็นม่านขนาดยักษ์ ปกคลุมภาพของเมืองใหญ่ให้เห็นเป็นเพียงเงาที่พร่ามัว
ผมก้าวอย่างเร่งรีบ หนีฝนที่กระหน่ำมาจากทุกทิศทุกทางอย่างไร้ประโยชน์ เท้าย่ำลงไปบนแอ่งน้ำที่ขังอยู่บนฟุตบาท เสียงกระเซ็นดังขึ้นพร้อมกับหยดน้ำที่กระจายออกแล้วกลับมารวมกันใหม่ สายตาสอดส่ายหาที่หลบฝน วิ่งผ่านป้ายรถเมล์ที่ผู้คนยืนนั่งเบียดเสียด แทรกตัวผ่านหมู่ร่มหลากสีสันทั้งคันเล็กคันใหญ่ จนมาถึงสวนแห่งหนึ่ง ก่อนจะทันได้คิดอะไร เท้าก็พาผมเลี้ยวเข้าไปในสวนนั้น
ทันทีที่เข้ามาในสวน ฝนที่กระหน่ำหนักอยู่เมื่อครู่กลับผ่อนแรงลงกลายเป็นเพียงฝนปรอย เม็ดฝนร่วงหล่นกระทบใบไม้ ก่อนตกลงมากระทบปลายจมูก น้ำฝนเย็น ๆ ทำให้สะดุ้งเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็รับรู้ถึงกลิ่นของดินและหญ้าที่เปียกชื้น ฝีเท้าค่อย ๆ ฉะลอลง ขณะที่มองเห็นศาลาหลังน้อยอยู่ข้างหน้า
ศาลาปูนสีเทาทรงสี่เหลี่ยม อยู่ท่ามกลางสีเขียวของหมู่ไม้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ สายตาก็ปะทะเข้ากับเงาร่างหนึ่งใต้ชายคาของศาลา พริบตาแรกเงาร่างนั้นเป็นตัวเป็นตนมองเห็นได้ชัดเจน แต่วินาทีต่อมากลับเลือนรางคล้ายกลืนกลายไปกับสายฝน ผมกระพริบตาไล่หยดน้ำที่เกาะอยู่บนขนตาออก ขณะเขม้นมองเงาร่างนั้น
คน อย่างน้อยความคิดแรกของผมก็บอกเช่นนั้น คนหนุ่ม กะเกณฑ์อายุคงไม่เกิน 30 ปี ผมของเขามีร่องรอยการจัดแต่งทรงมาอย่างดี แต่เวลานี้มันเปียกชื้นจนลู่ไปกับศีรษะ น้ำหยดจากปลายผม ไหลมาตามกรอบหน้า แล้วหยดใส่เสื้อจนเป็นรอย ผมหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ชัด ๆ มันเป็นชุดสูทเต็มยศ ดูแปลกตาเมื่ออยู่ในเวลาและสถานที่เช่นนี้
ผิวของเขาขาว อาจถึงขั้นซีด ดูราวกับจะเปล่งแสงได้ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวเช่นนี้ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปที่ท้องฟ้า เขาอาจจะกำลังมองขนาดของเม็ดฝน มองรูปทรงของก้อนเมฆ หรือมองเลยไปยังสิ่งที่อยู่ห่างไกลกว่าที่ใครจะคาดถึง
เมื่อเดินไปถึงศาลา เขาคนนั้นก็เบนสายตาที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้ามาทางผม ส่งยิ้มบางเบามาให้เหมือนเป็นการทักทาย ผมยิ้มตอบเป็นมารยาทขณะก้าวเข้าไปภายในศาลา แล้วหยุดยืนที่ด้านข้างของเขา
เกิดความเงียบระหว่างเราอยู่ครู่หนึ่ง จนหูแว่วเสียงแมลงปอร่อนแตะผิวน้ำ และเสียงดอกไม้ขยับกลีบรับฝน เขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“เมื่อไหร่ฝนจะหยุดก็ไม่รู้นะครับ” เขาพูดโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ท้องฟ้า
ผมง่วนอยู่กับการสะบัดน้ำฝนที่เกาะตามเสื้อผ้าออก ขณะเอ่ยตอบเขา “นั่นสิครับ”
เมื่อรู้ว่าการสะบัดน้ำฝนออกไม่ได้ทำให้หายเปียกไปมากกว่านี้ ผมจึงหยุดสนใจเสื้อเปียก ๆ ของตัวเอง และเบนสายตาไปมองคนข้าง ๆ ความสงสัยขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
“ผมกำลังจะแต่งงานครับ คนรักของผมเขากำลังรออยู่ ผมอยากจะรีบไป ถ้าไม่ติดว่าฝนตกละก็…” เขาพูดก่อนที่ผมจะถามออกไป ราวกับรับรู้ความสงสัยของผม
ที่แท้ชุดของเขาก็เป็นชุดเจ้าบ่าวนี่เอง เมื่อรู้ดังนั้น ผมจึงพินิจชุดของเขาโดยละเอียด
เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดสวมทับด้วยสูทแจ็กเก็ตปกป้านสีกรมท่า เข้ากันกับเนคไทสีน้ำตาลอ่อนผูกแบบ Full Windsor Knot กางเกงสีเดียวกับสูทแจ็กเก็ต และรองเท้าหนังสีดำขัดเป็นมันวับ ดูเป็นเจ้าบ่าวที่ภูมิฐานมากคนหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาตอนนี้ไม่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน
สายตาของผมถูกดึงดูดโดยสิ่งที่อยู่บนอกเสื้อด้านซ้ายของเขา ดอกไม้ ดอกไม้ชนิดหนึ่งกลีบดอกหยักสีเขียวอ่อนซ้อนกันเป็นช่อชั้น ความอ่อนหวานของดอกไม้ตัดกันความเคร่งขรึมของชุดสูท ผมพยายามจะนึกชื่อดอกไม้นั้น แต่ก็นึกไม่ออก
ผมละสายตาจากดอกไม้หันกลับไปมองทัศนียภาพด้านนอกศาลา ก่อนจะพูดกับเขา
“ถ้าคุณรีบอยู่ ทำไมไม่วิ่งฝ่าฝนออกไปเลยล่ะครับ ตอนนี้ฝนก็ดูจะซาลงไปมากแล้ว” ผมพูดโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ฝนปรอยด้านนอก “แถมคุณก็เปียกไปทั้งตัวแล้วด้วย”
เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง ราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูด จากนั้นก็เอ่ยตอบผมอย่างช้า ๆ
“ถึงฝนในสวนนี้จะซาลงไปมากแล้ว แต่เราไม่รู้หรอกครับว่าฝนข้างนอกยังตกหนักอยู่รึเปล่า” เสียงของเขาเบาจนแทบจะกลืนไปกับเสียงฝนที่ยังคงตกปรอย ๆ “และถึงตัวผมจะเปียกอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่อยากที่จะเปียกฝนซ้ำอีกครั้งหรอก”
ผมไม่สามารถหาคำใดที่จะเอ่ยตอบเขาได้ และเขาก็ดูจะไม่มีคำใดที่จะพูดกับผมอีก บทสนทนาระหว่างเราสิ้นสุดเพียงเท่านั้น ผมมองไปด้านนอกศาลา เห็นแสงแดดจาง ๆ ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ กระทบเข้ากับละอองฝน แล้วกระจายตัวเป็นแสง 6 สี
ในที่สุดผมก็นึกคำที่อยากจะพูดกับเขาออก จึงรีบหันไปข้างตัวโดยทันที
ลมพัดมาวูบหนึ่ง มันพัดผ่านหมู่ไม้ที่ตอนนี้เขียวชอุ่มจากการได้รับน้ำ พัดผ่านเสาของศาลาปูนที่เริ่มมีรอยแตกกะเทาะ พัดผ่านตัวผมทำให้รู้สึกหนาวเล็กน้อย และพัดเลยไปยังด้านข้างของผมที่เคยมีเงาร่างหนึ่งอยู่
แต่ตอนนี้ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของคนหนุ่มในชุดสูทที่เปียกชื้นยืนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งผมสงสัยว่าลมวูบเมื่อครู่พัดร่างของเขาให้สลายรวมไปกับละอองฝนแล้วหรือเปล่า
ตรงที่เขาเคยยืนมีดอกไม้ดอกหนึ่งตกอยู่ ดอกไม้ชนิดหนึ่งกลีบดอกหยักสีเขียวอ่อนซ้อนกันเป็นช่อชั้น สีเขียวอ่อนนั้นราวกับมีเรื่องที่อยากจะบอกกับโลกใบนี้ ดอกคาร์เนชั่น ในที่สุดผมก็นึกชื่อของมันออก
ผมหันหน้ากลับมา เหม่อมองท้องฟ้าไปยังจุดเดียวกันกับเขา
ฝน ยังคงตกอยู่
~~~ จบ ~~~