ข่าวที่โด่งดังในวงการกีฬารอบสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะในวงการเทนนิสหนีไม่พ้นการคว้าแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์ของเอ็มม่า ราดูคานู (Emma Raducanu) นักหวดลูกสักหลาดสาวจากสหราชอาณาจักรที่ผงาดขึ้นคว้าแชมป์เทนนิสรายการแกรนด์สแลม ‘ยูเอส โอเพ่น’ (US Open) ครั้งล่าสุดมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
โดยราดูคานูซึ่งมีอันดับโลกอยู่ที่ 150 ไม่ได้ถูกจับตามองว่าจะสามารถทะลุมาสร้างความยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้ แต่แล้วสาววัย 18 ปีก็พลิกประวัติศาสตร์ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศในประเภทหญิงเดี่ยวกับเลย์ลาห์ เฟอร์นานเดซ (Leylah Fernandez) นักหวดสาววัย 19 ปีจากแคนาดา โดยคู่นี้ต้องบอกว่าเป็น ‘Teen Finals’ การชิงชัยกันของของสาวดาวรุ่งที่แจ้งเกิดในรายการนี้อย่างแท้จริง ซึ่งแมตช์ระหว่างสองดาวรุ่งจากรอบคัดเลือกครั้งแรกในรายการใหญ่ระดับอาชีพก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปในศึกยูเอส โอเพ่น 1999 ที่เป็นการเจอกันระหว่างเซเรน่า วิลเลียมส์ (Serena Williams) ในวัย 17 ปีในขณะนั้น ที่เอาชนะมาร์ติน่า ฮินกิส (Martina Hingis) ในวัย 18 ปีตอนนั้น
ผลปรากฏว่า ราดูคานูโชว์ฟอร์เยี่ยม เอาชนะเฟอร์นานเดซ 2 เซตรวด 6-4 และ 6-3 ชูถ้วยแชมป์ยูเอส โอเพ่น อย่างยิ่งใหญ่ที่อาเธอร์ แอช สเตเดียม (Arthur Ashe Stadium) ในมหานครนิวยอร์ก
ทำให้เธอกลายเป็นนักเทนนิสจากรอบคัดเลือกคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลมได้แบบไม่เสียเซ็ต (3 แมตช์ในรอบคัดเลือก และ 7 แมตช์ในรอบเมนดรอว์) และเป็นแชมป์ระดับแกรนด์สแลมประเภทหญิงที่อายุน้อยที่สุดในรอบ 17 ปี นับตั้วแต่มาเรีย ชาราโปว่า (Maria Sharapova) นักหวดสาวสวยชาวรัสเซียเคยทำได้เมื่อปี 2004 ขณะอายุ 17 ปี รวมทั้งเป็นนักหวดสาวจากแดนผู้ดีคนแรกที่ได้แชมป์ยูเอส โอเพ่น ในรอบ 53 ปีหลังจากที่เวอร์จิเนีย เวด (Virginia Wade) อดีตนักเทนนิสคนดังจากสหราชอาณาจักรทำได้เมื่อปี 1968 นอกจากนี้ ราดูคานู ยังกลายเป็นนักหวดสาวจากเกาะอังกฤษคนแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์แกรนด์สแลมในรอบ 44 ปี หลังจากเวดเคยทำได้เมื่อปี 1977
นอกจากความมหัศจรรย์และสถิติใหม่ๆ ที่เธอทำได้แล้ว การคว้าแชมป์ศึกแกรนด์สแลมครั้งนี้ของเธอยังถือว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย เนื่องจากเป็นการได้แชมป์ตั้งแต่การลงแข่งรายการแกรนด์สแลมครั้งที่ 2 ในชีวิต เร็วกว่านักหวดอดีตมือ 1 ของโลกอย่างโมนิก้า เซเลส (Monica Seles) และเบียนก้า อันดรีสคู (Bianca Andreescu) รุ่นพี่ร่วมชาติวัย 21 ปี ที่ได้แชมป์แกรนด์สแลมในการลงแข่งรายการที่ 4 แถมแชมป์นี้ยังเป็นแชมป์ระดับอาชีพรายการแรกของเธอด้วย
ที่แน่ๆ ราดูคานูเตรียมขยับแบบก้าวกระโดดจากอันดับ 150 ของโลกขึ้นมาอยู่ที่ 23 ของโลกหลังจากความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้ ยังไม่รวมเงินรางวัลจากการแข่งขัน 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 81.75 ล้านบาท : อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ณ วันที่ 12 กันยายน 2021) ที่เธอจะได้ และสปอนเซอร์รายอื่นๆ ที่เชื่อว่าจะเดินหน้ามายื่นข้อเสนอแน่นอน
ตอนนี้เราเห็นราดูคานูบนยอดเขาแล้ว ต้องมาดูตอนที่เธอปีนขึ้นมาบ้าง มาทำความรู้จักกับสาวสวยนักหวดวัย 18 ปีคนนี้กัน ว่าเรื่องราวชีวิตของเธอนั้นเป็นอย่างไร
ทักษะกีฬารอบด้าน
เห็นราดูคานูดูยิ้มแย้มกับกีฬาเทนนิสที่เธอเก่งแบบนี้ ใช่ว่าความสามารถของสาววัย 18 ปีคนนี้จะมีแต่การหวดลูกสักหลาดเพียงอย่างเดียว โดยสาวมหัศจรรย์คนนี้เกิดที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา โดยมีคุณพ่อเป็นชาวโรมาเนียนชื่อเอียน (Ian) และคุณแม่เป็นชาวจีนชื่อว่าเรนี (Renee) ทั้งคู่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับไฟแนนซ์ ซึ่งทั้งครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อตอนที่ราดูคานูอายุได้ 2 ขวบ
ก่อนหน้าที่จะก้าวสู่วงการเทนนิสอาชีพ คุณพ่อของเธอได้ปลูกฝังให้หัดเล่นและฝึกซ้อมกีฬาหลายชนิดนอกจากวหดลูกสักหลาด ทั้งขี่ม้า ว่ายน้ำ บาสเกตบอล รวมถึงกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่างโกคาร์ตและโมโตครอสส์ด้วย
“ฉันลงแข่งโกคาร์ตอยู่ประมาณปีสองปีตอนเด็กๆ น่าจะประมาณตอน 8 ขวบ จากนั้นตอน 10 ขวบก็เปลี่ยนไปแข่งโมโตครอสส์ ฉันอินกับมอเตอร์สปอร์ตมากแต่ก็ไม่สามารถประคับประคองต่อต่อได้ เพราะว่าเส้นทางเทนนิสอาชีพของฉันกำลังเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีทีเดียว” ราดูคานูเปิดเผย และจากนั้นไม่นานเกินรอ เธอก็ผลาดคว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลม
นอกจากพรสวรรค์แล้ว ความสงบเยือกเย็นและทักษะที่โดดเด่น ผนวกกับบุคลิกที่ร่าเริงสดใส ทำให้เธอเข้าไปอยู่ในใจของแฟนๆ กีฬาหลายคน กลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่สว่างจ้าในเวลานี้ การฝ่าฟังถึงรอบ 4 ในศึกเทนนิสวิมเบิลดัน (Wimbledon) เมื่อเเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จนถึงการคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่น นับรวมกับรายการทัวร์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่เธอลงแข่งได้ทั้งหมดเพียงแค่ 4 ทัวร์นาเมนต์เท่านั้นเอง (รายการแกรนด์สแลม 2 ครั้ง)
ความมหัศจรรย์นี้ แอนดี้ เมอร์เรย์ (Andy Murray) อดีตนักหวดหนุ่มอันดับ 1 ของโลกจากสหราชอาณาจักรถึงกับออกปากชมว่า “เธอมีทัศนคติที่ดี มีความเฉลียวฉลาด และทำผลงานได้สุดยอดมาก ผมมั่นใจว่าหนทางของเธอนั้นยาวไกล และมาถูกทางแล้ว”
ครอบครัวคือแรงผลักดัน
ราดูคานูเริ่มจับแร็คเกตครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 5 ขวบ และได้เข้าไปฝึกฝนที่บรอมลีย์ เทนนิส อคาเดมี (Bromley Tennis Academy) ก่อนที่เธอจะฉายแววจนเข้าตาทางลอว์นเทนนิสสมาคมของอังกฤษ (Lawn Tennis Association) นับเป็นการเริ่มเส้นทางเทนนิสของสาวน้อยดาวโรจน์ที่ดี เธอได้เข้าแคมป์ฝึกซ้อม ทั้งยังได้เดินทางไปเก็บตัวและแข่งกันกับทางสมาคมฯ และค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามช่วงอายุ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากครอบครัวในในคอร์ตและนอกคอร์ต
“ความสุขุมและความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันได้มาจากการเลี้ยงดู พ่อแม่ของฉันปลูกฝังให้ฉันมีทัศนคติที่ดีในคอร์ตมาตั้งแต่เด็กๆ แน่นอนว่าฉันได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจนถึงวันนี้”
ส่วนผลงานการแข่งขันในวัยเด็กและเยาวชน ราดูคานูเคยได้แชมป์ระดับประเทศทั้งรุ่นอายุ 9 ปี, 12 ปี และ 16 ปีมาแล้ว รวมถึงแชมป์เยาวชนของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ITF) ขณะอายุ 13 ปี
อย่างไรก็ตาม ในศึกยูเอส โอเพ่นครั้งนี้ น่าเสียดายที่พ่อแม่ของเธอไม่สามารถมาลุ้นมาเชียร์ราดูคานูถึงข้างสนามได้ เนื่องจากมาตรการเรื่องการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นค่อนข้างจะเคร่งครัด\
“เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเราต้องรอให้มีคนสละสิทธิด้วย และก็ต้องใช้เวลาทำเรื่องนาน 2-3 สัปดาห์ ซึ่งมันก็ช้าไปแล้ว” ราดูคานูเล่าถึงสาเหตุที่พ่อแม่ของเธอเดินทางมาสัมผัสความสำเร็จของเธอในครั้งนี้ไม่ได้
สู้ไม่ถอย
แม้ว่าราดูคานูจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการเทนนิสของเมืองผู้ดี แต่ตัวเธอเองไม่เคยได้รับบททดสอบใหญ่ๆ ก่อนที่จะได้รับไวล์การ์ดเข้าร่วมแข่งขันศึกวิมเบิลดันเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเธออยู่ที่อันดับ 336 ของโลก และวิมเบิลดันคือทัวร์นาเมนต์ที่สองของชีวิตที่ได้เข้าร่วม ซึ่งเธอก็สามารถสู้จนเข้าถึงรอบ 16 คนสุดท้ายได้
แต่หลังจากทะลุเอาชนะนักหวดระดับท็อป 50 ของโลกได้ 2 คนที่ออล อิงแลนด์ คลับ (All England Club) จนมาเจอกับไอจ์ลา โทเมิลยาโนวิช (Ajla Tomljanovic) จากออสเตรเลียในรอบ 4 ซึ่งในรอบนี้ราดูคานูมีอาการวิงเวียนศีรษะและหายใจลำบาก จนต้องขอถอนตัวจากการแข่งขันขณะตามหลังอยู่ 4-6 และ 0-3
แน่นอนว่าหลายคนตั้งคำถามว่าร่างกายเธอจะไหวหรือไม่กับการแข่งขันในระดับสูงสุด แต่สำหรับราดูคานูแล้ว เมื่อใจสู้ แรงก็พร้อมลุยต่อ และหากมีการวางแผนและทีมงานที่ดี เป้าหมายก็อยู่ไม่ไกล
“ยอมรับว่าฉันไม่ได้ฝึกมาอย่างหนักเท่ากับนักหวดสาวรายอื่นๆ ที่ลงแข่งทัวร์นาเมนต์ต่างๆ มา 10 ปี การลงเล่นอย่างเข้มข้น 2 สัปดาห์ต่อเนื่องกันเป็นสิ่งใหม่สำหรับฉัน” แชมป์หญิงเดี่ยวยูเอส โอเพ่นคนล่าสุดเล่าให้ฟัง ซึ่งนอกจากวิมเบิลดัน และยูเอส โอเพ่น เธอยังต้องลงแข่งรายการไอทีเอฟ/ ยูเอสทีเอ (ITF/USTA) ที่เพนซิลเวเนีย และดับเบิลยูทีเอ ชิคาโก 125 (WTA Chicago 125) ที่ชิคาโกในเวลาไม่ห่างกันมากด้วย
อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่ราดูคานูได้พัก 4 วันจากการแข่งรอบคัดเลือกจนถึงรอบแรกในเมนดรอว์ ทำให้เธอได้พักฟื้นฟูร่างกายได้มากขึ้น ประกอบกับการตัดสินใจร่วมงานกับวิลล์ เฮอร์เบิร์ต (Will Herbert) นักภาพบำบัดแถวหน้าของวงการ ที่เคยดูแลสภาพร่างกายให้กับอเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ (Alexander Zverev) นักหวดหนุ่มแถวหน้าของโลกชาวเยอรมัน และไคล์ เอ็ดมุนด์ (Kyle Edmund) อดีตมือหนึ่งของสหราชอาณาจักร ซึ่งการได้เฮอร์เบิร์ตมาเป็นหนึ่งในทีมงานนั้นถือว่าเป็นการแก้ปัญหาของราดูคานูได้ตรงจุด
นอกจากนี้ หลังจากที่ถอนตัวจากศึกวิมเบิลดัน ราดูคานูได้กลับมาฝึกซ้อมกับแอนดรูว์ ริชาร์ดสัน (Andrew Richardson) ที่เคยร่วมงานกับเธอเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นนักหวดสาวน้อย รวมถึงได้คำแนะนำดีๆ จากไนเจล เซียร์ส (Nigel Sears) โค้ชประสบการณ์สูงที่เคยฝึกให้กับอนา อิวาโนวิช (Ana Ivanovic) อดีตมือหนึ่งของโลกชาวเซอร์เบีย และดาเนียลา ฮันตูโชวา (Daniela Hantuchova) นักเทนนิสสาวชื่อดังชาวสโลวักอีกด้วย
การได้ร่วมการกับโค้ชหลากหลายทำให้เธอได้เรียนรู้มากมายเพื่อหล่อหลอมตัวตนได้เป็นอย่างดี แถมยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเติมในสิ่งที่ขาด ซึ่งเพื่อนนักเทนนิสร่วมชาติอย่างนาโอมิ โบรดี (Naomi Broady) เคยกล่าวชมราดูคานูว่า “เอ็มม่าเรียนรู้เร็วมาก เธอเรียนรู้การเล่นของคู่แข่งด้วยตัวเอง เธอรักมัน เธอมีความสุขกับศึกษาความรู้ในวงการเทนนิส”
ด้านแอนน์ แก้วทะวงศ์ (Anne Keothavong) กัปตันทีมสหราชอาณาจักรชุดบิลลี่ จีน คิง คัพ (Billie Jean King Cup) ก็ได้กล่าวถึงราดูคานูว่า “เอ็มม่าเป็นตัวของตัวเองในแง่จิตใจ และมีภาพการเล่นของตัวเองอย่างชัดเจน”
ขณะที่นาโอมิ คาวาเดย์ (Naomi Cavaday) อดีตนักเทนนืสที่เคยเป็นผู้ฝึกสอนให้ราดูคานูในวัยเด็กก็พูดถึงอดีตลูกศิษย์ในแง่ความทุ่มเทเช่นกัน
“เธอคือคนที่ทุ่มเทอย่างน่ามหัศจรรย์ ฉันไม่เคยเจอใครที่ขยันเท่าเธอในชีวิตนี้ เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้ากับตัวเองและเพื่อนร่วมทีม คุณต้องทุ่มเทเช่นเดียวกันถ้าอยู่ในคอร์ตกับเอ็มม่า ทุกครั้งที่หวดลูก เธอจะวิเคราะห์และตั้งคำถามเสมอ ซึ่งมันเป็นเช่นนี้ตลอด”
นับเป็นสุดยอดความสำเร็จของนักเทนนิสสาววัย 18 ปีรายนี้อย่างแท้จริง แม้จะเพิ่งเริ่มแข่งเทนนิสรายการใหญ่พียงไม่กี่ทัวร์นาเมนต์ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นว่าพลังของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่หาตัวตนเจอ และมุ่งมั่นทำมันจนสำเร็จขึ้นมาได้
เชื่อว่าอนาคตของราดูคานูยังอีกไกล และเราจะได้เห็นความสำเร็จของเธออีกนาน แต่ที่แน่ๆ วันนี้เธอทำให้ตัวเองและครอบครัวภูมิใจแล้ว
“คุณพ่อของฉันเป็นคนที่ปลาบปลื้มอะไรได้ยากมาก แต่วันนี้ฉันทำได้แล้ว” - เอ็มม่า ราดูคานู
credit :
https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/emma-raducanu-us-open-champion-2021
เรื่องราวมหัศจรรย์ของ Emma Raducanu นักเทนนิสสาวดาวรุ่งที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่น
โดยราดูคานูซึ่งมีอันดับโลกอยู่ที่ 150 ไม่ได้ถูกจับตามองว่าจะสามารถทะลุมาสร้างความยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้ แต่แล้วสาววัย 18 ปีก็พลิกประวัติศาสตร์ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศในประเภทหญิงเดี่ยวกับเลย์ลาห์ เฟอร์นานเดซ (Leylah Fernandez) นักหวดสาววัย 19 ปีจากแคนาดา โดยคู่นี้ต้องบอกว่าเป็น ‘Teen Finals’ การชิงชัยกันของของสาวดาวรุ่งที่แจ้งเกิดในรายการนี้อย่างแท้จริง ซึ่งแมตช์ระหว่างสองดาวรุ่งจากรอบคัดเลือกครั้งแรกในรายการใหญ่ระดับอาชีพก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปในศึกยูเอส โอเพ่น 1999 ที่เป็นการเจอกันระหว่างเซเรน่า วิลเลียมส์ (Serena Williams) ในวัย 17 ปีในขณะนั้น ที่เอาชนะมาร์ติน่า ฮินกิส (Martina Hingis) ในวัย 18 ปีตอนนั้น
ผลปรากฏว่า ราดูคานูโชว์ฟอร์เยี่ยม เอาชนะเฟอร์นานเดซ 2 เซตรวด 6-4 และ 6-3 ชูถ้วยแชมป์ยูเอส โอเพ่น อย่างยิ่งใหญ่ที่อาเธอร์ แอช สเตเดียม (Arthur Ashe Stadium) ในมหานครนิวยอร์ก
ทำให้เธอกลายเป็นนักเทนนิสจากรอบคัดเลือกคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลมได้แบบไม่เสียเซ็ต (3 แมตช์ในรอบคัดเลือก และ 7 แมตช์ในรอบเมนดรอว์) และเป็นแชมป์ระดับแกรนด์สแลมประเภทหญิงที่อายุน้อยที่สุดในรอบ 17 ปี นับตั้วแต่มาเรีย ชาราโปว่า (Maria Sharapova) นักหวดสาวสวยชาวรัสเซียเคยทำได้เมื่อปี 2004 ขณะอายุ 17 ปี รวมทั้งเป็นนักหวดสาวจากแดนผู้ดีคนแรกที่ได้แชมป์ยูเอส โอเพ่น ในรอบ 53 ปีหลังจากที่เวอร์จิเนีย เวด (Virginia Wade) อดีตนักเทนนิสคนดังจากสหราชอาณาจักรทำได้เมื่อปี 1968 นอกจากนี้ ราดูคานู ยังกลายเป็นนักหวดสาวจากเกาะอังกฤษคนแรกที่ได้ชูถ้วยแชมป์แกรนด์สแลมในรอบ 44 ปี หลังจากเวดเคยทำได้เมื่อปี 1977
นอกจากความมหัศจรรย์และสถิติใหม่ๆ ที่เธอทำได้แล้ว การคว้าแชมป์ศึกแกรนด์สแลมครั้งนี้ของเธอยังถือว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย เนื่องจากเป็นการได้แชมป์ตั้งแต่การลงแข่งรายการแกรนด์สแลมครั้งที่ 2 ในชีวิต เร็วกว่านักหวดอดีตมือ 1 ของโลกอย่างโมนิก้า เซเลส (Monica Seles) และเบียนก้า อันดรีสคู (Bianca Andreescu) รุ่นพี่ร่วมชาติวัย 21 ปี ที่ได้แชมป์แกรนด์สแลมในการลงแข่งรายการที่ 4 แถมแชมป์นี้ยังเป็นแชมป์ระดับอาชีพรายการแรกของเธอด้วย
ที่แน่ๆ ราดูคานูเตรียมขยับแบบก้าวกระโดดจากอันดับ 150 ของโลกขึ้นมาอยู่ที่ 23 ของโลกหลังจากความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้ ยังไม่รวมเงินรางวัลจากการแข่งขัน 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 81.75 ล้านบาท : อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ณ วันที่ 12 กันยายน 2021) ที่เธอจะได้ และสปอนเซอร์รายอื่นๆ ที่เชื่อว่าจะเดินหน้ามายื่นข้อเสนอแน่นอน
ตอนนี้เราเห็นราดูคานูบนยอดเขาแล้ว ต้องมาดูตอนที่เธอปีนขึ้นมาบ้าง มาทำความรู้จักกับสาวสวยนักหวดวัย 18 ปีคนนี้กัน ว่าเรื่องราวชีวิตของเธอนั้นเป็นอย่างไร
ทักษะกีฬารอบด้าน
เห็นราดูคานูดูยิ้มแย้มกับกีฬาเทนนิสที่เธอเก่งแบบนี้ ใช่ว่าความสามารถของสาววัย 18 ปีคนนี้จะมีแต่การหวดลูกสักหลาดเพียงอย่างเดียว โดยสาวมหัศจรรย์คนนี้เกิดที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา โดยมีคุณพ่อเป็นชาวโรมาเนียนชื่อเอียน (Ian) และคุณแม่เป็นชาวจีนชื่อว่าเรนี (Renee) ทั้งคู่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับไฟแนนซ์ ซึ่งทั้งครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อตอนที่ราดูคานูอายุได้ 2 ขวบ
ก่อนหน้าที่จะก้าวสู่วงการเทนนิสอาชีพ คุณพ่อของเธอได้ปลูกฝังให้หัดเล่นและฝึกซ้อมกีฬาหลายชนิดนอกจากวหดลูกสักหลาด ทั้งขี่ม้า ว่ายน้ำ บาสเกตบอล รวมถึงกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่างโกคาร์ตและโมโตครอสส์ด้วย
“ฉันลงแข่งโกคาร์ตอยู่ประมาณปีสองปีตอนเด็กๆ น่าจะประมาณตอน 8 ขวบ จากนั้นตอน 10 ขวบก็เปลี่ยนไปแข่งโมโตครอสส์ ฉันอินกับมอเตอร์สปอร์ตมากแต่ก็ไม่สามารถประคับประคองต่อต่อได้ เพราะว่าเส้นทางเทนนิสอาชีพของฉันกำลังเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีทีเดียว” ราดูคานูเปิดเผย และจากนั้นไม่นานเกินรอ เธอก็ผลาดคว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลม
นอกจากพรสวรรค์แล้ว ความสงบเยือกเย็นและทักษะที่โดดเด่น ผนวกกับบุคลิกที่ร่าเริงสดใส ทำให้เธอเข้าไปอยู่ในใจของแฟนๆ กีฬาหลายคน กลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่สว่างจ้าในเวลานี้ การฝ่าฟังถึงรอบ 4 ในศึกเทนนิสวิมเบิลดัน (Wimbledon) เมื่อเเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จนถึงการคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่น นับรวมกับรายการทัวร์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่เธอลงแข่งได้ทั้งหมดเพียงแค่ 4 ทัวร์นาเมนต์เท่านั้นเอง (รายการแกรนด์สแลม 2 ครั้ง)
ความมหัศจรรย์นี้ แอนดี้ เมอร์เรย์ (Andy Murray) อดีตนักหวดหนุ่มอันดับ 1 ของโลกจากสหราชอาณาจักรถึงกับออกปากชมว่า “เธอมีทัศนคติที่ดี มีความเฉลียวฉลาด และทำผลงานได้สุดยอดมาก ผมมั่นใจว่าหนทางของเธอนั้นยาวไกล และมาถูกทางแล้ว”
ครอบครัวคือแรงผลักดัน
ราดูคานูเริ่มจับแร็คเกตครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 5 ขวบ และได้เข้าไปฝึกฝนที่บรอมลีย์ เทนนิส อคาเดมี (Bromley Tennis Academy) ก่อนที่เธอจะฉายแววจนเข้าตาทางลอว์นเทนนิสสมาคมของอังกฤษ (Lawn Tennis Association) นับเป็นการเริ่มเส้นทางเทนนิสของสาวน้อยดาวโรจน์ที่ดี เธอได้เข้าแคมป์ฝึกซ้อม ทั้งยังได้เดินทางไปเก็บตัวและแข่งกันกับทางสมาคมฯ และค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามช่วงอายุ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากครอบครัวในในคอร์ตและนอกคอร์ต
“ความสุขุมและความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันได้มาจากการเลี้ยงดู พ่อแม่ของฉันปลูกฝังให้ฉันมีทัศนคติที่ดีในคอร์ตมาตั้งแต่เด็กๆ แน่นอนว่าฉันได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจนถึงวันนี้”
ส่วนผลงานการแข่งขันในวัยเด็กและเยาวชน ราดูคานูเคยได้แชมป์ระดับประเทศทั้งรุ่นอายุ 9 ปี, 12 ปี และ 16 ปีมาแล้ว รวมถึงแชมป์เยาวชนของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ITF) ขณะอายุ 13 ปี
อย่างไรก็ตาม ในศึกยูเอส โอเพ่นครั้งนี้ น่าเสียดายที่พ่อแม่ของเธอไม่สามารถมาลุ้นมาเชียร์ราดูคานูถึงข้างสนามได้ เนื่องจากมาตรการเรื่องการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้นค่อนข้างจะเคร่งครัด\
“เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเราต้องรอให้มีคนสละสิทธิด้วย และก็ต้องใช้เวลาทำเรื่องนาน 2-3 สัปดาห์ ซึ่งมันก็ช้าไปแล้ว” ราดูคานูเล่าถึงสาเหตุที่พ่อแม่ของเธอเดินทางมาสัมผัสความสำเร็จของเธอในครั้งนี้ไม่ได้
สู้ไม่ถอย
แม้ว่าราดูคานูจะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการเทนนิสของเมืองผู้ดี แต่ตัวเธอเองไม่เคยได้รับบททดสอบใหญ่ๆ ก่อนที่จะได้รับไวล์การ์ดเข้าร่วมแข่งขันศึกวิมเบิลดันเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเธออยู่ที่อันดับ 336 ของโลก และวิมเบิลดันคือทัวร์นาเมนต์ที่สองของชีวิตที่ได้เข้าร่วม ซึ่งเธอก็สามารถสู้จนเข้าถึงรอบ 16 คนสุดท้ายได้
แต่หลังจากทะลุเอาชนะนักหวดระดับท็อป 50 ของโลกได้ 2 คนที่ออล อิงแลนด์ คลับ (All England Club) จนมาเจอกับไอจ์ลา โทเมิลยาโนวิช (Ajla Tomljanovic) จากออสเตรเลียในรอบ 4 ซึ่งในรอบนี้ราดูคานูมีอาการวิงเวียนศีรษะและหายใจลำบาก จนต้องขอถอนตัวจากการแข่งขันขณะตามหลังอยู่ 4-6 และ 0-3
แน่นอนว่าหลายคนตั้งคำถามว่าร่างกายเธอจะไหวหรือไม่กับการแข่งขันในระดับสูงสุด แต่สำหรับราดูคานูแล้ว เมื่อใจสู้ แรงก็พร้อมลุยต่อ และหากมีการวางแผนและทีมงานที่ดี เป้าหมายก็อยู่ไม่ไกล
“ยอมรับว่าฉันไม่ได้ฝึกมาอย่างหนักเท่ากับนักหวดสาวรายอื่นๆ ที่ลงแข่งทัวร์นาเมนต์ต่างๆ มา 10 ปี การลงเล่นอย่างเข้มข้น 2 สัปดาห์ต่อเนื่องกันเป็นสิ่งใหม่สำหรับฉัน” แชมป์หญิงเดี่ยวยูเอส โอเพ่นคนล่าสุดเล่าให้ฟัง ซึ่งนอกจากวิมเบิลดัน และยูเอส โอเพ่น เธอยังต้องลงแข่งรายการไอทีเอฟ/ ยูเอสทีเอ (ITF/USTA) ที่เพนซิลเวเนีย และดับเบิลยูทีเอ ชิคาโก 125 (WTA Chicago 125) ที่ชิคาโกในเวลาไม่ห่างกันมากด้วย
อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่ราดูคานูได้พัก 4 วันจากการแข่งรอบคัดเลือกจนถึงรอบแรกในเมนดรอว์ ทำให้เธอได้พักฟื้นฟูร่างกายได้มากขึ้น ประกอบกับการตัดสินใจร่วมงานกับวิลล์ เฮอร์เบิร์ต (Will Herbert) นักภาพบำบัดแถวหน้าของวงการ ที่เคยดูแลสภาพร่างกายให้กับอเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ (Alexander Zverev) นักหวดหนุ่มแถวหน้าของโลกชาวเยอรมัน และไคล์ เอ็ดมุนด์ (Kyle Edmund) อดีตมือหนึ่งของสหราชอาณาจักร ซึ่งการได้เฮอร์เบิร์ตมาเป็นหนึ่งในทีมงานนั้นถือว่าเป็นการแก้ปัญหาของราดูคานูได้ตรงจุด
นอกจากนี้ หลังจากที่ถอนตัวจากศึกวิมเบิลดัน ราดูคานูได้กลับมาฝึกซ้อมกับแอนดรูว์ ริชาร์ดสัน (Andrew Richardson) ที่เคยร่วมงานกับเธอเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นนักหวดสาวน้อย รวมถึงได้คำแนะนำดีๆ จากไนเจล เซียร์ส (Nigel Sears) โค้ชประสบการณ์สูงที่เคยฝึกให้กับอนา อิวาโนวิช (Ana Ivanovic) อดีตมือหนึ่งของโลกชาวเซอร์เบีย และดาเนียลา ฮันตูโชวา (Daniela Hantuchova) นักเทนนิสสาวชื่อดังชาวสโลวักอีกด้วย
การได้ร่วมการกับโค้ชหลากหลายทำให้เธอได้เรียนรู้มากมายเพื่อหล่อหลอมตัวตนได้เป็นอย่างดี แถมยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเติมในสิ่งที่ขาด ซึ่งเพื่อนนักเทนนิสร่วมชาติอย่างนาโอมิ โบรดี (Naomi Broady) เคยกล่าวชมราดูคานูว่า “เอ็มม่าเรียนรู้เร็วมาก เธอเรียนรู้การเล่นของคู่แข่งด้วยตัวเอง เธอรักมัน เธอมีความสุขกับศึกษาความรู้ในวงการเทนนิส”
ด้านแอนน์ แก้วทะวงศ์ (Anne Keothavong) กัปตันทีมสหราชอาณาจักรชุดบิลลี่ จีน คิง คัพ (Billie Jean King Cup) ก็ได้กล่าวถึงราดูคานูว่า “เอ็มม่าเป็นตัวของตัวเองในแง่จิตใจ และมีภาพการเล่นของตัวเองอย่างชัดเจน”
ขณะที่นาโอมิ คาวาเดย์ (Naomi Cavaday) อดีตนักเทนนืสที่เคยเป็นผู้ฝึกสอนให้ราดูคานูในวัยเด็กก็พูดถึงอดีตลูกศิษย์ในแง่ความทุ่มเทเช่นกัน
“เธอคือคนที่ทุ่มเทอย่างน่ามหัศจรรย์ ฉันไม่เคยเจอใครที่ขยันเท่าเธอในชีวิตนี้ เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้ากับตัวเองและเพื่อนร่วมทีม คุณต้องทุ่มเทเช่นเดียวกันถ้าอยู่ในคอร์ตกับเอ็มม่า ทุกครั้งที่หวดลูก เธอจะวิเคราะห์และตั้งคำถามเสมอ ซึ่งมันเป็นเช่นนี้ตลอด”
นับเป็นสุดยอดความสำเร็จของนักเทนนิสสาววัย 18 ปีรายนี้อย่างแท้จริง แม้จะเพิ่งเริ่มแข่งเทนนิสรายการใหญ่พียงไม่กี่ทัวร์นาเมนต์ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นว่าพลังของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่หาตัวตนเจอ และมุ่งมั่นทำมันจนสำเร็จขึ้นมาได้
เชื่อว่าอนาคตของราดูคานูยังอีกไกล และเราจะได้เห็นความสำเร็จของเธออีกนาน แต่ที่แน่ๆ วันนี้เธอทำให้ตัวเองและครอบครัวภูมิใจแล้ว
“คุณพ่อของฉันเป็นคนที่ปลาบปลื้มอะไรได้ยากมาก แต่วันนี้ฉันทำได้แล้ว” - เอ็มม่า ราดูคานู
credit : https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/emma-raducanu-us-open-champion-2021