จากงาน Apple Event “California streaming” ในวันที่ 14 กันยายน เวลาเที่ยงคืนของไทย ได้มีการเปิดตัว iPhone 13 จะมีสเปคและฟีเจอร์ใหม่น่าสนใจอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
สเปค iPhone 13 mini และ iPhone 13
1.iPhone 13 mini , iPhone 13 ดีไซน์หน้าจอยังคงเหมือนเดิม ขนาด 5.4 นิ้ว และ 6.1 นิ้ว ส่วนรอยบาก (notch) บนหน้าจอจะมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อน ทำให้มีพื้นที่ดูจอมากขึ้น ครอบกระจกหน้าจอ Ceramic Shield
2.ทั้งคู่ยังใช้จอ Super Ratina XDR (OLED) เหมือนเดิม เพิ่มเติมหน้าจอสว่างขึ้นกว่าเดิม 28% ค่ารีเฟรชเรท 60Hz
3.ใช้ชิปเซ็ต Apple A15 + GPU 4 Cores ส่วน CPU เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และประมวลผลกราฟิกเร็วขึ้น 30%
4.ปรับการวางตำแหน่งกล้องหลังใหม่ ลักษณะทแยงมุมเฉียง กล้องหลัง 2 ตัว กล้อง Wide ความละเอียด 12MP (f/1.8) กันสั่น IBIS รับแสงได้เพิ่มขึ้น 47 % , กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12MP (f/2.4) มุมกว้าง 120 องศา เซ็นเซอร์ทำงานเร็วขึ้น และกล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12MP (f/2.2) + SL 3D สามารถถ่าย Night Mode ได้ทุกเลนส์
5.รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic Mode สามารถปรับโฟกัสบนวัตถุ ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้เหมือนกล้องถ่ายหนัง (บันทึกวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K @60fps)
6.รองรับ Face ID (ไม่รองรับสแกนลายนิ้วมือ)
7.ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ
8.รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 + WiFi 6
9.มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 กันน้ำลึก 6 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
10.แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น สำหรับ iPhone 13 mini ใช้งานนานขึ้นสูงสุด 1.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 ใช้งานนานสูงสุด 2.5 ชั่วโมง รองรับชาร์จไว 20W และชาร์จไร้สาย 15W
11.iPhone 13 mini , iPhone 13 มีให้เลือก 5 สี : สีแดง, สตาร์ไลท์ , มิดไนท์ , น้ำเงิน และสีชมพู (สีใหม่)
12.หน่วยความจำภายใน เริ่มที่ 128GB สำหรับ iPhone 13 mini ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท) และ iPhone 13 ราคาเริ่มต้น 29,900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 33,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 41,900 บาท)
13.ทุกรุ่นสั่งซื้อล่วงหน้าวันที่ 1 ตุลาคม เริ่มเปิดขาย วันที่ 8 ตุลาคม ปีนี้ ที่ Apple Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
.
.
สเปค iPhone 13 Pro และ iPhone Pro Max
1.iPhone 13 Pro , iPhone 13 Pro Max มาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR พร้อมนำเทคโนโลยี Pro Motion ค่ารีเฟรชเรท 120Hz ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว
2.รองรับการรีเฟรชหน้าจอ 10Hz–120Hz มีการปรับรีเฟรชเรทตามการใช้งาน ลักษณะการเลื่อนหน้าจอ และคอนเทนต์ที่เราดูอยู่ เช่นเมื่อลากอ่านข้อความค่ารีเฟรชเรทจะช้าลง
3.ใช้ชิปเซ็ต Apple A15 + GPU 5 Cores ส่วน CPU เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และประมวลผลกราฟิกเร็วขึ้น 30%
4.กล้องหลัง 3 ตัว + LiDAR กล้อง Wide ความละเอียด 12MP (f/1.5) กันสั่น IBIS รับแสงได้เพิ่มขึ้น 2.2 เท่า , กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12MP (f/1.8) มุมกว้าง 120 องศา รับแสงได้ดีขึ้น 92% Auto Focus , กล้อง Telephoto 12MP (f/2.8) กันสั่น OIS ซูมแบบออปติคอลได้ 3 เท่า ระยะ 77 มิลลิเมตร และกล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12MP (f/2.2) + SL 3D ถ่ายภาพ Portrait ละลายหลัง สามารถถ่าย Night Mode ได้ทุกเลนส์
5.รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic Mode สามารถปรับโฟกัสบนวัตถุ ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้เหมือนกล้องถ่ายหนัง (บันทึกวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K @60fps)
6.รองรับ Face ID (ไม่รองรับสแกนลายนิ้วมือ)
7.ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ
8.รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 + WiFi 6
9.มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 กันน้ำลึก 6 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
10.แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับชาร์จไว 20W และชาร์จไร้สาย 15W
11.iPhone 13 Pro , iPhone 13 Pro Max มีให้เลือก 4 สี : สีดำกราไฟต์, สีทอง, สีเงิน และสีฟ้า (สีใหม่)
12.สำหรับ iPhone 13 Pro ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 42,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 50,900 บาท , ความจุ 1 TB ราคา 58,900 บาท) และ iPhone 13 Pro Max ราคาเริ่มต้น 42.900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท , ความจุ 1 TB ราคา 62,900 บาท)
13.ทุกรุ่นสั่งซื้อล่วงหน้าวันที่ 1 ตุลาคม เริ่มเปิดขาย วันที่ 8 ตุลาคม ปีนี้ ที่ Apple Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
อ้างอิง: Apple
สรุปสเปคและฟีเจอร์ใหม่ iPhone 13 ทุกรุ่น จากงาน Apple Events 14 ก.ย. นี้
สเปค iPhone 13 mini และ iPhone 13
1.iPhone 13 mini , iPhone 13 ดีไซน์หน้าจอยังคงเหมือนเดิม ขนาด 5.4 นิ้ว และ 6.1 นิ้ว ส่วนรอยบาก (notch) บนหน้าจอจะมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อน ทำให้มีพื้นที่ดูจอมากขึ้น ครอบกระจกหน้าจอ Ceramic Shield
2.ทั้งคู่ยังใช้จอ Super Ratina XDR (OLED) เหมือนเดิม เพิ่มเติมหน้าจอสว่างขึ้นกว่าเดิม 28% ค่ารีเฟรชเรท 60Hz
7.ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ
8.รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 + WiFi 6
9.มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 กันน้ำลึก 6 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
10.แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น สำหรับ iPhone 13 mini ใช้งานนานขึ้นสูงสุด 1.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 ใช้งานนานสูงสุด 2.5 ชั่วโมง รองรับชาร์จไว 20W และชาร์จไร้สาย 15W
11.iPhone 13 mini , iPhone 13 มีให้เลือก 5 สี : สีแดง, สตาร์ไลท์ , มิดไนท์ , น้ำเงิน และสีชมพู (สีใหม่)
12.หน่วยความจำภายใน เริ่มที่ 128GB สำหรับ iPhone 13 mini ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท) และ iPhone 13 ราคาเริ่มต้น 29,900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 33,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 41,900 บาท)
13.ทุกรุ่นสั่งซื้อล่วงหน้าวันที่ 1 ตุลาคม เริ่มเปิดขาย วันที่ 8 ตุลาคม ปีนี้ ที่ Apple Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
1.iPhone 13 Pro , iPhone 13 Pro Max มาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR พร้อมนำเทคโนโลยี Pro Motion ค่ารีเฟรชเรท 120Hz ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว
2.รองรับการรีเฟรชหน้าจอ 10Hz–120Hz มีการปรับรีเฟรชเรทตามการใช้งาน ลักษณะการเลื่อนหน้าจอ และคอนเทนต์ที่เราดูอยู่ เช่นเมื่อลากอ่านข้อความค่ารีเฟรชเรทจะช้าลง
3.ใช้ชิปเซ็ต Apple A15 + GPU 5 Cores ส่วน CPU เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และประมวลผลกราฟิกเร็วขึ้น 30%
7.ลำโพงคู่แบบสเตอริโอ
8.รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 + WiFi 6
9.มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 กันน้ำลึก 6 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
10.แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับชาร์จไว 20W และชาร์จไร้สาย 15W
11.iPhone 13 Pro , iPhone 13 Pro Max มีให้เลือก 4 สี : สีดำกราไฟต์, สีทอง, สีเงิน และสีฟ้า (สีใหม่)
12.สำหรับ iPhone 13 Pro ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 42,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 50,900 บาท , ความจุ 1 TB ราคา 58,900 บาท) และ iPhone 13 Pro Max ราคาเริ่มต้น 42.900 บาท (ความจุ 256GB ราคา 46,900 บาท , ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท , ความจุ 1 TB ราคา 62,900 บาท)
13.ทุกรุ่นสั่งซื้อล่วงหน้าวันที่ 1 ตุลาคม เริ่มเปิดขาย วันที่ 8 ตุลาคม ปีนี้ ที่ Apple Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ