นิยายสยองขวัญ...สั่งตาย

ตอนที่ 1 ปฐมเหตุ...
...ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก เสียงฟ้าร้องดังระงมไปทั่ว ณ ริมป่าแห่งหนึ่งมีศพนอนหน้าคว่ำอยู่ที่ใต้ต้นฉำฉาใหญ่ ติดกับถนนลูกรัง 
เช้าวันต่อมา ได้มีชาวบ้านพบศพผู้เสียชีวิต 2 คน เป็นชาย 1 คนเป็นหญิง 1 คน สภาพศพผู้หญิงถูกฆ่าปาดคอ ส่วนผู้ชายนั้นมีมีดปักอยู่ที่หัวใจ ชาวบ้านไปแจ้งความในท้องที่และมีตำรวจเข้ามาดำเนินการตรวจสอบ ณ สถานที่เกิดเหตุ นายตำรวจนายหนึ่งบนบ่าของเขาติดดาว 3 ดวง ได้เข้ามาที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งศพยังนอนอยู่ในสภาพเดิม
“ใครเป็นผู้พบศพคนแรกครับจ่า”
ร้อยตำรวจเอกพิทักษ์ วัฒนานุ ซึ่งเป็นร้อยเวรเจ้าของชุดสืบสวนได้สอบถามกับนายตำรวจที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา จ่าสิบตำรวจจำลอง อสังหา
“ผู้พบศพเป็นชายที่มีที่นาอยู่ถัดจากนี่ไปประมาณ 2 กิโลเมตรครับ เมื่อเช้านี้เขาแจ้งว่ากำลังจะเดินทางไปที่นาของเขาตามปกติ แต่ก็พบศพของทั้งสองคนนี้ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นซากสัตว์ แต่พอเข้ามาดูใกล้ๆก็พบว่าเป็นคน ก็เลยไปบอกผู้ใหญ่บ้าน แล้วผู้ใหญ่บ้านก็พาไปแจ้งความที่สถานีตำรวจครับ”
“แล้วผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้บอกอีกหรือไม่ ว่ามีร่องรอยของผู้ต้องสงสัยหรือเปล่า”
ผู้กองพิทักษ์สอบถาม
“ไม่ได้บอกอะไรครับผู้กอง เพราะดูจากสภาพศพแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นการฆ่ากันเองครับ เพราะว่าผู้หญิงถูกพบเป็นศพโดนปาดคอส่วนผู้ชายก็โดนมีดปักที่หัวใจ ที่มือของเขาก็มีเลือดติดอยู่ ก็คิดว่าน่าจะเป็นการฆ่าเพราะว่าหึงหวง เพราะได้ทราบจากชาวบ้านว่าสองคนนี้กำลังคบหาดูใจกันอยู่ แต่ว่าผู้หญิงนั้นไปทำงานไกล วันนี้เขากลับมาเที่ยวด้วยกัน แล้วเมื่อเย็นก็ยังเห็นไปเที่ยวกันที่งานวัด แต่พอเช้ารุ่งขึ้นก็พบว่าทั้งคู่เป็นศพอยู่แล้วครับ ตอนนี้ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย กำลังรอที่จะไปดำเนินการเกี่ยวกับพิธีทางศาสนาของทั้งสองคนอยู่ครับ”
จ่าจำลองบอกกับผู้กองพิทักษ์  ร้อยตำรวจเอกหนุ่มพิจารณาสถานที่เกิดเหตุอยู่สักครู่ หลังจากนั้นก็สั่งให้ชุดสอบสวนได้ดำเนินการเก็บหลักฐานไป ฝ่ายตำรวจได้ทำการสอบถามกับพ่อแม่ของผู้ตายทั้งสองฝ่ายก็ทราบความในเบื้องต้นว่า ผู้หญิงนั้นเข้าไปทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ นาน ๆ จะกลับมาอยู่ที่บ้านสักที แต่ว่าทั้งสองคนนั้นก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์มาโดยตลอด ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดยาว หญิงสาวจึงได้ลางานกลับมาเที่ยวที่บ้าน ประจวบกับได้มีการจัดงานวัดขึ้น ฝ่ายชายก็เลยมาชวนฝ่ายหญิงไปเที่ยว โดยบอกกับพ่อแม่ว่าจะพากลับมาส่งในเช้าของวันรุ่งขึ้น ฝ่ายพ่อแม่ของหญิงสาวก็ทราบอยู่แล้วว่า 2 คนนั้นเป็นคู่รักกัน ก็เลยไม่ได้ห้ามปรามอะไร เพียงแต่สั่งให้ฝ่ายชายดูแลฝ่ายหญิงให้ดี แล้วพอรุ่งเช้าก็พบมา 2 คนกลายเป็นศพไปแล้ว ตอนแรกก็คิดโมโหฝ่ายชาย แต่ก็รู้อยู่ลึก ๆ แล้วว่า ผู้ชายนั้นเป็นคนดี ไม่เคยมีประวัติการทำเรื่องไม่ดีมาก่อน จึงคิดว่าน่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แล้วสร้างหลักฐานว่าฝ่ายชายเป็นคนฆ่าฝ่ายหญิงเสียมากกว่า ทางด้านพ่อแม่ของฝ่ายชายนั้นก็ตกลงกันว่าจะดูแลเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการจัดงานศพ แล้วก็จะให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงนั้นเข้ามาทำงานด้วยกันเพราะว่าผู้หญิงเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน ก็กลัวว่าพ่อแม่จะไม่มีใครเลี้ยงดูจึงจะแสดงความรับผิดชอบ เพราะว่าทั้ง 2 ครอบครัวนั้น ได้สนิทคุ้นเคยกันมานาน ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ทางผู้กองพิทักษ์ก็ให้ฝ่ายสอบสวนได้ดำเนินการเก็บข้อมูล แล้วให้นำศพของทั้งสองไปดำเนินการผ่าพิสูจน์ ก่อนที่จะนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป
ผ่านไป 1 สัปดาห์หลังจากที่มีการผ่าพิสูจน์ร่างของผู้เสียชีวิตทั้งสองคน ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ ผู้กองพิทักษ์จึงได้อนุญาตให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิต นำศพของทั้งสองคนไปประกอบพิธีทางศาสนา หลังจากที่ประกอบพิธีและทำบุญกระดูกเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้กองพิทักษ์  ซึ่งไปร่วมงานของทั้งสองคนในช่วงเช้า ก็กลับมานั่งพักที่ห้องทำงานที่สถานีตำรวจ ในช่วงบ่ายหลังจากกลับมาจากการพักเที่ยง ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังเข้ามา
“ขอสายร้อยตำรวจเอกพิทักษ์ วัฒนานุ หน่อยครับ”
ต้นสายพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ครับ ผมร้อยตำรวจเอกพิทักษ์ วัฒนานุ ประจำสถานีตำรวจภูธรรับสายครับ” ผู้กองหนุ่มตอบกลับ ต้นสายเงียบไปสักครู่ แล้วก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า
“สวัสดีครับผู้กอง ผม พลตำรวจโทพัฒนากร ทรัพย์แสงเศรษฐี ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พูดสายอยู่ครับ”
ผู้กองพิทักษ์ถึงกับทำตาลุกวาว ดีดตัวขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“สวัสดีครับท่าน ผมพิทักษ์ พูดสายอยู่ครับ”
“ไม่เป็นไร ผมต้องการสอบถามข้อมูลเล็กน้อย ผมทราบข่าวมาว่าเมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ท้องที่ของคุณได้มีข่าวการฆ่ากันตาย โดยรูปคดีเหมือนกับที่คนหนึ่งฆ่าอีกคนหนึ่ง แต่ว่าดูจะไม่ใช่การฆ่ากันเองใช่ไหม” 
นายพลพัฒนากรผู้เป็นนายตำรวจใหญ่ ได้สอบถามผ่านทางสายโทรศัพท์ ร้อยตำรวจเอกพิทักษ์ครุ่นคิด แล้วก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สม่ำเสมอว่า
“ครับผม ผมเป็นผู้ดูแลคดีนี้เองครับ เพิ่งจะมีการทำบุญกระดูกไปเมื่อช่วงเช้า ผมก็ไปร่วมงานมาครับ”
“ผมต้องการสำนวนคดีนี้ รบกวนทำสำเนาส่งมาให้ผมได้หรือไม่”
ผู้ช่วย ผบ.ตร. พัฒนากรพูด
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้ฝ่ายเขียนสำนวนคดี ทำสำเนาส่งไปให้ท่านที่สำนักงาน สตช.นะครับ” ผู้กองพิทักษ์พูดตอบกลับ
“ขอบใจมากผู้กอง” พลตำรวจโทพัฒนากรกล่าว
“ครับท่านนายพล” ผู้กองพิทักษ์พูดก่อนที่ปลายสายจะวางไป
“ทำไมท่านจะต้องโทรศัพท์มาขอสำนวนคดีกับเราโดยตรง ทำไมไม่ให้ฝ่ายที่ดูแลหรือลูกน้องท่านโทรศัพท์มา เรื่องนี้ดูจะพิกล” นายตำรวจหนุ่มคิด แล้วกดสายโทรศัพท์ภายใน สั่งการให้ฝ่ายเขียนสำนวนคดี ส่งสำเนาคดีไปยังสํานักงานตํารวจแห่งชาติ 
2 อาทิตย์ต่อมาที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ได้มีการพบศพสาว 1 ราย ข้าง ๆ กันเป็นชายหนุ่มซึ่งมีอาการสาหัส ในช่วงเย็น ที่เกิดฝนตกขึ้นอย่างหนัก ริมถนนติดกับป่าใหญ่ เช้าวันต่อมา มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ในเรื่องของคดีที่มีลักษณะคล้ายๆกันคือ มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ฝ่ายหนึ่งถูกฆ่าปาดคอและอีกฝ่ายถูกแทงทะลุหัวใจ ซึ่งหากนับรวมกับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ของร้อยตำรวจเอกพิพักษ์ซึ่งอยู่ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยแล้ว คดีนี้ก็ถือเป็นครั้งที่ 5 ที่มีคดีแบบนี้เกิดขึ้นและทางตำรวจยังไม่สามารถที่จะค้นหาต้นตอของคดีความได้
บ่ายวันนั้น ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการเรียกตัวนักสืบจำนวน 4 คน เข้ามาเพื่อช่วยในการไขคดีที่เกิดขึ้น ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร ซึ่งทั้ง 4 คนนั้นเป็นนักสืบที่มาจากสำนักงานนักสืบสัจจาสัญจร  
ทั้ง 4 คนประกอบด้วย วิรัช ชาติบุณฑริก หัวหน้าทีมนักสืบ จันทนา พิพัฒน์พงษ์ , เนตรนภา เลิศศิริและสุชานันท์ ไทรสุวรรณ ซึ่งทั้ง 4 ถือเป็นยอดนักสืบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ใช้งานมาหลายครั้ง  โดยครั้งนี้พลตำรวจโทพัฒนากร ทรัพย์แสงเศรษฐี ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับคำสั่งโดยตรงจากพลตำรวจเอกอมร เจริญเลิศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ลงมาดูแลคดีนี้โดยตรง  เมื่อนักสืบทั้ง 4 คนได้เดินทางมาถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถูกเรียกตัวเข้าพบที่ห้องของพลตำรวจโทพัฒนากรทันที เมื่อทั้ง 4 เข้าไปถึงก็เห็นพลตำรวจโทพัฒนากรอยู่กับนายตำรวจอีกคนหนึ่ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่