จากหนี้ท่วมหัว แถมติดการพนัน สู่การนับถอยหลังปลดหนี้ และมีทองเกือบ 2 บาท

สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้เรามาแชร์ประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานของเราให้เป็นอุทาหรณ์กันอีกครั้ง

สองปีก่อนเราเคยตั้งกระทู้ถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้น เป็นหนี้ แถมหลงเข้าไปในวังวนของการพนันออนไลน์ จนถึงวันนี้ ทุกอย่างกำลังเริ่มคลี่คลายและเรามีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วค่ะ

กระทู้นี้จะยาวหน่อยนะคะ เราอยากบันทึกไว้เองด้วย ว่าครั้งหนึ่งเราสร้างปัญหา และแก้ปัญหาให้ตัวเองยังไง

เริ่มจากตอนนั้นเราเป็นหนี้ วงเงินกลมๆ อยู่ที่ 300,000 บาทค่ะ
สิ่งที่เราตัดสินใจในตอนนั้น คือสิ่งที่เราจะไม่แนะนำให้ใครทำตาม นั่นคือการปล่อยให้เป็นหนี้เสีย แล้วรอเจรจา ด้วยหวังว่าเราจะหาเงินมาปิดยอดหลังหักส่วนลดได้ แต่ความจริงก็คือ นอกจากเราจะหาเงินไม่ได้ เรายังเสียเงินไปกับการพนันออนไลน์ที่ชื่อว่าบาคาร่า
ตอนนั้นเราไม่รับสายสักธนาคารที่โทรมาเลยค่ะ แต่คิดไว้แล้วว่าจะทยอยจ่ายบัตรเครดิตบางใบที่ยอดเงินไม่เยอะมาก และประวัติไม่เคยเสีย ตอนนั้นเราคิดว่า ใบไหนที่จ่ายตรงเวลา เครดิตดีมาตลอด ก็รักษาเครดิตต่อไป ส่วนใบไหนที่เคยจ่ายช้าไปแล้ว ก็ปล่อยมันไปเลย
เราทำงานเงินเดือนไม่เยอะค่ะ เพราะงานเราไม่หนัก แต่ก็มีงานเสริมทำอยู่ตลอด มีพอจ่ายบัตร 2 ใบ จ่ายดอกเบี้ยหนี้นอกระบบ และมีไว้เล่นการพนัน
น่าแปลกนะคะ เงินส่วนที่เราเล่นการพนันเดือนละสามสี่หมื่นบาท ถ้าเราเอาไปใช้หนี้ มันก็คงหมดภายในเวลาไม่ถึงปีด้วยซ้ำ แต่เราคิดไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเราติดการพนันไปแล้ว

ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นหลายเดือนค่ะ จนโควิดเริ่มเข้ามา เดือนมีนาคม 2020 จากรายได้จากงานเสริมหลายหมื่นบาท ทุกงาน ทุกโปรเจกต์ถูกระงับด้วยสภาพเศรษฐกิจ ตอนนั้นเราเหลือแค่เงินเดือนเพียงอย่างเดียว แถมยังโดนลด 30% เหลือรายรับแค่หมื่นกว่าบาทในแต่ละเดือน ยอดหนี้ตอนนั้นเหลือประมาณ 240,000 บาท เราเริ่มตระหนักว่ารายได้ที่หายไปมันไม่พอกับที่เราจะจ่ายแล้ว พร้อมกันกับที่หมายศาลมาที่บ้าน เราโดนฟ้องจากธนาคารแห่งหนึ่ง ยอดฟ้องแสนต้นๆ ค่ะ วันนั้นเราเลยดึงสติตัวเองกลับมา ลิสต์รายการหนี้สินทั้งหมดออกมา ดังนี้ค่ะ
1. บัตรเครดิต BBL ยอดหนี้ 36,000 บาท
2. บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด KTC (โดนฟ้องแล้ว) ยอดหนี้ 110,000 บาท
3. บัตรกดเงินสด Aeon ยอดหนี้ 38,000 บาท
4. บัตรกดเงินสด CITI ยอดหนี้ 26,000 บาท
5. หนี้นอกระบบ ดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน 30,000 บาท

ถึงตอนนี้ประสาทกินสมองแล้วค่ะ เริ่มเครียด และหาทางชำระหนี้ โดยเริ่มจากไปตามศาลนัดก่อน เรามีเวลา 60 เดือนในการจ่ายหนี้ทั้งหมด หารออกมาเป็นรายเดือนแล้วก็ไม่มากนะคะ เราคิดว่าเราจ่ายไหว ลำดับต่อไปคือหนี้นอกระบบค่ะ ไปเจรจาขอลดต้นลดดอก โดยจะขอหักต้นเดือนละ 5,000 บาท เพื่อให้ดอกมันลดลงไป ซึ่งเจ้าหนี้ก็ใจดีค่ะ ตกลงตามนั้น

แล้วเราก็เริ่มจ่ายเรื่อยมา แต่ปัญหาคือ เหมือนเราจะคิดได้ แต่ยังคิดไม่ได้ค่ะ แอบเล่นการพนันอีกแล้ว เพราะหวังว่าพอได้เงินมา จะได้เอามาใช้หนี้ แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม มันทั้งได้และเสีย พอเสียก็อยากได้คืน พอได้ก็อยากได้อีก วนอยู่แบบนั้นไม่จบไม่สิ้นสักที แล้วสุดท้าย ในแต่ละเดือนเราก็ได้แค่จ่ายหนี้นอกระบบ แต่หนี้อื่นไม่ได้จ่ายเลย ขนาดว่าไปขึ้นศาล ไกล่เกลี่ยผ่อนเดือนละไม่กี่บาท เราก็ไม่จ่าย จนเวลาผ่านไป 6 เดือน หนี้นอกระบบหมด แต่หนี้ธนาคารไม่ลดลงเลย

1. บัตรเครดิต BBL ยอดหนี้ 36,000 บาท
2. บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด KTC (โดนฟ้องแล้ว) ยอดหนี้ 110,000 บาท
3. บัตรกดเงินสด Aeon ยอดหนี้ 38,000 บาท
4. บัตรกดเงินสด CITI ยอดหนี้ 26,000 บาท
5. หนี้นอกระบบ ดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน 30,000 บาท

กันยายน 2020 รอบนี้ดึงสติตัวเองอีกครั้งค่ะ เรารู้ว่าเงินเดือนเราจะได้รับหมื่นกว่าบาท ก่อนวันเงินเดือนออก 1 สัปดาห์ เราโทรหาธนาคารที่ยอดน้อยที่สุด คือ CITI เจรจาว่าขาดรายได้ ขอส่วนลดได้ไหม ทางเจ้าหน้าที่ค่อนข้างดีใจที่เราติดต่อกลับไปค่ะ เพราะทุกครั้งที่เขาโทรมา เราบ่ายเบี่ยงไม่คุยตลอด หรือไม่ก็บล็อกเบอร์ ไม่รับสายไปเลย ครั้งแรกเจ้าหน้าที่ให้ส่วนลดเหลือ 20,000 ถ้วน เราบอกว่าไม่ไหว เพราะเราจะเอาเงินเดือนจ่าย ผ่านไปสองสามวันโทรกลับมาบอกว่าเหลือ 15,000 แต่ถ้าเราจ่ายไป เราจะเหลือเงินพันเดียว ซึ่งไม่พอแน่ๆ เลยขอเค้าเป็นครั้งสุดท้าย บอกว่าขอจ่าย 13,000 บาท และจะจ่ายให้ได้ภายในวันพรุ่งนี้เลย เจ้าหน้าที่หายไป 1 ชั่วโมง ก่อนจะตอบตกลง และวันต่อมาเงินเดือนออก เราโอนจ่ายไปในเช้านั้น ปิดหนี้ได้อีก 1 เจ้า

1. บัตรเครดิต BBL ยอดหนี้ 36,000 บาท
2. บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด KTC (โดนฟ้องแล้ว) ยอดหนี้ 110,000 บาท
3. บัตรกดเงินสด Aeon ยอดหนี้ 38,000 บาท
4. บัตรกดเงินสด CITI ยอดหนี้ 26,000 บาท
5. หนี้นอกระบบ ดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน 30,000 บาท

ถึงตอนนั้นไม่นึกถึงบาคาร่าในหัวแล้วค่ะ เพราะเหลือเงินกินใช้แค่สองสามพัน เราก็พยายามหางานเสริมแบบที่เราเคยทำ แต่มันไม่ง่ายค่ะ พอโควิด คนตกงานก็เยอะ งานแบบเดียวกับเรา ที่มีคนพร้อมทำในเรทที่ต่ำกว่าเราเกือบครึ่ง ใครจะจ้างเราจริงไหมคะ แต่ก็อดทนค่ะ เอาเสื้อผ้ามือสองของตัวเองมาขาย รับหิ้วของตามห้าง ได้ค่าหิ้ว 5-10 บาทก็เอาหมด หาเงินจุกๆ จิกๆ อยู่แบบนั้นอีกสองเดือน

พฤศจิกายน 2020 เราได้งานเสริมที่ทำรายได้ค่อนข้างดี ตอนนั้น WFH แล้วค่ะ งานที่บริษัทแทบไม่มีอะไรให้ทำเลย เพราะบริษัทได้รับผลกระทบเต็มๆ เรามีเวลาทำงานเสริมที่ว่า หนึ่งเดือนได้เงินประมาณหนึ่งหมื่นบาท แล้วยังมีเงินเดือนของเราด้วย เราเลยติดต่อ Aeon เพื่อขอส่วนลดค่ะ ตอนแรกก็ไม่ให้ แล้วบอกว่าจะติดต่อกลับมา เราก็รออย่างมีหวัง พร้อมกับพยายามเก็บเงินไปเรื่อยๆ แต่ก็มีอุปสรรคเล็กๆ เรื่องนึง นั่นคือเราต้องย้ายที่อยู่ค่ะ จากที่เคยอาศัยคนอื่นอยู่ อยู่ฟรี เสียแค่ค่าน้ำค่าไฟและค่าส่วนกลาง ก็ต้องออกมาเช่าห้องอยู่ แต่สภาพแวดล้อมก็ตามราคานะคะ เราอึดอัดมาก น่ากลัวมาก ทั้งเสียงดัง ทั้งมีคนติดยา อาศัยว่าแทบจะไม่ออกไปไหน อาหารก็สั่งมากิน ข้าวกล่องนึงเราทานได้  2 มื้อ (ไม่ทำอะไรกินเองนะคะ ทำไม่เป็น ทอดไข่เจียวจนเหม็นไหม้ทั้งชั้นก็ทำมาแล้ว)

ตอนนั้นเองที่เราอยากมีทองค่ะ พอดีกับที่น้องที่เคยทำงานด้วยกันเขาเป็นตัวแทนร้านทอง เปิดให้ผ่อนทองได้ (ผ่อนทองไม่ใช่ออมทองนะคะ น้องจะกำหนดระยะเวลาให้เราค่ะ อย่างของเรา ทอง 1 สลึง จ่ายงวดละ 730 บาท 10 งวด งวดนึงคือ 1 สัปดาห์)
เราก็ทำงานหาเงินไป ผ่อนทองไปค่ะตอนนั้น ส่วน Aeon ก็หายเงียบไป จนใกล้ปีใหม่ถึงได้ติดต่อกลับมา ให้ส่วนลดอยู่ที่ 29,000 บาท ชำระงวดเดียว
ตอนนั้นเรามีเงินอยู่เกือบครบจำนวนแล้วค่ะ เลยตกลงกับเจ้าหน้าที่ว่าเงินเดือนออกสิ้นเดือนนี้แล้วจะชำระให้ทันที และเราก็ปิดหนี้ Aeon ไปก่อนปีใหม่แค่ 2 วัน

1. บัตรเครดิต BBL ยอดหนี้ 36,000 บาท
2. บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด KTC (โดนฟ้องแล้ว) ยอดหนี้ 110,000 บาท
3. บัตรกดเงินสด Aeon ยอดหนี้ 38,000 บาท
4. บัตรกดเงินสด CITI ยอดหนี้ 26,000 บาท
5. หนี้นอกระบบ ดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน 30,000 บาท

ก่อนขึ้นปีใหม่ ผ่อนทองครบแล้ว ทอง 1 สลึงแรกมาอยู่ในมือเราแล้วค่ะ และความอยากได้อยากมี ตอนนั้นมีเงินเหลือติดบัญชีประมาณหมื่นสอง ตัดสินใจซื้อสดอีก 1 สลึง เท่ากับมีทอง 2 สลึงแล้ว ภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือน

หลังปีใหม่ก็ผ่อนทองต่ออีกสลึง พร้อมกับทำงานเก็บเงิน แล้วเราก็ติดต่อ BBL เพื่อขอส่วนลดค่ะ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะติดต่อกลับ แล้วก็หายไปพักใหญ่
จนโทรกลับมาอีกที กุมภาพันธ์ 2021 แจ้งว่าไม่มีส่วนลดใดๆ ให้ เราก็ขอความเห็นใจสารพัด เจ้าหน้าที่จึงให้จ่ายเฉพาะยอดเงินต้น คือ 33,000 บาท ซึ่งตอนนั้นเรามีเงินเก็บอยู่สองหมื่นกว่าเองค่ะ ขาดอีกหนึ่งหมื่น เลยขอจ่ายตอนเงินเดือนออก และเจ้าหน้าที่ก็อนุญาต แล้วพอสิ้นเดือนนั้น เราก็ปิดหนี้ได้อีกเจ้า

1. บัตรเครดิต BBL ยอดหนี้ 36,000 บาท
2. บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด KTC (โดนฟ้องแล้ว) ยอดหนี้ 110,000 บาท
3. บัตรกดเงินสด Aeon ยอดหนี้ 38,000 บาท
4. บัตรกดเงินสด CITI ยอดหนี้ 26,000 บาท
5. หนี้นอกระบบ ดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน 30,000 บาท

ถึงตอนนี้เราเหลือแค่หนี้ก้อนที่ใหญ่ที่สุดคือ KTC ตัดสินใจโทรหาเจ้าหน้าที่อีกครั้งค่ะ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งข่าวร้ายว่ากำลังส่งเรื่องอายัดเงินเดือนแล้ว เราเลยไปเจรจา แต่ปรากฎว่าตอนนั้นดอกเบี้ยงอกมาเพิ่มอีกหลายพันบาท เราก็บอกไปตามตรงว่าเราไม่ไหวแน่นอนถ้าเยอะขนาดนั้น เจ้าหน้าที่เลยทำเรื่องให้ ให้ชำระตามยอดฟ้องบวกดอกเบี้ยอีกนิดหน่อย ผ่อนจ่ายได้ 6 งวด รวมต้องจ่ายงวดละเกือบสองหมื่นบาท
เราจ่ายไม่ไหวค่ะ คำนวณแล้วว่าไม่พอแน่นอน เดี๋ยวจะกลายเป็นสร้างหนี้ใหม่ เลยให้เจ้าหน้าที่ช่วย แยกเป็น 2 ส่วน บัตรเครดิต กับบัตรกดเงินสดได้ไหม
และเจ้าหน้าที่ก็ช่วยเราเต็มที่ค่ะ แบ่งออกเป็น 2 ยอด รวมชำระ 12 เดือน ตกเดือนละ 10,500 บาท เริ่มผ่อนงวดแรกเดือนเมษายน 2021

เมษายน 2021 ตอนนี้เหมือนทุกอย่างจะง่ายแล้วใช่ไหมคะ แต่ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้นค่ะ เมื่องานเสริมที่เราทำ ที่บอกว่ามีรายได้เกือบหมื่น เราไม่ได้ทำแล้ว เท่ากับเราเหลือแค่เงินเดือนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราย้ายหอพอดีค่ะ ไปอยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมดีขึ้น 250% สบายกายสบายใจมากๆ แต่แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน ตอนนั้นกลับมาได้เงินเดือน 100% แล้วค่ะ แต่หักค่าหอแล้ว เราจะเหลือเงิน 15,000 บาท หักจ่าย KTC 10,500 บาท เท่ากับเหลือเงินเป็นเลขกลมๆ 4,500 บาทเท่านั้นเอง ยังไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์ค่าเน็ตเลย

เราก็เลยนำเงินส่วนที่ยังเหลือจากการทำงานเสริมก่อนหน้านี้ ไปซื้อแฟรนไชส์น้ำปั่นมาค่ะ ทำในหอ และรับออเดอร์ผ่าน Delivery App เอา
มันไม่ง่ายเลยนะคะ บางวันขายได้ 1 แก้ว บางวันขายได้ 2 แก้ว เพราะเราไม่มีหน้าร้าน แถมถ่ายรูปก็ไม่ค่อยสวย แต่ข้อดีคือเราไม่เสียค่าที่ และวัตถุดิบไม่เน่าเสียง่าย เราก็เลยอยู่ได้ค่ะ ช่วงนั้นเราก็มีซื้อกองทุนเก็บไว้บ้าง จากรายได้ในการขายของ แล้วก็ยังผ่อนทองอยู่ด้วย ก็เรียกว่าเริ่มมีอะไรเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ณ วันนั้น เงินเก็บเราหมดแล้ว เพราะลงทุนขายของไป ภาระของเราคือ ค่าหอ จ่าย KTC ผ่อนทอง และค่าใช้จ่ายส่วนตัว
แล้วผีพนันก็วนกลับมาหาเราอีกครั้ง เมื่อเราได้รู้จักกับเกมสล็อต ภาพน่ารัก สีสวย รู้สึกเหมือนเล่นเกม เราชอบมันมากในตอนนั้น และเราไม่ได้เติมครั้งะ 100-300 เหมือนที่เขาโฆษณากันนะคะ เราเติมครั้งละ 2,000 บาท ถ้าบวก ต่ำๆ ก็ได้ 4,000 หรือหมื่นกว่าบาทก็มี บางวันเราถอน 13,000 ตอนบ่าย ตกเย็นถอนอีก 15,000 ทีนี้ยิ่งไปกันใหญ่เลย
ผีพนันมันน่ากลัวมากนะคะ มันอยู่ได้ด้วยความโลภของเรา ยิ่งเราอยากได้คืน หรืออยากได้เพิ่มเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแข็งแรงมากเท่านั้น

เราทำงานหาเงิน ขายของ และเล่นสล็อตเพื่อกินใช้ และจ่ายหนี้แบบนั้นมาเรื่อยๆ จนถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาค่ะ เราเริ่มเสียดายเงินที่เสียไปกับการเล่นการพนัน เริ่มอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นจริงๆ สักที บวกกับเราเสียซ้ำๆ มากที่สุดคือวันเดียว 8,000 บาท ซึ่งเงิน 8,000 บาทนี้เป็นเงินที่เราตั้งใจเก็บเพื่อจะเป็นเงินฉุกเฉิน (ต้องบอกว่าเราพอมีความรู้เรื่องการจัดการเงิน รวมถึงการลงทุนให้เงินมันงอกเงยอยู่บ้างนะคะ แต่เราแค่ไม่มีสติในการใช้เงินและใช้ชีวิต) ตอนนั้นเราเลยเริ่มหาข้อมูลเรื่องการเก็บเงินอย่างจริงจัง หรืออย่างน้อยก็หาออมทองเก็บไว้ก็ยังดี จนไปเจอรีวิวการออมทองของเจ้านึงค่ะ ไม่รู้พูดได้ไหม แต่เป็นการออมทองผ่าน Blockchain เริ่มต้นครั้งละ 150 บาท

วันนั้นวันที่ 7 สิงหาคม 2021 สิ่งที่เราทำคือการนำเงินทุกบาทที่ขายของได้ในแต่ละวัน โอนเข้าบัญชีออมทองทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้มีเงินในบัญชีแล้วเอาไปเล่นสล็อตอีก หรือถ้าวันไหนขายน้ำปั่นได้แค่ 2 แก้ว ไม่ถึงร้อยบาท เราก็เอาไปซื้อกองทุนเก็บไว้ คือไม่ปล่อยให้ตัวเองมีเงินติดบัญชีเลย จะได้ไม่เอาไปเล่นการพนันอีก

จากวันนั้นถึงวันนี้ เราทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เงินเดือนเราหักค่าห้องกับจ่ายหนี้ เหลือแค่สองสามพันบาท แต่เรามีรายได้เล็กๆ จากการขายน้ำปั่น และขายเสื้อผ้ามือสองของเรา แล้วตอนนี้ก็ยังรับขนมมาขายเพิ่ม กำไร 5 บาทก็ยังขาย เพราะอยากให้ชีวิตเราดีขึ้น มีสภาพคล่องจนไม่ต้องไปหยิบยืมใครอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่