เทคนิคเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ ลดค่าใช้จ่ายช่วง Work from home
1. เลือกติดตั้งคอมเพรสเซอร์ในที่ร่ม และอากาศถ่ายเทสะดวก
ในกรณีที่กำลังจะติดตั้งแอร์ตัวใหม่ หรือต้องการย้ายตำแหน่งแอร์อยู่แล้ว แนะนำให้เลือกพื้นที่ติดตั้งคอมเพรสเซอร์ในบริเวณที่เหมาะสม โดยติดตั้งในพื้นที่ร่ม และอากาศถ่ายเทได้สะดวก เนื่องจากคอมเพรสเซอร์มีหน้าที่ระบายความร้อนโดยตรง จึงไม่ควรติดตั้งในพื้นที่อับ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือเป็นพื้นที่โดนแดดโดนฝนโดยตรงตลอดทั้งวัน รวมถึงพื้นที่ดาดฟ้าที่ไม่มีหลังคาด้วยครับ
2. หมั่นล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ
แอร์ที่มีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมาสักพักอาจมีความสามารถในการทำความเย็นลดลง เนื่องจากจะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปสะสมภายในตัวแอร์ เมื่อสะสมไว้เป็นเวลานาน ๆ ก็จะไปขัดขวางการทำงานของมอเตอร์แอร์และชิ้นส่วนอื่น ๆ ภายใน ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อทำความเย็น เป็นสาเหตุทำให้แอร์กินไฟมากกว่าปกติครับ รวมทั้งหากฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้เกิดปัญหาน้ำหยดตามมาอีกด้วย ดังนั้นจึงควรล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 6 เดือนเป็นอย่างต่ำ แต่หากติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่มีปัจจัยให้แอร์ทำงานหนักกว่าปกติ เช่น ติดตั้งในห้องที่อยู่ติดกับถนน มีฝุ่นควันเป็นประจำ หรืออยู่ในเขตก่อสร้างก็ควรล้างแอร์ให้ถี่ขึ้น ประมาณทุก 2 – 3 เดือนต่อครั้ง ส่วนใครที่ยังไม่สบายใจที่จะให้ช่างแอร์เข้ามาล้างแอร์ในช่วงที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่แบบนี้ก็สามารถจัดการล้างแอร์ด้วยตัวเองได้ ในกรณีที่มีอุปกรณ์ล้างแอร์อยู่ครับ แต่หากไม่มีอุปกรณ์ก็สามารถทำความสะอาดเบื้องต้นด้วยการล้างแผ่นกรองหยาบที่ติดอยู่หน้าเครื่อง เพื่อช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพได้ครับ
3. หลีกเลี่ยงการใช้แอร์ในพื้นที่เปิดโล่ง
พื้นที่ที่เปิดโล่งโดยไม่มีอะไรกั้นอย่างโถงบันได หรือโถงทางเดินระหว่างห้องต่าง ๆ เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการใช้งานแอร์ เพราะนอกจากแอร์จะไม่ค่อยเย็นแล้วยังทำให้แอร์ทำงานหนัก เปลืองพลังงาน และกินไฟมากกว่าปกติ ดังนั้น หากจำเป็นต้องใช้แอร์ในพื้นที่เปิดโล่งนี้จริง ๆ ก็อาจต้องพิจารณาเรื่องการปรับพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่ปิดมิดชิดเสียก่อน เพื่อความคุ้มค่าในระยะยาว โดยอาจเลือกใช้ฉากกั้นห้อง PVC , ผ้าม่านเนื้อหนา , ผนังเบา หรือสมาร์ทบอร์ด ตามแต่งบประมาณที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก ความเย็นไม่ไหลออกนอกพื้นที่แล้วยังสามารถช่วยลดการสะสมความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ด้วยครับ
4. เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสักพักก่อนเปิดแอร์
การเปิดประตู หน้าต่าง หรือช่องลมต่าง ๆ ก่อนเปิดแอร์เป็นการช่วยระบายอากาศที่อับอยู่ภายในห้องให้ถ่ายเทออกไปด้านนอก และเป็นการเปิดรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกห้องให้หมุนเวียนเข้ามาภายในห้อง ซึ่งนอกจากจะช่วยระบายกลิ่นอับแล้วยังช่วยระบายความร้อนที่สะสมอยู่ในห้องออกไปด้วย ทำให้แอร์ทำความเย็นได้เร็วขึ้น และไม่ทำงานหนักจนเกินไปครับ
5. ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเมื่อเปิดแอร์
หลังจากระบายอากาศที่อับอยู่ในห้อง รวมถึงความร้อนออกไปแล้ว ก่อนเปิดใช้งานแอร์อีกครั้งแนะนำให้ตรวจสอบละเอียดว่าได้ปิดประตู หน้าต่าง หรือช่องระบายอากาศต่าง ๆ ภายในห้องครบทุกจุด และปิดสนิทดีแล้ว เนื่องจากบางครั้งความร้อนจากอากาศภายนอกอาจลอดผ่านเข้ามาภายในห้องผ่านทางหน้าต่างบานเกล็ดที่ปิดไม่สนิท หรือช่องประตูบานเลื่อนต่าง ๆ ได้เช่นกัน และความร้อนที่เข้ามาภายในห้องนี่เองที่จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น เพราะต้องรักษาความเย็นในห้องให้ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ตลอดเวลา ซึ่งจะใช้พลังงานมากกว่าปกติ และมีผลต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นในที่สุดครับ
6. ตั้งอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม
การเปิดแอร์แบบประหยัดค่าไฟที่หลายคนเข้าใจผิดกันมานาน คือการเปิดแอร์ที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งแท้จริงแล้วอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสนั้นถือเป็นระดับอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์รู้สึกสบายมากที่สุด จนมีการแนะนำกันให้เปิดแอร์ที่อุณหภูมิเท่านี้ ดังนั้น แนะนำว่าหากลองปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นที่ประมาณ 26 – 28 องศาเซลเซียส แล้วรู้สึกว่ายังสบายอยู่ก็แนะนำให้เปิดแอร์ที่อุณหภูมินั้น ๆ แทนครับ เพราะยิ่งตั้งอุณหภูมิสูงขึ้นเท่าไหร่ก็จะช่วยให้แอร์กินไฟน้อยลงเท่านั้นครับ
7. เปิดพัดลมช่วยขณะเปิดแอร์
การเปิดพัดลมก่อนเปิดแอร์จะเป็นการช่วยไล่ความร้อนภายในห้องให้หมดไปก่อน มีผลทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก และหากเปิดพัดลมไปด้วยในขณะที่เปิดแอร์ก็จะช่วยให้ลมเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วทุกมุมห้อง และให้ความรู้สึกเย็นสบายกว่าการเปิดใช้แอร์เพียงอย่างเดียวครับ
8. งดใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในขณะเปิดแอร์
เนื่องจากแอร์มีหน้าที่ทำความเย็นและรักษาความเย็นภายในห้องให้คงที่ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ดังนั้น การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในห้องแอร์จึงทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะคงความเย็นให้ได้มากที่สุด ทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการรีดผ้าในห้องแอร์ การทำอาหารจากกระทะไฟฟ้า หรือแม้แต่การใช้หม้อต้มน้ำชงเครื่องดื่มในห้องแอร์ครับ
9. หลีกเลี่ยงการเพิ่มความชื้นในห้องแอร์
นอกจากความร้อนแล้ว ความชื้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นได้ครับ เพราะตามหลักการทำงานของแอร์จะใช้พลังงาน 30% ในการทำความเย็นตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ส่วนพลังงานอีก 70% จะใช้ไปกับการกำจัดความชื้นให้อากาศในห้องแห้งที่สุด ดังนั้น การที่มีแหล่งความชื้นมาก ๆ จึงส่งผลโดยตรงให้แอร์กินไฟมากขึ้น ซึ่งความชื้นที่ว่านี้อาจจะมาจากต้นไม้ที่ตกแต่งอยู่ภายในห้อง ภาชนะใส่น้ำ เครื่องทำความชื้น ตู้ปลา เสื้อผ้าเปียก หรือแม้แต่การปืดประตูห้องน้ำไม่สนิทก็ถือเป็นแหล่งที่มาของความชื้นเช่นกันครับ
10. ตั้งเวลาปิดแอร์ล่วงหน้า
เทคนิคง่าย ๆ อีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยให้ไม่เปลืองไฟมากนักก็คือการวางแผนใช้แอร์ล่วงหน้าด้วยการตั้งเวลาเปิด-ปิดนั่นเอง เช่น ก่อนตื่นนอน หรือก่อนออกจากห้องก็สามารถตั้งเวลาปิดแอร์ก่อนเวลาสักอย่างน้อย 30 นาที หรือสัก 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่ความเย็นยังคงกระจายตัวอยู่ภายในห้อง โดยในระหว่างนั้นอาจเปิดพัดลมช่วยกระจายความเย็นแทนได้ครับ
11. เปิดแอร์เท่าที่จำเป็น
วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าให้ได้มากที่สุดคือการเปิดแอร์เท่าที่จำเป็นนั่นเองครับ เพราะหลายครั้งที่คนเราเปิดแอร์โดยไม่ได้รู้สึกร้อน แต่เพราะความเคยชินที่ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา รวมไปถึงการเปิดแอร์ภายในบ้านพร้อมกันหลาย ๆ ห้อง ดังนั้น ถ้าบริหารการใช้แอร์ให้ดี โดยสมาชิกภายในบ้านมาอยู่รวมกันในห้องเดียวเพื่อจพได้เปิดแอร์เครื่องเดียว หรือเลือกเปิดแอร์เฉพาะช่วงเวลาที่ร้อนจริง ๆ ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากครับ
HomeGuru by HomePro
อุ่นใจทุกเรื่องบ้านไปกับโฮมโปร และติดตามเคล็ดลับดีๆ เพื่อบ้านได้ทาง
http://bit.ly/HomeGuru_Homepro
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นปัญหาเรื่องบ้านกับ HomeGuru เพิ่มเติมได้ทาง
https://bit.ly/3dQm4XE
เทคนิคเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ ลดค่าใช้จ่ายช่วง Work from home
เทคนิคเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ ลดค่าใช้จ่ายช่วง Work from home
1. เลือกติดตั้งคอมเพรสเซอร์ในที่ร่ม และอากาศถ่ายเทสะดวก
ในกรณีที่กำลังจะติดตั้งแอร์ตัวใหม่ หรือต้องการย้ายตำแหน่งแอร์อยู่แล้ว แนะนำให้เลือกพื้นที่ติดตั้งคอมเพรสเซอร์ในบริเวณที่เหมาะสม โดยติดตั้งในพื้นที่ร่ม และอากาศถ่ายเทได้สะดวก เนื่องจากคอมเพรสเซอร์มีหน้าที่ระบายความร้อนโดยตรง จึงไม่ควรติดตั้งในพื้นที่อับ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือเป็นพื้นที่โดนแดดโดนฝนโดยตรงตลอดทั้งวัน รวมถึงพื้นที่ดาดฟ้าที่ไม่มีหลังคาด้วยครับ
2. หมั่นล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ
แอร์ที่มีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมาสักพักอาจมีความสามารถในการทำความเย็นลดลง เนื่องจากจะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปสะสมภายในตัวแอร์ เมื่อสะสมไว้เป็นเวลานาน ๆ ก็จะไปขัดขวางการทำงานของมอเตอร์แอร์และชิ้นส่วนอื่น ๆ ภายใน ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อทำความเย็น เป็นสาเหตุทำให้แอร์กินไฟมากกว่าปกติครับ รวมทั้งหากฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้เกิดปัญหาน้ำหยดตามมาอีกด้วย ดังนั้นจึงควรล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 6 เดือนเป็นอย่างต่ำ แต่หากติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่มีปัจจัยให้แอร์ทำงานหนักกว่าปกติ เช่น ติดตั้งในห้องที่อยู่ติดกับถนน มีฝุ่นควันเป็นประจำ หรืออยู่ในเขตก่อสร้างก็ควรล้างแอร์ให้ถี่ขึ้น ประมาณทุก 2 – 3 เดือนต่อครั้ง ส่วนใครที่ยังไม่สบายใจที่จะให้ช่างแอร์เข้ามาล้างแอร์ในช่วงที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่แบบนี้ก็สามารถจัดการล้างแอร์ด้วยตัวเองได้ ในกรณีที่มีอุปกรณ์ล้างแอร์อยู่ครับ แต่หากไม่มีอุปกรณ์ก็สามารถทำความสะอาดเบื้องต้นด้วยการล้างแผ่นกรองหยาบที่ติดอยู่หน้าเครื่อง เพื่อช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพได้ครับ
3. หลีกเลี่ยงการใช้แอร์ในพื้นที่เปิดโล่ง
พื้นที่ที่เปิดโล่งโดยไม่มีอะไรกั้นอย่างโถงบันได หรือโถงทางเดินระหว่างห้องต่าง ๆ เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการใช้งานแอร์ เพราะนอกจากแอร์จะไม่ค่อยเย็นแล้วยังทำให้แอร์ทำงานหนัก เปลืองพลังงาน และกินไฟมากกว่าปกติ ดังนั้น หากจำเป็นต้องใช้แอร์ในพื้นที่เปิดโล่งนี้จริง ๆ ก็อาจต้องพิจารณาเรื่องการปรับพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่ปิดมิดชิดเสียก่อน เพื่อความคุ้มค่าในระยะยาว โดยอาจเลือกใช้ฉากกั้นห้อง PVC , ผ้าม่านเนื้อหนา , ผนังเบา หรือสมาร์ทบอร์ด ตามแต่งบประมาณที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก ความเย็นไม่ไหลออกนอกพื้นที่แล้วยังสามารถช่วยลดการสะสมความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ด้วยครับ
4. เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสักพักก่อนเปิดแอร์
การเปิดประตู หน้าต่าง หรือช่องลมต่าง ๆ ก่อนเปิดแอร์เป็นการช่วยระบายอากาศที่อับอยู่ภายในห้องให้ถ่ายเทออกไปด้านนอก และเป็นการเปิดรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกห้องให้หมุนเวียนเข้ามาภายในห้อง ซึ่งนอกจากจะช่วยระบายกลิ่นอับแล้วยังช่วยระบายความร้อนที่สะสมอยู่ในห้องออกไปด้วย ทำให้แอร์ทำความเย็นได้เร็วขึ้น และไม่ทำงานหนักจนเกินไปครับ
5. ปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเมื่อเปิดแอร์
หลังจากระบายอากาศที่อับอยู่ในห้อง รวมถึงความร้อนออกไปแล้ว ก่อนเปิดใช้งานแอร์อีกครั้งแนะนำให้ตรวจสอบละเอียดว่าได้ปิดประตู หน้าต่าง หรือช่องระบายอากาศต่าง ๆ ภายในห้องครบทุกจุด และปิดสนิทดีแล้ว เนื่องจากบางครั้งความร้อนจากอากาศภายนอกอาจลอดผ่านเข้ามาภายในห้องผ่านทางหน้าต่างบานเกล็ดที่ปิดไม่สนิท หรือช่องประตูบานเลื่อนต่าง ๆ ได้เช่นกัน และความร้อนที่เข้ามาภายในห้องนี่เองที่จะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น เพราะต้องรักษาความเย็นในห้องให้ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ตลอดเวลา ซึ่งจะใช้พลังงานมากกว่าปกติ และมีผลต่อค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นในที่สุดครับ
6. ตั้งอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม
การเปิดแอร์แบบประหยัดค่าไฟที่หลายคนเข้าใจผิดกันมานาน คือการเปิดแอร์ที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งแท้จริงแล้วอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสนั้นถือเป็นระดับอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์รู้สึกสบายมากที่สุด จนมีการแนะนำกันให้เปิดแอร์ที่อุณหภูมิเท่านี้ ดังนั้น แนะนำว่าหากลองปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นที่ประมาณ 26 – 28 องศาเซลเซียส แล้วรู้สึกว่ายังสบายอยู่ก็แนะนำให้เปิดแอร์ที่อุณหภูมินั้น ๆ แทนครับ เพราะยิ่งตั้งอุณหภูมิสูงขึ้นเท่าไหร่ก็จะช่วยให้แอร์กินไฟน้อยลงเท่านั้นครับ
7. เปิดพัดลมช่วยขณะเปิดแอร์
การเปิดพัดลมก่อนเปิดแอร์จะเป็นการช่วยไล่ความร้อนภายในห้องให้หมดไปก่อน มีผลทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก และหากเปิดพัดลมไปด้วยในขณะที่เปิดแอร์ก็จะช่วยให้ลมเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วทุกมุมห้อง และให้ความรู้สึกเย็นสบายกว่าการเปิดใช้แอร์เพียงอย่างเดียวครับ
8. งดใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในขณะเปิดแอร์
เนื่องจากแอร์มีหน้าที่ทำความเย็นและรักษาความเย็นภายในห้องให้คงที่ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ดังนั้น การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในห้องแอร์จึงทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะคงความเย็นให้ได้มากที่สุด ทำให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการรีดผ้าในห้องแอร์ การทำอาหารจากกระทะไฟฟ้า หรือแม้แต่การใช้หม้อต้มน้ำชงเครื่องดื่มในห้องแอร์ครับ
9. หลีกเลี่ยงการเพิ่มความชื้นในห้องแอร์
นอกจากความร้อนแล้ว ความชื้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นได้ครับ เพราะตามหลักการทำงานของแอร์จะใช้พลังงาน 30% ในการทำความเย็นตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ส่วนพลังงานอีก 70% จะใช้ไปกับการกำจัดความชื้นให้อากาศในห้องแห้งที่สุด ดังนั้น การที่มีแหล่งความชื้นมาก ๆ จึงส่งผลโดยตรงให้แอร์กินไฟมากขึ้น ซึ่งความชื้นที่ว่านี้อาจจะมาจากต้นไม้ที่ตกแต่งอยู่ภายในห้อง ภาชนะใส่น้ำ เครื่องทำความชื้น ตู้ปลา เสื้อผ้าเปียก หรือแม้แต่การปืดประตูห้องน้ำไม่สนิทก็ถือเป็นแหล่งที่มาของความชื้นเช่นกันครับ
10. ตั้งเวลาปิดแอร์ล่วงหน้า
เทคนิคง่าย ๆ อีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยให้ไม่เปลืองไฟมากนักก็คือการวางแผนใช้แอร์ล่วงหน้าด้วยการตั้งเวลาเปิด-ปิดนั่นเอง เช่น ก่อนตื่นนอน หรือก่อนออกจากห้องก็สามารถตั้งเวลาปิดแอร์ก่อนเวลาสักอย่างน้อย 30 นาที หรือสัก 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่ความเย็นยังคงกระจายตัวอยู่ภายในห้อง โดยในระหว่างนั้นอาจเปิดพัดลมช่วยกระจายความเย็นแทนได้ครับ
11. เปิดแอร์เท่าที่จำเป็น
วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าให้ได้มากที่สุดคือการเปิดแอร์เท่าที่จำเป็นนั่นเองครับ เพราะหลายครั้งที่คนเราเปิดแอร์โดยไม่ได้รู้สึกร้อน แต่เพราะความเคยชินที่ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา รวมไปถึงการเปิดแอร์ภายในบ้านพร้อมกันหลาย ๆ ห้อง ดังนั้น ถ้าบริหารการใช้แอร์ให้ดี โดยสมาชิกภายในบ้านมาอยู่รวมกันในห้องเดียวเพื่อจพได้เปิดแอร์เครื่องเดียว หรือเลือกเปิดแอร์เฉพาะช่วงเวลาที่ร้อนจริง ๆ ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากครับ
HomeGuru by HomePro
อุ่นใจทุกเรื่องบ้านไปกับโฮมโปร และติดตามเคล็ดลับดีๆ เพื่อบ้านได้ทาง http://bit.ly/HomeGuru_Homepro
และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นปัญหาเรื่องบ้านกับ HomeGuru เพิ่มเติมได้ทาง https://bit.ly/3dQm4XE