1. ความสบายต้องมาก่อน
ความสบายกายเป็นเรื่องของการหาสมดุลของตัวเอง เพราะคุณคงไม่อยากนั่งเก้าอี้ที่แข็งมากจนเสียสมาธิ หรืออยู่บนเตียงที่สบายมากจนไม่สามารถตื่นตัวได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การเลือกโต๊ะและเก้าอี้ที่ใช้แล้วตัวคุณเองรู้สึกสบายกำลังดี
ความสบายใจนั้น เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย สัมพันธ์กับธรรมชาติและวิถีชีวิตที่คุ้นเคย โดยดึงองค์ประกอบที่โดดเด่นของสิ่งเหล่านั้นมาไว้ในพื้นที่เรียนของคุณ เช่น ต้นไม้เล็ก ๆ เทียนหอมกลิ่นฝน กรอบรูปคนใกล้ชิด หรือของสะสมชิ้นโปรด
2. แสงธรรมชาติช่วยได้
งานวิจัยหลายชิ้นให้ผลสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า แสงธรรมชาติ (Natural Light) ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และกักเก็บข้อมูลได้ เพราะแสงมีผลกระทบต่อความกระตือรือร้นและ Productivity ของเรา
ถ้าไม่มีแสงธรรมชาติก็ไม่เป็นไร แสงเทียมจากหลอดไฟที่ให้แสงสีฟ้าก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้ได้เช่นกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับแสงในความยาวคลื่นต่าง ๆ คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะตื่นตัวและง่วงนอนน้อยลงเมื่อได้รับแสงสีฟ้า (Blue Light) ซึ่งมักจะอยู่ในแสงแดด, หลอดไฟ LED แบบ Full-Spectrum และจอดิจิทัลทั้งหลาย
3. ตกแต่งพื้นที่ด้วยโทนสีเขียว ม่วง น้ำเงิน
สีเขียว ช่วยให้มีสมาธิ รู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบมากขึ้น ส่วนสีม่วงและน้ำเงินมีแนวโน้มที่ช่วยให้รู้สึกสมดุลและจรรโลงใจ สีเหล่านี้จึงเป็นสีที่ควรใช้ในการตกแต่งสถานที่เรียนมากที่สุด ในขณะที่โทนสีแดงนั้นไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลและกระสับกระส่าย จึงเป็นกลุ่มสีที่ควรเลี่ยงที่สุด
ห้องที่เป็นโทนสีกลาง (Neutral Colors) เช่น ครีม เทา น้ำตาล ให้ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งที้มีสีสันแทน แต่อย่าเผลอตกแต่งมากเกินไป จนดึงสมาธิไปได้
4. ทุกสิ่งที่วางเกะกะอยู่ จัดการซะ!
โต๊ะรกๆ และไม่มีระเบียบอาจทำให้คุณเสียสมาธิไม่ว่าจะเป็นการหาเอกสารไม่เจอ หรือได้กลิ่นเหม็นอับ ไม่วางจานข้าวและแก้วน้ำบนโต๊ะทั้งมีกลิ่นและตกหล่นได้ การดูแลบริเวณที่คุณใช้เรียนหรือทำงานให้สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น ช่วยให้คุณเรียนที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะสามารถโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามีจิตใจที่สงบได้ดียิ่งขึ้น พยายามวางสิ่งของจำเป็นสำหรับการเรียนไว้ใกล้ตัวในที่เอื้อมถึง เช่น สมุด หนังสือ ปากกา กระดาษโน้ต เพื่อประหยัดเวลาในการหาของ
5. กำจัดสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิออกไป
อะไรที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของคุณไปจากการเรียนได้บ้าง มีหลายรูปแบบ รวมถึง เสียงทีวี เพลงที่มีเนื้อร้องเยอะ ๆ สัตว์เลี้ยง อาหาร สมาชิกในครอบครัว และที่สำคัญคือสมาร์ตโฟน เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงสำหรับการเรียนเช่นกัน เพราะการอดทนต่อความอยากเข้าโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter หรือ YouTube ก็เป็นอะไรที่ยากเหลือเกิน
6. ลองฟังเพลงดูสิ
การฟังเพลงคลอเพื่อสร้างบรรยากาศและอารมณ์ หรือที่เรียกว่า Background music ‘ก่อน’ เริ่มเรียนนั้น จะช่วยเพิ่มการทำงานของสมองด้านกระบวนการรู้คิด (Cognitive Process) เช่น สมาธิ ความทรงจำ และการประมวลผลได้ ด้วยกลไกระบบประสาทที่ไปเพิ่มสภาวะตื่นตัวและอารมณ์ด้านบวกของเรา อาจเป็น White Noise อย่างเสียงธรรมชาติ เสียงฝน เสียงป่าไม้ เสียงน้ำไหล ที่ช่วยให้คุณตั้งสมาธิ ผ่อนคลาย และสามารถเรียนได้ดีที่สุดก็เป็นได้ ไม่ควรฟังเพลงทั่วไปในขณะที่เรียน อาจส่งผลให้คุณจดจำข้อมูลได้น้อยกว่าการไม่เปิดเพลง เพราะการเปลี่ยนโน้ตเพลงและเนื้อร้องไปมาจะทำให้สมองสับสน (แม้เป็นเพลงโปรดก็ไม่ช่วย!)
7. แรงสนับสนุนจากครอบครัว
การพูดคุยให้เข้าใจตรงกันก่อนว่าแต่ละคนต้องการอะไร ตัวอย่างเช่น ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากน้อยขนาดไหน โอเคหรือไม่ถ้าต้องให้ไปทำธุระก่อนหรือหลังการเรียน วันนี้ใครจะทำงานบริเวณใดของบ้าน เพื่อให้นักเรียนสามารถโฟกัสไปที่งานของตัวเองได้ตลอดวัน นอกจากนี้ คนในครอบครัวทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆให้ เช่น การพูดให้กำลังใจ ทำธุระให้ หรือเตรียมอาหารให้ ก็สามารถสร้างทั้งกำลังใจและสร้างเวลาว่าง ให้เราสามารถเรียนออนไลน์ได้มากขึ้นอีกด้วย
จัดบ้านตามช่วงวัย
หากลูกเป็นเด็กเล็ก หรือยังไม่เกินวัยประถม
- พ่อแม่ควรอยู่ไม่ไกลเพื่อให้ความช่วยเหลือ เช่น เมื่อคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตมีปัญหา ดังนั้นอาจจะใช้โต๊ะอาหารในห้องครัวเป็นจุดเรียนออนไลน์ หรืออยู่ในบริเวณเปิดโล่งที่พ่อแม่จะสอดส่องได้ขณะทำงานที่บ้านหรือทำงานบ้าน
- ควรแยกอุปกรณ์การเรียนและสื่อบันเทิงออกจากกันให้เด็ดขาด ไม่ให้อยู่ในบริเวณเดียวกันขณะเด็ก ๆ กำลังเรียน เช่น หากใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนก็ควรอยู่ห่างหรือปิดโทรทัศน์ (หากไม่ได้ใช้โทรทัศน์ในการเรียน) โทรศัพท์มือถือก็ควรไปไว้ที่อื่น รวมทั้งของเล่นและสิ่งดึงดูดความสนใจอื่น ๆ
หากลูกเป็นเด็กโต หรือวัยมัธยมขึ้นไป
- พ่อแม่ควรให้ความเป็นส่วนตัวกับลูก ต้องเชื่อมั่นว่าแม้พ่อแม่จะไม่เห็นแต่ลูกก็ยังตั้งใจเรียนได้ เพราะว่าเขาโตแล้ว พื้นที่ที่ลูกเรียนไม่ควรพลุกพล่าน มีคนเดินเข้าออกตลอดเวลา ไม่มีเสียงตะโกนเรียกหากัน จะทำให้เสียสมาธิ หรือไม่ได้ยินเนื้อหาที่เรียนได้ พ่อแม่จะต้องปรับความเคยชินที่มีต่อการใช้พื้นที่ในบ้าน เพื่อกันให้บริเวณนั้นเป็นห้องเรียนของลูกอย่างแท้จริง
ที่มา
iBaby
7 วิธีจัดบ้านเรียนออนไลน์ และจัดตามช่วงวัย
1. ความสบายต้องมาก่อน
ความสบายกายเป็นเรื่องของการหาสมดุลของตัวเอง เพราะคุณคงไม่อยากนั่งเก้าอี้ที่แข็งมากจนเสียสมาธิ หรืออยู่บนเตียงที่สบายมากจนไม่สามารถตื่นตัวได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การเลือกโต๊ะและเก้าอี้ที่ใช้แล้วตัวคุณเองรู้สึกสบายกำลังดี
ความสบายใจนั้น เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย สัมพันธ์กับธรรมชาติและวิถีชีวิตที่คุ้นเคย โดยดึงองค์ประกอบที่โดดเด่นของสิ่งเหล่านั้นมาไว้ในพื้นที่เรียนของคุณ เช่น ต้นไม้เล็ก ๆ เทียนหอมกลิ่นฝน กรอบรูปคนใกล้ชิด หรือของสะสมชิ้นโปรด
2. แสงธรรมชาติช่วยได้
งานวิจัยหลายชิ้นให้ผลสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า แสงธรรมชาติ (Natural Light) ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และกักเก็บข้อมูลได้ เพราะแสงมีผลกระทบต่อความกระตือรือร้นและ Productivity ของเรา
ถ้าไม่มีแสงธรรมชาติก็ไม่เป็นไร แสงเทียมจากหลอดไฟที่ให้แสงสีฟ้าก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้ได้เช่นกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับแสงในความยาวคลื่นต่าง ๆ คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะตื่นตัวและง่วงนอนน้อยลงเมื่อได้รับแสงสีฟ้า (Blue Light) ซึ่งมักจะอยู่ในแสงแดด, หลอดไฟ LED แบบ Full-Spectrum และจอดิจิทัลทั้งหลาย
3. ตกแต่งพื้นที่ด้วยโทนสีเขียว ม่วง น้ำเงิน
สีเขียว ช่วยให้มีสมาธิ รู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบมากขึ้น ส่วนสีม่วงและน้ำเงินมีแนวโน้มที่ช่วยให้รู้สึกสมดุลและจรรโลงใจ สีเหล่านี้จึงเป็นสีที่ควรใช้ในการตกแต่งสถานที่เรียนมากที่สุด ในขณะที่โทนสีแดงนั้นไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลและกระสับกระส่าย จึงเป็นกลุ่มสีที่ควรเลี่ยงที่สุด
ห้องที่เป็นโทนสีกลาง (Neutral Colors) เช่น ครีม เทา น้ำตาล ให้ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งที้มีสีสันแทน แต่อย่าเผลอตกแต่งมากเกินไป จนดึงสมาธิไปได้
4. ทุกสิ่งที่วางเกะกะอยู่ จัดการซะ!
โต๊ะรกๆ และไม่มีระเบียบอาจทำให้คุณเสียสมาธิไม่ว่าจะเป็นการหาเอกสารไม่เจอ หรือได้กลิ่นเหม็นอับ ไม่วางจานข้าวและแก้วน้ำบนโต๊ะทั้งมีกลิ่นและตกหล่นได้ การดูแลบริเวณที่คุณใช้เรียนหรือทำงานให้สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น ช่วยให้คุณเรียนที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะสามารถโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามีจิตใจที่สงบได้ดียิ่งขึ้น พยายามวางสิ่งของจำเป็นสำหรับการเรียนไว้ใกล้ตัวในที่เอื้อมถึง เช่น สมุด หนังสือ ปากกา กระดาษโน้ต เพื่อประหยัดเวลาในการหาของ
5. กำจัดสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิออกไป
อะไรที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของคุณไปจากการเรียนได้บ้าง มีหลายรูปแบบ รวมถึง เสียงทีวี เพลงที่มีเนื้อร้องเยอะ ๆ สัตว์เลี้ยง อาหาร สมาชิกในครอบครัว และที่สำคัญคือสมาร์ตโฟน เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงสำหรับการเรียนเช่นกัน เพราะการอดทนต่อความอยากเข้าโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter หรือ YouTube ก็เป็นอะไรที่ยากเหลือเกิน
6. ลองฟังเพลงดูสิ
การฟังเพลงคลอเพื่อสร้างบรรยากาศและอารมณ์ หรือที่เรียกว่า Background music ‘ก่อน’ เริ่มเรียนนั้น จะช่วยเพิ่มการทำงานของสมองด้านกระบวนการรู้คิด (Cognitive Process) เช่น สมาธิ ความทรงจำ และการประมวลผลได้ ด้วยกลไกระบบประสาทที่ไปเพิ่มสภาวะตื่นตัวและอารมณ์ด้านบวกของเรา อาจเป็น White Noise อย่างเสียงธรรมชาติ เสียงฝน เสียงป่าไม้ เสียงน้ำไหล ที่ช่วยให้คุณตั้งสมาธิ ผ่อนคลาย และสามารถเรียนได้ดีที่สุดก็เป็นได้ ไม่ควรฟังเพลงทั่วไปในขณะที่เรียน อาจส่งผลให้คุณจดจำข้อมูลได้น้อยกว่าการไม่เปิดเพลง เพราะการเปลี่ยนโน้ตเพลงและเนื้อร้องไปมาจะทำให้สมองสับสน (แม้เป็นเพลงโปรดก็ไม่ช่วย!)
7. แรงสนับสนุนจากครอบครัว
การพูดคุยให้เข้าใจตรงกันก่อนว่าแต่ละคนต้องการอะไร ตัวอย่างเช่น ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากน้อยขนาดไหน โอเคหรือไม่ถ้าต้องให้ไปทำธุระก่อนหรือหลังการเรียน วันนี้ใครจะทำงานบริเวณใดของบ้าน เพื่อให้นักเรียนสามารถโฟกัสไปที่งานของตัวเองได้ตลอดวัน นอกจากนี้ คนในครอบครัวทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆให้ เช่น การพูดให้กำลังใจ ทำธุระให้ หรือเตรียมอาหารให้ ก็สามารถสร้างทั้งกำลังใจและสร้างเวลาว่าง ให้เราสามารถเรียนออนไลน์ได้มากขึ้นอีกด้วย
จัดบ้านตามช่วงวัย
หากลูกเป็นเด็กเล็ก หรือยังไม่เกินวัยประถม
- พ่อแม่ควรอยู่ไม่ไกลเพื่อให้ความช่วยเหลือ เช่น เมื่อคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตมีปัญหา ดังนั้นอาจจะใช้โต๊ะอาหารในห้องครัวเป็นจุดเรียนออนไลน์ หรืออยู่ในบริเวณเปิดโล่งที่พ่อแม่จะสอดส่องได้ขณะทำงานที่บ้านหรือทำงานบ้าน
- ควรแยกอุปกรณ์การเรียนและสื่อบันเทิงออกจากกันให้เด็ดขาด ไม่ให้อยู่ในบริเวณเดียวกันขณะเด็ก ๆ กำลังเรียน เช่น หากใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนก็ควรอยู่ห่างหรือปิดโทรทัศน์ (หากไม่ได้ใช้โทรทัศน์ในการเรียน) โทรศัพท์มือถือก็ควรไปไว้ที่อื่น รวมทั้งของเล่นและสิ่งดึงดูดความสนใจอื่น ๆ
หากลูกเป็นเด็กโต หรือวัยมัธยมขึ้นไป
- พ่อแม่ควรให้ความเป็นส่วนตัวกับลูก ต้องเชื่อมั่นว่าแม้พ่อแม่จะไม่เห็นแต่ลูกก็ยังตั้งใจเรียนได้ เพราะว่าเขาโตแล้ว พื้นที่ที่ลูกเรียนไม่ควรพลุกพล่าน มีคนเดินเข้าออกตลอดเวลา ไม่มีเสียงตะโกนเรียกหากัน จะทำให้เสียสมาธิ หรือไม่ได้ยินเนื้อหาที่เรียนได้ พ่อแม่จะต้องปรับความเคยชินที่มีต่อการใช้พื้นที่ในบ้าน เพื่อกันให้บริเวณนั้นเป็นห้องเรียนของลูกอย่างแท้จริง
ที่มา iBaby