[CR] รีวิว F9: The Fast Saga (Fast & Furious 9) ซิ่งจนหลุดโลก ขายดราม่ามากขึ้น และแฟนเซอร์วิสแบบจัดเต็ม (ไม่มีสปอยล์)

หลังจากรอคอยกันมานานแสนนานกับภาคที่ 9 ของภาพยนตร์ชุด Fast & Furious เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ F9: The Fast Saga หรือ Fast & Furious 9 ต้องเลื่อนฉายจากกำหนดเดิมออกไปถึง 1 ปี แต่การเลื่อนฉายนั้นก็ทำให้ภาคที่ 9 นี้กลายเป็นภาคที่ครบรอบ 20 ปีของภาพยนตร์ชุดนี้ไปโดยปริยาย

สำหรับในไทยนั้นจากกำหนดเดิมที่วางกำหนดฉายไว้วันที่ 17 มิถุนายนก็ถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีกเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ดีขึ้น จนไม่มีวี่แววที่จะได้ดูสักที ประกอบกับที่ในบางประเทศมีการฉายแบบ On Demand แล้ว งานนี้ก็เลยขอข้ามโซนไปเช่ามาดูก่อนซะเลย เพราะคงอีกนานที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ฉายในไทย

เกริ่นมาซะยาว เข้าเรื่องกันดีกว่า เนื้อหาต่อไปนี้จะไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่อง แต่จะมีการพูดถึงเนื้อเรื่องในภาคก่อน ๆ บ้าง และถ้ามีตรงส่วนไหนที่เผยมาให้เห็นในตัวอย่างแล้วตัวอย่างไม่ได้หลอกก็จะหยิบมาพูดถึง รูปประกอบในรีวิวนี้ใส่มาเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน ไม่มีความสอดคล้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด ถ้าหากใครกลัวว่าจะเป็นการโดนสปอยล์ก็ปิดกระทู้นี้ไปก่อนได้เลยครับ
เพี้ยนจริงจัง
ต้องบอกว่าค่อนข้างเสียดายที่ไม่ได้ดูเรื่องนี้ครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ เพราะในภาคนี้จัดเต็มไปด้วยฉากแอคชั่นที่ดุเดือดในหลาย ๆ ฉาก อันที่จริงสำหรับผมเองไม่ค่อยประทับใจฉากแอคชั่นในภาคนี้เท่าไหร่เมื่อเทียบกับภาคก่อน ๆ แต่พวกเสียงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ อย่างเสียงเครื่องยนต์ เสียงยาง เสียงปืนกับระเบิด รวมไปถึงเสียงดนตรีสำหรับภาคนี้ทำออกมาได้ดีมาก ๆ เพลงประกอบแทบทุกเพลงมาได้ถูกจังหวะและเหมาะกับสถานการณ์จนกล้าพูดว่าถ้าได้ดูในโรงภาพยนตร์จะต้องฟินมากแน่ ๆ

มาพูดถึงเนื้อเรื่องกันบ้างดีกว่า ใครที่คิดว่าตัวอย่างที่ปล่อยออกมามีความกาวและหลุดโลกแล้ว บอกเลยว่าคุณคิดผิด ในภาคนี้มีความกาวและหลุดโลกมากกว่าที่เห็นในตัวอย่างหลายเท่า และเป็นครั้งแรกเลยสำหรับแฟรนไชส์นี้ที่ดูตัวอย่างแล้วเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างมีการสับขาหลอกแบบตัวอย่างหนังของ Marvel Studios มีบางฉากที่มีในตัวอย่างแต่ไม่มีในเนื้อเรื่อง ถ้าบอกว่าทีมงานดมกาวตอนเขียนบทขึ้นมาผมก็เชื่อสนิทใจ ในภาคนี้มีความเว่อร์วังอลังการและแฟนตาซีมากขึ้นจนทำเอาการสู้กับเรือดำน้ำในภาคก่อนดูเป็นเรื่องปกติไปเลย หลาย ๆ คนคงเห็นมาบ้างแล้วว่าในตัวอย่างพาเราไปเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งมันดูหลุดโลกเอามาก ๆ แต่ในเนื้อเรื่องเองก็พยายามยกทฤษฎีต่าง ๆ นานามากล่อมคนดูว่ามันทำได้ถึงแม้ว่ามันจะขัดกับสามัญสำนึกขนาดไหนก็ตาม (คิดซะว่าเป็นไปตามกฎฟิสิกส์ของหนังละกัน Facepalm) อย่างไรก็ตามทีมงานรู้ดีว่าหลังจากผู้คนรับชมไปแล้วต้องเอาสิ่งต่าง ๆ ในภาคนี้มาล้อเลียนกันอย่างแน่นอน ก็เลยจัดการล้อเลียนตัวเองเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งอดคิดไม่ได้ว่าทีมงานและนักแสดงรู้ดีอยู่แล้วว่าที่กำลังทำอยู่นั้นหลุดโลกขนาดไหน แต่ด้วยความเน้นมัน เน้นสะใจ แบบไม่แคร์ว่าจะถูกล้อ ก็เลยจัดการชิงล้อเลียนตัวเองในหนังไปก่อนเป็นที่เรียบร้อย

ในภาคนี้มีความรู้สึกว่าทีมงานอยากจะยกระดับภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ดูมีอะไรมากกว่าเป็นภาพยนตร์แอคชั่นธรรมดาแบบภาคที่ผ่าน ๆ มา เลยพยายามใส่ปมต่าง ๆ ให้ตัวละคร ใส่การหักมุม ใส่ดราม่าเข้ามา มีการ Retcon เนื้อเรื่องในหลายจุด ประกอบกับระหว่างการสร้างมีนักแสดงบางคนรีเควสบทบาทต่าง ๆ เพิ่มและการที่ทีมงานบ้าจี้ใส่สิ่งต่าง ๆ ตามที่คนดูชงให้ทำ ทำให้รู้สึกว่าในภาคนี้มีหลายอย่างที่ล้นเกินไปหน่อย ส่งผลให้การเดินเรื่องดูปะติดปะต่อยากในหลาย ๆ ฉาก และมีหลายฉากที่ใส่จังหวะดราม่าที่ยืดยาดโดยไม่จำเป็นต้องลากยาวขนาดนั้นทำให้ต้องมาตัดในส่วนที่ควรจะลากยาวให้สั้นลง หลาย ๆ ฉากที่เห็นในตัวอย่างถูกตัดความต่อเนื่องออกไปเพื่อให้เดินเรื่องไวขึ้นแบบเห็นได้ชัด

สำหรับการฟื้นคืนชีพของฮาน หนึ่งในตัวละครที่แฟน ๆ Fast รักมากที่สุดที่เรียกว่าเป็นจุดขายของหนังภาคนี้ กลับทำให้เนื้อเรื่องซับซ้อนขึ้นไปอีกจนต้องมานั่งทดใส่กระดาษหลังดูจบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งเหมือนจะเป็นนิสัยของจัสติน ลินที่ไม่ยอมทิ้งองค์ประกอบอะไรก็ตามที่เคยเล่าไว้ในหนังเรื่องก่อน ๆ หลังจากที่ The Fast and the Furious: Tokyo Drift จบลง กระแสของตัวละครนี้ดีมากจนทำให้จัสติน ลินวางไทม์ไลน์เนื้อเรื่องของภาค 4 5 และ 6 ไว้ก่อนเหตุการณ์ในภาค Tokyo Drift และ Retcon การตายของฮานใหม่ใน End Credit ของ Furious 6 โดยโยงการตายของฮานเข้ากับการมาของตัวละครเดคการ์ด ชอว์ ซึ่งตรงนั้นก็ทำออกมาได้ลงตัวดี แต่พอถึงจุดที่จะเอาฮานกลับมาเล่าต่อใน F9 ก็คือเล่นใหญ่มาก ๆ การฟื้นของฮานถูกโยงเข้ากับเหตุการณ์ระหว่างเรื่องก่อน ๆ อย่างอีรุงตุงนังไปหมด และที่ไม่ชอบสุด ๆ เลยคือตอนเฉลยว่าฮานกลับมาได้ยังไงก็มีการเกริ่นนำซะยาว แต่พอถึงจุดที่คนดูทุกคนอยากรู้ก็เล่าแบบทำเอาคนดูถึงกับงง

มารีวิวตัวละครอื่น ๆ แบบภาพรวมบ้าง ในภาคนี้ตัวละครหลายตัวมีการพัฒนาไปในทางที่ดี มีการทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนมากขึ้น แต่ตัวละครบางตัวก็เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไม่นาน ทำเหมือนว่าจะเป็นคนใหม่แต่พอเข้าสู่องค์แรกของเรื่องก็กลับมาใช้นิสัยเดิม ๆ แบบภาคที่ผ่านมา บางตัวละครมีความสัมพันธ์และบทสนทนาระหว่างกันที่น่าประทับใจและเป็นสิ่งที่ควรจะได้เห็นมานานแล้ว บางตัวละครโผล่มาน้อยแต่ได้ซีนแบบน่าจดจำ มีตัวละครจากภาคก่อน ๆ โผล่มาเซอร์ไพรส์อยู่เป็นระยะ ๆ และตัวละครที่โผล่มาใหม่ก็มีบทบาทที่น่าสนใจดี ในภาคนี้มีหลายตัวละครที่เผยให้เราเห็นเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจของพวกเขา ที่น่าเสียดายคือมีบางตัวละครที่เคยโผล่มาในภาคก่อนหน้าและคาดหวังว่าจะได้ปล่อยของมากขึ้นในภาคนี้แต่กลับถูกลดบทบาทลงจนจืดจางมาก

สำหรับฝั่งตรงข้ามกับครอบครัวของดอมมีตัวละครเซอร์ไพรส์ที่ไม่ปรากฏในตัวอย่างโผล่มาด้วย และถือว่าเป็นหนึ่งในตัวละครหลักในภาคนี้ แต่ด้วยความที่ไม่รู้จักนักแสดงคนนี้ก็เลยไม่อิน ประกอบกับเนื้อเรื่องที่ต้องเล่าหลายอย่างเลยทำให้เนื้อเรื่องในฝั่งตรงข้ามกับครอบครัวของดอมดูจืดจางมาก และต้องบอกว่านี่คืออีกจุดที่รู้สึกไม่ชอบในภาคนี้เพราะศัตรูของครอบครัวดอมรอบนี้ดูดร็อปลงไปมาก ถ้าให้เทียบกับศัตรูของตัวละครเอกในแต่ละภาค ภาคนี้ทำออกมาได้แย่ที่สุดแล้ว

สำหรับตัวละครใหม่อย่างเจคอบ น้องชายของดอมถูกเล่าเรื่องออกมาได้โอเค ผมเองค่อนข้างซื้อไอเดียนี้ เพราะการเพิ่มพี่น้องของดอมและมีอาเข้ามาทำให้การกลับมาของมีอาดูสมเหตุสมผลมากขึ้น เชื่อว่าตรงส่วนนี้อาจไม่ถูกใจใครหลายคน แต่สำหรับผมคือโอเคแล้ว การจับตัวละครเจคอบมาเพิ่มในภาคนี้ไม่ได้ดูแปลกแยกแต่อย่างใด และก็ช่วยเติมเต็มเนื้อเรื่องบางอย่างให้กับตัวละครดั้งเดิมที่มีมาก่อน ซึ่งตรงจุดนี้นำพาให้เราไปพบกับแฟนเซอร์วิสชิ้นใหญ่ที่ทำให้แฟน ๆ Fast ตั้งแต่ภาคแรกต้องชอบอย่างแน่นอน

มาพูดถึงรถยนต์กันบ้าง ตั้งแต่ภาค 5 มานั้นเราแทบไม่ได้เห็นรถที่ออกแนวแต่งซิ่งแบบจ๋า ๆ แต่จะมาในลุคแบบเรียบ ๆ เน้นใช้งานเป็นหลัก ซึ่งในภาคนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปต์มาแบบเรียบ ๆ ออกแนวผู้ดีหน่อย ๆ ถึงแม้ว่ารถในภาคนี้จะไม่ดูเตะตา แต่รถบางคันก็มีฉากเด็ดที่น่าจดจำและมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราเอาข้อมูลไปค้นหาต่อ (เขียนกระทู้มาถึงจุดนี้แล้วลืมไปเลยว่าภาพยนตร์ชุดนี้เคยมีเนื้อหาเกี่ยวกับรถ หัวเราะ)

ถึงแม้ว่าภาคนี้มีหลายอย่างที่ดูแล้วรู้สึกขัดใจ มีหลายอย่างที่ภาคก่อน ๆ ทำได้ดีกว่า แต่ก็ต้องบอกว่าภาคนี้มีความดีงามอยู่ไม่น้อย ถ้ามองว่าปีนี้เป็นปีครบรอบ 20 ปีภาพยนตร์ชุด Fast & Furious ก็ถือว่า F9 ทำออกมาได้ดีมาก จัดเต็มทั้งเรื่องฉากเซอร์วิสและ Easter Egg มากมายที่โผล่มาตลอดทั้งเรื่องแบบไม่แพ้หนังจาก Marvel Studios เชื่อว่าถ้าแฟนตัวยงของ Fast & Furious ได้ดูจะต้องรู้สึกรำลึกความหลังในภาคก่อน ๆ ขึ้นมาเป็นฉาก ๆ และบอกเลยว่าช่วงตอนจบของภาคนี้เซอร์วิสแฟน ๆ แบบชุดใหญ่จริง ๆ แต่ถ้าใครที่ไม่ใช่แฟนภาพยนตร์ชุดนี้ก็อาจจะไม่อินเพราะมี reference จากภาคก่อน ๆ โผล่มาเยอะมาก

ถึง F9 จะดูล้นและเลอะเทอะในหลายจุด แต่มันเต็มไปด้วยความใส่ใจในการเก็บตกรายละเอียดของจักรวาลหนังชุดนี้ และเป็นภาพยนตร์ที่รู้สึกว่าผู้ชมและนักแสดงได้มีส่วนร่วมไปกับคนเขียนบท หลาย ๆ อย่างที่เราได้เห็นใน F9 มาจากการเรียกร้องของนักแสดงและไอเดียหลุดโลกของแฟน ๆ ประกอบกับฝีมือของจัสติน ลินที่เป็นผู้กำกับคู่บุญของแฟรนไชส์นี้ ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ในแบบที่เราได้ดูกัน

F9 ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ขายความบันเทิงของฉากแอคชั่นได้สุดเหมือนกับภาคก่อน ๆ ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์ แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้พบเจอตลอดทางของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้สึกตกหลุมรักมัน สามารถกลับมาดูซ้ำ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียด และทำให้หายคิดถึงครอบครัวนักซิ่งกู้โลกไปได้อีกระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าครั้งต่อไปเมื่อเรารู้สึกคิดถึงพวกเขาและถึงเวลาที่พวกเขาจะแวะเวียนมาเล่าเรื่องราวต่อจากนี้ในภาคที่ 10 เนื้อเรื่องจะออกมาเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ และหวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ชาวโลกทุกคนจะปลอดภัยจากโควิด-19 และได้รับชม F10 ในโรงภาพยนตร์อย่างมีอรรถรส
หวังว่าชาวไทยจะได้ดู F9 กันในเร็ว ๆ นี้ครับ ถ้าโรงภาพยนตร์เปิดเมื่อไหร่จะไปซ้ำอีกสักรอบสองรอบอย่างแน่นอน อมยิ้ม36

หมายเหตุ: ภาคนี้มี End Credit ด้วยนะครับ บอกเลยว่าเด็ดมาก ๆ
ชื่อสินค้า:   Fast & Furious 9
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่