สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
สมัยนั้นถือเป็นเรื่องตื่นเต้นอย่างหนึ่ง 555
ตั๋วเครื่องบิน โทรไปจองกับเอเจ้นขายตั๋ว แล้วก็ไปจ่ายเงินสด ตอนนั้นไป Paris ใช้ SQ สองหมื่นกว่าบาทหน่อยๆ BKK-SIN-PARIS
วีซ่า สมัยก่อนมีเชงเก้น ไปกี่ประเทศก็ทำทุกประเทศนั่นละ ไปฝรั่งเศส กับเบลเยี่ยม ก็ไปทำวีซ่าทั้งสองประเทศ
แลกเงิน ก็แลกเงินแต่ละเทศ เงินฟรังฝรั่งเศส แลกในบ้านเราได้ เงินฟรังเบลเยี่ยมไม่มีแลก ก็เอาฟรังฝรั่งเสสไปแลกที่นู้นเลย
ที่พัก ก็ให้เอเจ้น ที่จองตั๋วเครื่องบินนั่นละจองให้
หรือพวกชั่วโมงบินสูง ก็ไม่ต้องจอง ไปเดินหาที่พักนู่นเอาเอง !!! ทำได้ครับ ผมทำประจำ
อันเตอร์เน็ต เพิ่งเริ่มใช้กัน ยังไม่แพร่หลายไปทุกวงการ
(Hotmail มีแล้ว เวปสถานที่ท่องเที่ยวยังไม่เกิด รถไฟฝรั่งเศสมีแค่แผนที่เส้นทางที่ให้บริการ ยังไม่มีบริการจอง)
โทรศัพท์มือถือ ใช้ได้บางรุ่น โทรกลับไทย นาทีละ 160 บาท SMS สามสิบกว่าบาทมั้ง แต่ยังไง ก็เอาไปเพราะใช้โทรที่นู่นได้ เพราะโทรในราคา local สามสิบกว่าบาทมั้ง
เอาละทุกอย่างพร้อม สภาพอากาศเป็นยังไง ?
มีทางเดียวที่จะรู้สภาพอากาศ ดูทีวีครับ ข่าวสองทุ่ม ข่าวในประเทศ ข่าวต่างประเทศ สุดท้ายก่อนจบข่าวต่างประเทศจะมีรายงานสภาพอากาศแต่ละประเทศ ก็ดูไปหลายๆ วันก่อนเดินทาง จะพอประมาณได้ว่า ฝนตก แดดออก หรือ หนาวขนาดไหน
เอาละเดินทางซะที
ข้อมูลมีอย่างเดียว Guide Book ภาษาอักฤษครับ เล่มนี้ซื้อที่ วิวล่า ราคาสี่ร้อยเก้าสิบห้าบาท ส่วนอีกเล่มซื้อหน้างานตอนไปถึง Tour แล้ว
ตอนนั้น Guide Book ภาษาอังกฤษ เมื่องไทยแทบไม่มีขาย แหล่งคือ Singapore และ Hongkong ตอนนั้นไปทีไรต้องแวะร้านหนังสือหาติดมือกลั
เอาละถึงสนามบิน แล้วเข้าเมืองยังไง มีบอกครับ นี่ละเอีดที่สุดของที่สุดในตอนนั้นแล้ว (ส่วน LP ข้อมูลยังหยาบมากในสมัยนั้นเมื่อเที่ยวกับเจ้านี้บเมืองไทย)
เอาละเข้าเมืองได้แล้ว ที่พักละ
อย่างที่บอกไว้แล้ว ถ้าจองก็ต้องให้เอเจ้นในเมืองไทยจองให้
ถ้าไม่จอง ก็ต้องเดินหาที่พักเอาเอง อันนี้ละสนุก เดินหาจนกว่าจะได้ที่พอใจ ทั้งเรื่องราคา และสภาพห้องพัก บางทีก็ต้องดูหลายแห่งหน่อยเพื่อความปลอดภัย
แหล่งที่พักราคาถูก ก็มาตรฐานตามชุมทางรถไฟนั่นละ ที่พักแยะ ส่วนมาก้พวกไม่มีดาว หรือ อย่างเก่งก็ดาวเดียว บางที่ก็โอเคนะครับ ดีมากๆ อาหารเช้าก็มีให้
เคยพักห้องแถวแบบนี้ สองสามครั้ง เคยได้ชั้นบนสุด เปิดหน้าต่างได้ วิวดีมีระเบียงนิดหนึ่ง เคยได้ชั้นสอง ห้องใหญ่โตมีห้องน้ำในตัว ระเบียงใหญ่ ไม่มีแอร์ เปิดหน้าตาก็โอเคอยู่ ไม่มีลิฟท์
ไม่เดินหา ก็เลือกเอาจาก Guide Book ถูกใจอันไหน ก็โทรไปถามว่าห้องว่างมั้ย หรือไม่ก็เิดินทางไปดูเองเลย (ดังนั้นจึงต้องมีมือถือติดตัวไปด้วย)
ได้ที่พักแล้ว สบายใจ ก็เริ่มเที่ยวละ เดินทางยังไง ?
สถานีรถไฟ มีแผ่นพับแจกฟรีให้ แค่นี้ก็ดีใจเหมือนถูกหวยแร้ววววววววว ได้เที่ยวแร้ว 555
แล้วก็ต้องเริ่มการผจญภัยกันใหม่อีกเรื่อง ?
รถไฟใต้ดิน Paris ใช้ยังไงละ
ก็ไปหาความรู้กันหน้างานละครับ หลงสักสองสามสี่ห้ารอบ เดี๋ยวก็จับทางเป็นเองละครับ 555
อ้อ เรื่องภาษา ก่อนเดินทางก็ศึกษาศัพท์พื้นฐานประเทศนั้นๆ ไว้ก่อนครับ ไม่ต้องมากมายอะไน สวัสดี ขอบคุณ วันจันทร์ วันอังคาร หนึ่ง สอง สาม ทางเข้า ทางออก ฯลฯ
แผนที่ แบบนี้ถือว่าเอียดสุดๆ แล้วครับ ในสมัยนั้น มีให้อยู่ 2-3 เขตที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว นอกเหนือจากนั้น "ไม่มี" ไปเดินหาเอาดาบหย้าเอาเอง 555
แผนที่มีอีกแบบ เป็น Map ล้วนๆ (ไม่ใช่แผนที่ใน Guide Book) เป็นแผ่นใหญ่โต หาซื้อได้ตามร้านหนังสือ สมัยก่อนร้านหนังสือในบ้านเราก็มีน้อยประเทศ แหล่งแผนที่พวกนี้ก็ Singapore หรือไม่ก็ Hongkong อีกแหล่งคือ ในสนามบินต่างประเทศ ได้แผนที่แบบนี้มาเมื่อไร เดินทางได้เลยสบายๆ
เอาละเที่ยว Paris จนงง หลง กันทุกวันแล้ว ไปต่างจังหวัดดีกว่า จุดหมuายคือ ปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์
เนื่องจากทริปนั้น ไปคนเดียว ระยะเวลา 20 วัน ดังนั้นจึงค่อนข้างเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ จะไปไหนบางทียังไม่รู้ เพราะยังไม่ได้คิด ยังไม่ได้ตัดสินใจ 555
ปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์ ก็ต้องไปเมือง Tour ใช้รถไฟด่วนสุดๆ ก็ได้แป๊บเดียวถึง แต่ว่า มัถึงเร็วไป 555
เนื่องจากเวลาแยะ ดังนั้นค่อยๆ กระดื้บๆ ไปทีละเมืองดีกว่า ใช้รถไฟ local นี่ละ ค่อยๆ กระดึ้บไปทีละเมือง ไปเมือง Orleans ก่อน ดูดีก็นอนหลายวันหน่อย ไม่ดีก็นอนคืนเดี่ยว เปลี่ยนไปเมืองอื่น
ข้อมูลใน Guide Book ก็มีพอให้เดินทางได้
ที่พักก็เิดินไปดูที่พัก เล็งไว้แล้วตั้งอยู่ paris
ได้ที่พักแล้วก็ออกเที่ยว
สิ่งที่สำคัญคือ หาแผนที่
มีสองที่ที่สามารถหาแผนที่ได้ คือ info office หรือ ไม่ก็ร้านขายหนังสือ (ส่วนมากได้จากร้านขายหนังสือ)
หนังสือจากร้านยางรถยนต์นั่น ก็ได้จากร้านหนังสือท้องถิ่นที่ Orleans ได้หนังสือมาแล้ว ก็ต้องเริ่มเร่งอ่าน หาข้อมูลต่อไป แบบว่าหาเช้ากินกลางวัน หาค่ำกินเช้า ละครับ 555
มีอะไรอีกละ ???
เรื่องกิน ก็ว่ากันไปตามหน้างาน ถูกใจร้านไหน ก็เข้าไป ภาษาสากลที่สุด คือ ภาษามือและร่างกาย เข้าใจกันได้ทั้งโลก แต่อาจจะงงกันหน่อยทั้งสองฝ่าย เช่น สั่งอย่าง ดันได้อีกอย่าง ไม่ว่ากัน กินได้อยู่แล้ว อย่าไปซีเรียด ไม่งั้นอด 555
ซื้อตั๋วรถไฟ จะไปไหนก็เขียนชื่อเมือง ยื่นไปให้เจ้าหน้าที่ กรุณาอย่าทำเท่ห์ออกเสียงชื่อเมืองเอง ไม่งั้นอาจได้ไปไหนก็ไม่รู้ 555
นึกไม่ออกแล้วว่ามีอะไรอีก สงสัยอะไรก็ถามมา สมัยนั้นคนเที่ยวต่างประเทศก็ไม่น้อย แต่ส่นใหญ่ไปกับทัวร์ มีอยู่น้อยคนนักที่ห้าวไปกันเอง และมีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่เดินทางคนเดียว
สมัยนั้น ตั๋วเครื่องบิน ต้อง "รีคอนเฟริม" เที่ยวบินขากลับด้วย หลังจากไปถึงสนามบินปลายทางแล้ว ถ้าไม่โทรไปรีคอนเฟริม์ขากลับ ถึงเวลาบินจริงก็ตกเครื่องครับ
ตั๋วเครื่องบิน มีค่าและสำคัญเทียบเท่า Passport ตั๋วหาย หมดสิทธ์กลับบ้าน เสียตังค์ซื้อใหม่สถานเดียว
เกือบลืม สมัยนั้น สิ่งจำเป็นอีกอย่างที่ต้องติดตัวไว้ตลอด คือ dictionary เล่มจิ๋ว ครับ
สมุดโน๊ดเล่มเล็ก กับปากกา ก็ต้องติดตัวไว้ตลอดเหมือนกัน มีอะไรก็จด จด จด จด ไว้
การท่องเที่ยวยุคอนาล๊อก ไม่ต้องพกปลั๊กไฟแต่อย่างใด เพราะไม่มีอุปกรณ์ที่ต้องชาร์ตแบต
* * * * * * * * * * * เข้ามาเพิ่มเติมเรื่องที่พักหน่อย ที่นี่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ลืมไปเลย * * * * * * * * * * *
สมัยก่อนนู้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
จองที่พักในต่างประเทศ มีอยู่ 2-3 วิธี
1. ให้เอเจ้นขายตั๋วเครื่องบินจองให้ ส่วนมาก็จะเป็นโรงแรม 3 ดาวขึ้นไป
2. มีชื่อโรงแรม หรือที่พัก แล้ว และมีเบอร์โทรศัพท์ ก็โทรต่างประเทศไปจอง หรือ มี Telex ก็จัดการส่ง Telex ไปจอง (ต้องเป็บริษัทฯ ที่เกี่ยวกับต่างประเทศถึงจะมี telex ใช้ ที่ทำงานเก่าผมมี)
3. อันนี้เป็นวิธีที่จะได้ที่พักราคาถูก กว่า 1 และ 2 (ไม่นับแบบพวกเดินหาที่พักเองหน้างานแบบผมนะครับ 555)
นั่นคือ YOUTH HOSTEL ครับ (สมัยก่อนชื่อ International Youth Hostel ปัจจุบันคือ Hostelling International)
เป็นที่พักราคาถูกสำหรับเยาวชน (ยันคนมีอายุก็ใช้ได้) ออกแนว Hostel ส่วนใหญ่สมัยก่อนจะเป็นห้องพักรวม
Youth Hostel จริงๆ คือเป็นบิดา (เจ้าของแนวคิด) ของ Hostel world ในปัจจุบันนี่ละครับ
Youth Hostel มีสำนักงานในประเทศไทยมานานมากครับ อยู่แถวเทเวศน์ ไม่เคยย้ายไปไหน
สมันนู้นนนนนนนนนจะไปประเทศไหน ก็นี่ละครับเป็นที่พึ่งพาเรื่องจองที่พักราคาถูกในประเทศต่างๆ
Youth Hostel จะพักก็ต้องเป็นสมาชิกก่อน จะสมัครที่กรุงเทพ หรือ ไปเสียตังค์สมัครที่ต่างประเทศเลยก้ได้
จะใช้บริการก็ต้องไปที่สำนักงานเค้าที่เทเวศน์ครับ บอกประเทศที่จะไป เดี๋ยวเค้าเอารายชื่อที่พักในประเทศ/เมือง มาให้นั่งเลือกเองครับ
ที่เลือกนี่ คือ ชื่อ ที่อยู่ ราคา เท่านั้นครับ ไม่มีรูปให้ดู มีแผนที่แบบคร่าวๆ มากๆ ให้ดูว่าอยู่ถนนอะไร แถวๆ ไหน บางที่ก็ใกล้ บางที่ก็ไกล นั่งรถเมล์กันสุดสาย เดินต่ออีกไกล 555
เลือกที่พักได้ก็จ่ายตังค์ครับ เด่ยวเค้าจัดการจองให้ ก็ได้สลิบโวชเชอร์ในใบหนึ่ง ไปถึงที่พักก็จัดการยื่นให้เค้าไปก็ได้ที่พักแล้ว
สมัยยังละอ่อน ก็ใช้บริการบ่อยๆ ครับ เท่าที่จำได้ เคยใช้ที่ ลอนดอน เบลเยี่ยม ปราก บูดาเบส บราติสลาวา ฯลฯ
ที่ลอนดอนนี่ สุดยอดคนเพียบ เพราะมันถูก ห้องรวม เตียง 3 ชั้น 8 เตียง ห้องละ 24 คน โอ้แม่เจ้ารถไฟวิ่งทั้งคืน 555
ปล. เพิ่งเข้าไปดูห้อง แต่ใหม่ซะทันสมัยเชียว สมัยก่อนเหมือนหอนอนโรงเรียนประจำ !!!
สมัยนั้นถือเป็นเรื่องตื่นเต้นอย่างหนึ่ง 555
ตั๋วเครื่องบิน โทรไปจองกับเอเจ้นขายตั๋ว แล้วก็ไปจ่ายเงินสด ตอนนั้นไป Paris ใช้ SQ สองหมื่นกว่าบาทหน่อยๆ BKK-SIN-PARIS
วีซ่า สมัยก่อนมีเชงเก้น ไปกี่ประเทศก็ทำทุกประเทศนั่นละ ไปฝรั่งเศส กับเบลเยี่ยม ก็ไปทำวีซ่าทั้งสองประเทศ
แลกเงิน ก็แลกเงินแต่ละเทศ เงินฟรังฝรั่งเศส แลกในบ้านเราได้ เงินฟรังเบลเยี่ยมไม่มีแลก ก็เอาฟรังฝรั่งเสสไปแลกที่นู้นเลย
ที่พัก ก็ให้เอเจ้น ที่จองตั๋วเครื่องบินนั่นละจองให้
หรือพวกชั่วโมงบินสูง ก็ไม่ต้องจอง ไปเดินหาที่พักนู่นเอาเอง !!! ทำได้ครับ ผมทำประจำ
อันเตอร์เน็ต เพิ่งเริ่มใช้กัน ยังไม่แพร่หลายไปทุกวงการ
(Hotmail มีแล้ว เวปสถานที่ท่องเที่ยวยังไม่เกิด รถไฟฝรั่งเศสมีแค่แผนที่เส้นทางที่ให้บริการ ยังไม่มีบริการจอง)
โทรศัพท์มือถือ ใช้ได้บางรุ่น โทรกลับไทย นาทีละ 160 บาท SMS สามสิบกว่าบาทมั้ง แต่ยังไง ก็เอาไปเพราะใช้โทรที่นู่นได้ เพราะโทรในราคา local สามสิบกว่าบาทมั้ง
เอาละทุกอย่างพร้อม สภาพอากาศเป็นยังไง ?
มีทางเดียวที่จะรู้สภาพอากาศ ดูทีวีครับ ข่าวสองทุ่ม ข่าวในประเทศ ข่าวต่างประเทศ สุดท้ายก่อนจบข่าวต่างประเทศจะมีรายงานสภาพอากาศแต่ละประเทศ ก็ดูไปหลายๆ วันก่อนเดินทาง จะพอประมาณได้ว่า ฝนตก แดดออก หรือ หนาวขนาดไหน
เอาละเดินทางซะที
ข้อมูลมีอย่างเดียว Guide Book ภาษาอักฤษครับ เล่มนี้ซื้อที่ วิวล่า ราคาสี่ร้อยเก้าสิบห้าบาท ส่วนอีกเล่มซื้อหน้างานตอนไปถึง Tour แล้ว
ตอนนั้น Guide Book ภาษาอังกฤษ เมื่องไทยแทบไม่มีขาย แหล่งคือ Singapore และ Hongkong ตอนนั้นไปทีไรต้องแวะร้านหนังสือหาติดมือกลั
เอาละถึงสนามบิน แล้วเข้าเมืองยังไง มีบอกครับ นี่ละเอีดที่สุดของที่สุดในตอนนั้นแล้ว (ส่วน LP ข้อมูลยังหยาบมากในสมัยนั้นเมื่อเที่ยวกับเจ้านี้บเมืองไทย)
เอาละเข้าเมืองได้แล้ว ที่พักละ
อย่างที่บอกไว้แล้ว ถ้าจองก็ต้องให้เอเจ้นในเมืองไทยจองให้
ถ้าไม่จอง ก็ต้องเดินหาที่พักเอาเอง อันนี้ละสนุก เดินหาจนกว่าจะได้ที่พอใจ ทั้งเรื่องราคา และสภาพห้องพัก บางทีก็ต้องดูหลายแห่งหน่อยเพื่อความปลอดภัย
แหล่งที่พักราคาถูก ก็มาตรฐานตามชุมทางรถไฟนั่นละ ที่พักแยะ ส่วนมาก้พวกไม่มีดาว หรือ อย่างเก่งก็ดาวเดียว บางที่ก็โอเคนะครับ ดีมากๆ อาหารเช้าก็มีให้
เคยพักห้องแถวแบบนี้ สองสามครั้ง เคยได้ชั้นบนสุด เปิดหน้าต่างได้ วิวดีมีระเบียงนิดหนึ่ง เคยได้ชั้นสอง ห้องใหญ่โตมีห้องน้ำในตัว ระเบียงใหญ่ ไม่มีแอร์ เปิดหน้าตาก็โอเคอยู่ ไม่มีลิฟท์
ไม่เดินหา ก็เลือกเอาจาก Guide Book ถูกใจอันไหน ก็โทรไปถามว่าห้องว่างมั้ย หรือไม่ก็เิดินทางไปดูเองเลย (ดังนั้นจึงต้องมีมือถือติดตัวไปด้วย)
ได้ที่พักแล้ว สบายใจ ก็เริ่มเที่ยวละ เดินทางยังไง ?
สถานีรถไฟ มีแผ่นพับแจกฟรีให้ แค่นี้ก็ดีใจเหมือนถูกหวยแร้ววววววววว ได้เที่ยวแร้ว 555
แล้วก็ต้องเริ่มการผจญภัยกันใหม่อีกเรื่อง ?
รถไฟใต้ดิน Paris ใช้ยังไงละ
ก็ไปหาความรู้กันหน้างานละครับ หลงสักสองสามสี่ห้ารอบ เดี๋ยวก็จับทางเป็นเองละครับ 555
อ้อ เรื่องภาษา ก่อนเดินทางก็ศึกษาศัพท์พื้นฐานประเทศนั้นๆ ไว้ก่อนครับ ไม่ต้องมากมายอะไน สวัสดี ขอบคุณ วันจันทร์ วันอังคาร หนึ่ง สอง สาม ทางเข้า ทางออก ฯลฯ
แผนที่ แบบนี้ถือว่าเอียดสุดๆ แล้วครับ ในสมัยนั้น มีให้อยู่ 2-3 เขตที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว นอกเหนือจากนั้น "ไม่มี" ไปเดินหาเอาดาบหย้าเอาเอง 555
แผนที่มีอีกแบบ เป็น Map ล้วนๆ (ไม่ใช่แผนที่ใน Guide Book) เป็นแผ่นใหญ่โต หาซื้อได้ตามร้านหนังสือ สมัยก่อนร้านหนังสือในบ้านเราก็มีน้อยประเทศ แหล่งแผนที่พวกนี้ก็ Singapore หรือไม่ก็ Hongkong อีกแหล่งคือ ในสนามบินต่างประเทศ ได้แผนที่แบบนี้มาเมื่อไร เดินทางได้เลยสบายๆ
เอาละเที่ยว Paris จนงง หลง กันทุกวันแล้ว ไปต่างจังหวัดดีกว่า จุดหมuายคือ ปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์
เนื่องจากทริปนั้น ไปคนเดียว ระยะเวลา 20 วัน ดังนั้นจึงค่อนข้างเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ จะไปไหนบางทียังไม่รู้ เพราะยังไม่ได้คิด ยังไม่ได้ตัดสินใจ 555
ปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์ ก็ต้องไปเมือง Tour ใช้รถไฟด่วนสุดๆ ก็ได้แป๊บเดียวถึง แต่ว่า มัถึงเร็วไป 555
เนื่องจากเวลาแยะ ดังนั้นค่อยๆ กระดื้บๆ ไปทีละเมืองดีกว่า ใช้รถไฟ local นี่ละ ค่อยๆ กระดึ้บไปทีละเมือง ไปเมือง Orleans ก่อน ดูดีก็นอนหลายวันหน่อย ไม่ดีก็นอนคืนเดี่ยว เปลี่ยนไปเมืองอื่น
ข้อมูลใน Guide Book ก็มีพอให้เดินทางได้
ที่พักก็เิดินไปดูที่พัก เล็งไว้แล้วตั้งอยู่ paris
ได้ที่พักแล้วก็ออกเที่ยว
สิ่งที่สำคัญคือ หาแผนที่
มีสองที่ที่สามารถหาแผนที่ได้ คือ info office หรือ ไม่ก็ร้านขายหนังสือ (ส่วนมากได้จากร้านขายหนังสือ)
หนังสือจากร้านยางรถยนต์นั่น ก็ได้จากร้านหนังสือท้องถิ่นที่ Orleans ได้หนังสือมาแล้ว ก็ต้องเริ่มเร่งอ่าน หาข้อมูลต่อไป แบบว่าหาเช้ากินกลางวัน หาค่ำกินเช้า ละครับ 555
มีอะไรอีกละ ???
เรื่องกิน ก็ว่ากันไปตามหน้างาน ถูกใจร้านไหน ก็เข้าไป ภาษาสากลที่สุด คือ ภาษามือและร่างกาย เข้าใจกันได้ทั้งโลก แต่อาจจะงงกันหน่อยทั้งสองฝ่าย เช่น สั่งอย่าง ดันได้อีกอย่าง ไม่ว่ากัน กินได้อยู่แล้ว อย่าไปซีเรียด ไม่งั้นอด 555
ซื้อตั๋วรถไฟ จะไปไหนก็เขียนชื่อเมือง ยื่นไปให้เจ้าหน้าที่ กรุณาอย่าทำเท่ห์ออกเสียงชื่อเมืองเอง ไม่งั้นอาจได้ไปไหนก็ไม่รู้ 555
นึกไม่ออกแล้วว่ามีอะไรอีก สงสัยอะไรก็ถามมา สมัยนั้นคนเที่ยวต่างประเทศก็ไม่น้อย แต่ส่นใหญ่ไปกับทัวร์ มีอยู่น้อยคนนักที่ห้าวไปกันเอง และมีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่เดินทางคนเดียว
สมัยนั้น ตั๋วเครื่องบิน ต้อง "รีคอนเฟริม" เที่ยวบินขากลับด้วย หลังจากไปถึงสนามบินปลายทางแล้ว ถ้าไม่โทรไปรีคอนเฟริม์ขากลับ ถึงเวลาบินจริงก็ตกเครื่องครับ
ตั๋วเครื่องบิน มีค่าและสำคัญเทียบเท่า Passport ตั๋วหาย หมดสิทธ์กลับบ้าน เสียตังค์ซื้อใหม่สถานเดียว
เกือบลืม สมัยนั้น สิ่งจำเป็นอีกอย่างที่ต้องติดตัวไว้ตลอด คือ dictionary เล่มจิ๋ว ครับ
สมุดโน๊ดเล่มเล็ก กับปากกา ก็ต้องติดตัวไว้ตลอดเหมือนกัน มีอะไรก็จด จด จด จด ไว้
การท่องเที่ยวยุคอนาล๊อก ไม่ต้องพกปลั๊กไฟแต่อย่างใด เพราะไม่มีอุปกรณ์ที่ต้องชาร์ตแบต
* * * * * * * * * * * เข้ามาเพิ่มเติมเรื่องที่พักหน่อย ที่นี่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ลืมไปเลย * * * * * * * * * * *
สมัยก่อนนู้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
จองที่พักในต่างประเทศ มีอยู่ 2-3 วิธี
1. ให้เอเจ้นขายตั๋วเครื่องบินจองให้ ส่วนมาก็จะเป็นโรงแรม 3 ดาวขึ้นไป
2. มีชื่อโรงแรม หรือที่พัก แล้ว และมีเบอร์โทรศัพท์ ก็โทรต่างประเทศไปจอง หรือ มี Telex ก็จัดการส่ง Telex ไปจอง (ต้องเป็บริษัทฯ ที่เกี่ยวกับต่างประเทศถึงจะมี telex ใช้ ที่ทำงานเก่าผมมี)
3. อันนี้เป็นวิธีที่จะได้ที่พักราคาถูก กว่า 1 และ 2 (ไม่นับแบบพวกเดินหาที่พักเองหน้างานแบบผมนะครับ 555)
นั่นคือ YOUTH HOSTEL ครับ (สมัยก่อนชื่อ International Youth Hostel ปัจจุบันคือ Hostelling International)
เป็นที่พักราคาถูกสำหรับเยาวชน (ยันคนมีอายุก็ใช้ได้) ออกแนว Hostel ส่วนใหญ่สมัยก่อนจะเป็นห้องพักรวม
Youth Hostel จริงๆ คือเป็นบิดา (เจ้าของแนวคิด) ของ Hostel world ในปัจจุบันนี่ละครับ
Youth Hostel มีสำนักงานในประเทศไทยมานานมากครับ อยู่แถวเทเวศน์ ไม่เคยย้ายไปไหน
สมันนู้นนนนนนนนนจะไปประเทศไหน ก็นี่ละครับเป็นที่พึ่งพาเรื่องจองที่พักราคาถูกในประเทศต่างๆ
Youth Hostel จะพักก็ต้องเป็นสมาชิกก่อน จะสมัครที่กรุงเทพ หรือ ไปเสียตังค์สมัครที่ต่างประเทศเลยก้ได้
จะใช้บริการก็ต้องไปที่สำนักงานเค้าที่เทเวศน์ครับ บอกประเทศที่จะไป เดี๋ยวเค้าเอารายชื่อที่พักในประเทศ/เมือง มาให้นั่งเลือกเองครับ
ที่เลือกนี่ คือ ชื่อ ที่อยู่ ราคา เท่านั้นครับ ไม่มีรูปให้ดู มีแผนที่แบบคร่าวๆ มากๆ ให้ดูว่าอยู่ถนนอะไร แถวๆ ไหน บางที่ก็ใกล้ บางที่ก็ไกล นั่งรถเมล์กันสุดสาย เดินต่ออีกไกล 555
เลือกที่พักได้ก็จ่ายตังค์ครับ เด่ยวเค้าจัดการจองให้ ก็ได้สลิบโวชเชอร์ในใบหนึ่ง ไปถึงที่พักก็จัดการยื่นให้เค้าไปก็ได้ที่พักแล้ว
สมัยยังละอ่อน ก็ใช้บริการบ่อยๆ ครับ เท่าที่จำได้ เคยใช้ที่ ลอนดอน เบลเยี่ยม ปราก บูดาเบส บราติสลาวา ฯลฯ
ที่ลอนดอนนี่ สุดยอดคนเพียบ เพราะมันถูก ห้องรวม เตียง 3 ชั้น 8 เตียง ห้องละ 24 คน โอ้แม่เจ้ารถไฟวิ่งทั้งคืน 555
ปล. เพิ่งเข้าไปดูห้อง แต่ใหม่ซะทันสมัยเชียว สมัยก่อนเหมือนหอนอนโรงเรียนประจำ !!!
แสดงความคิดเห็น
สมัยที่ยังไม่มี internet ไม่มี GPS ไม่มีแอปแปลภาษา เวลาเที่ยวต่างประเทศเองนี่ลุยกันยังไงครับ
ไปไหนก็เปิด street view เดินเล่นในโลก google ก่อน ไปของจริงเดินตามได้ทันที
หลงก็ GPS
โหลดแอปรถไฟฟ้า รู้เวลาเดินทางที่แน่นอน
หาที่ก็เปิดเน็ตหาสะดวก เจอภาษาอะไรก็ Scan แอปแปลได้เลย
พูดกันไม่รู้เรื่อง พูดอังกฤษไม่ได้ พูดหรือพิมพ์ผ่านแอปแปลก็เข้าใจกันได้
สะดวกสุดๆ
ไม่รู้เมื่อก่อนที่ไม่มีอะไรแบบนี้เที่ยวกันยังไงครับ ถ้าหลงทำยังไงครับ