ผมขออนุญาตแชร์เรื่องราวของผมเป็นธรรมทานนะครับ เพราะเรื่องที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมะที่ผสมผสานกับความชอบของผมอย่างลงตัว
ผมเป็นคนนึงที่ชอบถ่ายรูปมากครับ ชอบถ่ายรูปทั้งถ่ายด้วยกล้องฟิล์มและกล้องดิจิตอล แล้วผมเองก็มักจะถอดชิ้นส่วนของกล้องหรือเลนส์มาทำความสะอาดหรือปรับปรุงแก้ไข เวลาที่มีปัญหาเล็กๆน้อยๆ พอเวลาผ่านไปนานเข้าๆ ผมก็เริ่มได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง บวกกับผมเป็นคนที่สนใจเรื่องธรรมะอยู่แล้ว จนในที่สุดความคิดเกี่ยวกับธรรมะก็ตกผลึกร่วมกับความรู้เรื่องเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปที่ผมมีอยู่ จนทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า นอกเหนือจากกล้องจะมีอายุการใช้งานเหมือนกับอายุของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบนโลกนี้ แล้วเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเหมือนกับหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) มันยังมีสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ปลีกย่อยจากนี้อีกครับ
กล้องถ่ายรูปที่เป็นฟิล์มแบบ SLR หรือกล้องดิจิตอลแบบ DSLR ถ้าสมมุติว่าเรากดถ่ายไปโดยที่ไม่ได้ใส่เลนส์ เรากดถ่ายไป แสงตกกระทบที่แผ่นฟิล์มหรือเซ็นเซอร์ก็จริง แต่มันกลับไม่มีภาพปรากฏอยู่ แต่เมื่อเราใส่เลนส์เข้าไปแล้วกดถ่ายอีกทีนึง แสงตกกระทบที่แผ่นฟิล์มหรือเซ็นเซอร์แล้วมีภาพปรากฏอยู่ ผมเปรียบตัวกล้องเหมือนกับตัวของมนุษย์ แล้วเลนส์กล้องเปรียบเหมือนตา ถ้าเรากดถ่ายรูปโดยที่ไม่ได้ใส่เลนส์ที่ตัวกล้อง ก็เหมือนกับว่าเราตาบอดมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นแม้แต่สัจธรรมความเป็นไปต่างๆ แต่ถ้าเรากดถ่ายรูปโดยที่ใส่เลนส์กับตัวกล้องแล้ว นั่นก็เหมือนกับว่าเรามีตา แล้วเรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ได้เห็นแม้กระทั่งสัจธรรม
และอีกอย่างนึงที่ผมได้เรียนรู้ก็คือเลนส์ของกล้อง ถ้าสมมุติว่าเลนส์ของกล้องที่ใช้อยู่เป็นเลนส์ที่ใสมากๆ แต่มีฝุ่นอยู่แค่นิดเดียว เป็นฝุ่นละอองเล็กๆ ผมเปรียบฝุ่นนั้นเหมือนกิเลส เราใส่กับกล้องแล้วกดถ่าย ไม่ว่าจะถ่ายสภาพแสงไหนก็ตาม ทั้งกลางแดดหรือย้อนแสง หรือแม้แต่ถ่ายในที่แสงน้อยๆ ฝุ่นที่อยู่ในเลนส์นั้นมันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับรูปภาพที่เราถ่าย นั่นหมายถึงว่าถ้าเรามีกิเลสเบาบางมากๆ เราก็จะเห็นสัจธรรมต่างๆได้มาก แต่ถ้าสมมุติว่าเลนส์กล้องที่ใช้อยู่เป็นเลนส์ที่มีฝ้ามีราเยอะๆ แล้วเราเอาไปใส่กับกล้องแล้วกดถ่าย ไม่ว่าจะถ่ายสภาพแสงไหนก็ตาม ทั้งกลางแดดหรือย้อนแสง หรือแม้แต่ถ่ายในที่แสงน้อยๆ รูปภาพที่ได้ออกมามันก็จะฟุ้งๆ หรือมัว หรืออาจจะแทบมองไม่เห็นอะไรเลย นั่นหมายถึงว่าเรามีกิเลสหนามาก เราก็จะเห็นสัจธรรมต่างๆได้น้อยลงหรือแทบจะไม่เห็นเลย
เรื่องที่ผมได้แชร์นี้หวังว่าคงจะเป็นความรู้และเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกทุกคนที่สนใจอ่านนะครับ ความรู้จากสิ่งที่เราชอบก็สามารถเอามาตกผลึกเป็นธรรมะได้เหมือนกันครับ
ธรรมะที่ผมได้เรียนรู้จากกล้องถ่ายรูป
ผมเป็นคนนึงที่ชอบถ่ายรูปมากครับ ชอบถ่ายรูปทั้งถ่ายด้วยกล้องฟิล์มและกล้องดิจิตอล แล้วผมเองก็มักจะถอดชิ้นส่วนของกล้องหรือเลนส์มาทำความสะอาดหรือปรับปรุงแก้ไข เวลาที่มีปัญหาเล็กๆน้อยๆ พอเวลาผ่านไปนานเข้าๆ ผมก็เริ่มได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง บวกกับผมเป็นคนที่สนใจเรื่องธรรมะอยู่แล้ว จนในที่สุดความคิดเกี่ยวกับธรรมะก็ตกผลึกร่วมกับความรู้เรื่องเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปที่ผมมีอยู่ จนทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า นอกเหนือจากกล้องจะมีอายุการใช้งานเหมือนกับอายุของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบนโลกนี้ แล้วเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเหมือนกับหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) มันยังมีสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ปลีกย่อยจากนี้อีกครับ
กล้องถ่ายรูปที่เป็นฟิล์มแบบ SLR หรือกล้องดิจิตอลแบบ DSLR ถ้าสมมุติว่าเรากดถ่ายไปโดยที่ไม่ได้ใส่เลนส์ เรากดถ่ายไป แสงตกกระทบที่แผ่นฟิล์มหรือเซ็นเซอร์ก็จริง แต่มันกลับไม่มีภาพปรากฏอยู่ แต่เมื่อเราใส่เลนส์เข้าไปแล้วกดถ่ายอีกทีนึง แสงตกกระทบที่แผ่นฟิล์มหรือเซ็นเซอร์แล้วมีภาพปรากฏอยู่ ผมเปรียบตัวกล้องเหมือนกับตัวของมนุษย์ แล้วเลนส์กล้องเปรียบเหมือนตา ถ้าเรากดถ่ายรูปโดยที่ไม่ได้ใส่เลนส์ที่ตัวกล้อง ก็เหมือนกับว่าเราตาบอดมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นแม้แต่สัจธรรมความเป็นไปต่างๆ แต่ถ้าเรากดถ่ายรูปโดยที่ใส่เลนส์กับตัวกล้องแล้ว นั่นก็เหมือนกับว่าเรามีตา แล้วเรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ได้เห็นแม้กระทั่งสัจธรรม
และอีกอย่างนึงที่ผมได้เรียนรู้ก็คือเลนส์ของกล้อง ถ้าสมมุติว่าเลนส์ของกล้องที่ใช้อยู่เป็นเลนส์ที่ใสมากๆ แต่มีฝุ่นอยู่แค่นิดเดียว เป็นฝุ่นละอองเล็กๆ ผมเปรียบฝุ่นนั้นเหมือนกิเลส เราใส่กับกล้องแล้วกดถ่าย ไม่ว่าจะถ่ายสภาพแสงไหนก็ตาม ทั้งกลางแดดหรือย้อนแสง หรือแม้แต่ถ่ายในที่แสงน้อยๆ ฝุ่นที่อยู่ในเลนส์นั้นมันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับรูปภาพที่เราถ่าย นั่นหมายถึงว่าถ้าเรามีกิเลสเบาบางมากๆ เราก็จะเห็นสัจธรรมต่างๆได้มาก แต่ถ้าสมมุติว่าเลนส์กล้องที่ใช้อยู่เป็นเลนส์ที่มีฝ้ามีราเยอะๆ แล้วเราเอาไปใส่กับกล้องแล้วกดถ่าย ไม่ว่าจะถ่ายสภาพแสงไหนก็ตาม ทั้งกลางแดดหรือย้อนแสง หรือแม้แต่ถ่ายในที่แสงน้อยๆ รูปภาพที่ได้ออกมามันก็จะฟุ้งๆ หรือมัว หรืออาจจะแทบมองไม่เห็นอะไรเลย นั่นหมายถึงว่าเรามีกิเลสหนามาก เราก็จะเห็นสัจธรรมต่างๆได้น้อยลงหรือแทบจะไม่เห็นเลย
เรื่องที่ผมได้แชร์นี้หวังว่าคงจะเป็นความรู้และเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกทุกคนที่สนใจอ่านนะครับ ความรู้จากสิ่งที่เราชอบก็สามารถเอามาตกผลึกเป็นธรรมะได้เหมือนกันครับ