สวัสดีครับ ทุกท่านที่เผลอเข้ามาอ่าน "บันทึกฉบับนี้"
อย่างที่ชื่อกระทู้บอกครับ ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้สึกว่า ตัวผมเอง จะเดินมาสู่ทางตันได้มากขนาดนี้
ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เอาเป็นว่า ขอเอาความอัดอั้นที่อยู่ในตัว (ซึ่งมันรู้สึกว่าอยู่ทั้งในหัวใจ ท้อง กระเพาะ หัวสมอง) เรียกได้ว่าทั้งตัวเลยก็คงจะไม่ผิดนัก
ตอนนี้ ไม่รู้จะระบายออกไปทางไหน ไม่รู้จะพูดกับใคร ก็ขออนุญาตให้พื้นที่ตรงนี้ เป็นเพื่อนซักคนแล้วกัน
คุณเคยรู้สึกมั้ย ว่าคนเราเกิดมา มันมีความหมายอะไรบางอย่าง? เคยคิดมั้ยว่า เราเองเป็นคนที่เก่งคนนึง
เอาเรื่องง่ายๆ เพื่อยืนยันชีวิตผมที่ผ่านมา ผมเคยเป็นนักกีฬาโรงเรียน แข่งบาสกับโรงเรียนอื่น เคยอยู่ในวงโยฯของโรงเรียน สำหรับเด็ก มอ.ต้น มอ.ปลาย ผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องที่พิเศษอยู่ไม่น้อย การเรียนก็อยู่ห้องคิงมาตั้งแต่ ม.ปลาย เคยได้มีโอกาสสอบชิงทุน ได้ไปอเมริกามา 1 ปีเต็ม ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน โชคดีโดยไม่รู้ตัวที่ได้ไปอยู่แคลิฟอร์เนีย ได้ไปใช้ชีวิตที่เป็นอิสระ ที่เราได้เลือกเอง (คนที่เคยหลุดพ้นจากวังวนของการเรียนแบบธรรมดาในไทย ก็คงจะเข้าใจในจุดนี้) กลับมาไทย ก็เรียนซ้ำม.6 ตอนนั้นมีโครงการหนังสือพิมพ์ค่ายหนึ่ง ร่วมกับมหาวิทยาลัย ABAC มาเปิดสอบชิงทุน เราก็สอบ แล้วก็ติดเพียงคนเดียว ไปสัมภาษณ์แล้วด้วย เขารับแล้วด้วย พร้อมให้ทุนเต็ม! แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่ไป แล้วก็เลยเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ เราก็เริ่มรู้แล้วว่า การได้เป็นตัวของตัวเอง มันเป็นยังไง เลยตั้งปณิธานให้ตัวเองในรั้วมหาลัย ว่าอยากจะทำอะไรก็จงทำ แค่อย่าให้ใครเดือดร้อนก็พอ เราก็เลยทำมันทุกอย่าง เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ประกวดดาวเดือน แข่งกีฬา ปีหนึ่งเป็นประธานรุ่น ปีสองเป็นประธานชมรม(ชุมนุม) ปีสามเป็นนายกสโมฯ ปีสี่ไปฝึกงานกับโรงงานระดับประเทศแถวสมุทรปราการ กลับมาก็ทำวิจัยร่วมกับ SCGแถมได้ทุนวิจัยด้วย
ชีวิตช่วงกลาง เราไปสมัครงานเหมือนกับเด็กจบใหม่ทั่วไป ด้วยดีกรีด้านกิจกรรมที่แน่นแฟ้ม การเรียนที่เกียรตินิยมอันดับสอง พ่วงด้วยตัวพีคคือคะแนน TOEIC ที่ 910 คะแนน งานที่เราไปสมัครคือโรงงานSONY ที่อมตะนคร ตำแหน่ง Packaging Engineer ...คนสัมภาษณ์ถามผมมาคำนึง ซึ่งทุกวันนี้ยังจำได้ดีคือ "ผมรู้สึกคุณ Overqualified นะ ทำไมมาสมัครที่นี่หล่ะ" เราก็เห้ย พูดจริงดิ นี่มันโซนี่เลยนะเว้ย สุดท้ายเขาก็รับ แต่เราก็ปฎิเสธงานที่โซนี่ แล้วเลือกที่จะทำงานกับ SCG แทน (ใช่ครับ เครื่องซีเมนต์ไทย) แถมใกล้บ้านที่สงขลาด้วย ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่ 20000+ ซึ่งมันก็ถือว่ามากนะ สำหรับบริษัทต่างจังหวัด แต่เราก็ทำที่นั่นได้แค่ปีเดียว ด้วยเหตุผลทางบ้าน
แล้วจุดที่เริ่มต้นของความตันมันก็เริ่มขึ้นตรงนี้แหละ กลับมาอยู่ที่บ้าน เราก็เข้ามาช่วยดูงานโรงงานของที่บ้านครับ เป็นเกี่ยวกับยานยนต์ละกัน ซึ่งไม่ได้ใหญ่ ไม่ได้เล็ก พนักงานประมาณ 20-30 คน เราก็เริ่มเข้ามาทำแบบเต็มตัว ซึ่งจริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโต เราก็ช่วงงานที่บ้านมาตลอดนะ แต่ในฐานะนายช่าง ไม่ใช่ในมุมของผู้บริหารเลย เราเลยทำเป็นหมดในงานช่าง แต่ที่ขาดคืองานด้านบริหารครับ ที่บ้าน ก็บริหารแบบจีนๆ แบบเบื้องต้นมากๆ ทำทั้งเดือน รู้แค่ยอดมันเขียวหรือแดง แค่นั้นจริงๆ ต้นทุนสินค้าเรายังไม่รู้เลยครับ ได้แค่คร่าวๆ บัญชีก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลยซักอย่าง ก็เลยตัดสินใจไปเรียนปริญญาโท ด้านบริหาร ภาคภาษาอังกฤษ(ซึ่งมองย้อนไป ผมว่ามันผิดนะ ในแง่ของการเรียนเพื่อ Connection ผมควรจะเรียนแบบภาคไทยปกติดีกว่า ได้เจอคนเยอะกว่ามาก ภาคอินเตอร์แบบผม มีคนเรียนแค่ 8 คน ToT) เรียนไปทำงานที่บ้านไป จนเพื่อนมาชวนทำ Youtube เราก็ทำ จนตอนนี้เริ่มมีคนซัพประมาณสองพันกว่าๆ เราก็เริ่มตกหลุมรักงานกล้อง งานวีดีโอ ก็ศึกษาจริงจัง จนได้งานออกมามากมาย เริ่มรับงานถ่ายสินค้าจนกระทั่งเปิดบริษัทรับทำแบรนด์ให้ลูกค้า รับลูกค้ารายกลางๆจนใหญ่ๆ และแล้ว ทุกอย่างมันก็เริ่มพังลงอย่างช้าๆตั้งแต่จุดนั้น
กิจการโรงงานของผม เริ่มมียอดขายที่ลดลงเรื่อยๆ ไปตามคู่แข่งที่เข้ามามากขึ้น (ที่บ้านทำมาสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่เคยทำการตลาดใดๆ) แล้วพอผมได้เข้ามาบริหารเต็มตัว ก็เริ่มกู้เงินเพื่อขยายโรงงาน มีเงินสำรอง OD พร้อมให้ใช้...ฟังเหมือนจะดี แต่เวลาที่ผ่านไปแต่ละปี ยอดบัญชีมันมีแต่สีแดงมาแทบจะทุกเดือน รายจ่ายที่มากกว่ารายรับ มันย่อมไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจ มันเกิดจากคำว่า "วินัยทางการเงิน" และ "ความด้อยประสบการณ์" ของตัวผมเอง ที่ทำให้กิจการมันตกต่ำลง เงินในบัญชีมันก็ลดลงเรื่อยๆ พอเริ่มจะหมด ก็กู้เพิ่ม เพิ่มวงเงิน เอาที่ดินไปจำนองเพิ่ม ทำให้เงินมันมีสำรอง แต่ที่เราไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ "วิธีการในการหาเงิน" แล้วคุณว่ามันจะไปรอดมั้ย...คำตอบก็มีอยู่ในใจ ขายแบบเดิม ปรับตัวช้า เพราะไม่รู้ว่าจะต้องขายยังไง อาศัยแต่บารมีเก่าของแบรนด์ที่พ่อแม่สร้างมา ทำให้ยังมีลูกค้าเข้ามาตลอด โดยที่ไม่ต้องไปทำการตลาดใดๆเลย จุดนี้หล่ะ ที่ทำให้ผมคิดไปเองว่าเรายังทำได้ ทั้งที่จริงๆไม่ใช่
และแล้วก็มาถึงยุคโควิด ที่ทุกคนล้วนต้องปรับตัว ไม่สิ ต้องเอาตัวรอด การหาเงินเริ่มยากขึ้นกว่าเดิมมาก เราก็เริ่มหันไปขายบนออนไลน์ จ้างพนักงานเพิ่ม เพื่อเข้ามาทำระบบ ทั้งทำ Website, Line OA, Shopee, Lazada, Facebook คือทำมันหมดทุกช่องทางเท่าที่เราจะดูแลได้ จนยอดขายก็เริ่มดีขึ้นครับ ในตอนที่ขายได้ ยอดออนไลน์มันโตขึ้นจนเกือบจะ 40% ของยอดทั้งหมดแล้ว และแล้ว...ระลอกสี่ของโควิดก็เข้ามา ในวันที่ประกาศล็อคดาวน์ช่วงต้นปี มันทำให้ยอดทุกอย่างมันหยุดชะงัก ออฟไลน์ลดฮวบ ออนไลน์เริ่มหาย แม้จะทุ่มงบไปเป็นหลักหมื่น มันก็ไม่เป็นผล วัตถุดิบ (โดยเฉพาะเหล็ก) ที่ราคาขึ้นมากว่า 200% ใช่ครับ มันหนักมาก งานถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ ทำคอนเทนต์ต่างๆ ก็ไม่มีเหลือ ทุกคนก็ดิ้นจนไม่มีอากาศหายใจ (ถ่ายภาพสินค้า รูปละ 50 บาทพร้อมรีทัช...แข่งกันตายนะ)
เมื่องานประจำมันไม่มีรายได้พอรายจ่ายแบบหนักขึ้นมากๆๆๆๆๆๆๆ งานที่รัก ก็ไม่ทำให้เกิดรายได้....มันเลยมองย้อนมาที่ตัวเองครับ...ว่าเรามันห่วยได้ขนาดนี้เลยเหรอ พยายามหางานที่เข้ามาชดเชย...ก็ไม่รู้จะทำแบบไหน ตอนนี้มันเครียดจนสมองสั่งไม่ให้เครียดแล้วครับ จากที่เคยเป็นคนชอบเรียนรู้ ก็เริ่มไม่อยากขยับไปไหนแล้ว
ผมเป็นคนที่มีความสนใจที่ค่อนข้างกว้างครับ เวลาจะเรียนรู้อะไรก็ไปค่อนข้างลึก ลองลิสต์ดูดีมั้ยครับ
- เล่นดนตรี ได้หลากหลายชิ้นมาก กลอง กีต้าร์ เบส เปียโน เชลโล่
- ชอบถ่ายวีดีโอ อุปกรณ์กล้องเยอะแยะ ที่ตอนนี้เอามาทำรายได้ไม่ได้ (อาจจะแปลว่า ไม่คุ้มกับเวลา)
- งานตัดต่อ ทำยูทูป tiktok ก็ทำได้หมด ถึงขั้น colorgrade สีได้
- การลงทุน ทั้งหุ้น ฟอเร๊กซ์ บิทคอยน์ ก็จัดมาหมด ถึงขั้นไปซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่าน
- งานออกแบบ ทั้ง Illustrator,Photoshop, Sketchup ก็ทำได้
- การตลาดออนไลน์ ก็เคยทำมาหลายช่องทางมาก
ครับ รวมๆแล้ว ผมเป็นเป็ดโง่ตัวนึง แต่ใครอยากเห็นผลงานของผมก็ทักมาได้นะครับ จะเอาให้ดู
แต่คุณเชื่อมั้ย ตอนนี้ที่ผมพิมพ์อยู่ มันหาทางไปไม่ได้เลย ไม่รู้จะหาทางหาเงินจากไหนที่มันมีประสิทธิภาพเพียงพอ งานออกแบบ งานวีดีโอที่รักที่ชอบ ผลตอบแทนก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก มันเครียดจนอยู่ในภาวะซึมเศร้าแล้วครับ (ไปพบจิตแพทย์และนักบำบัดแล้ว)
ครับ ไม่รู้ว่าจะมีคนเข้ามาอ่านมั้ย แต่อย่างที่บอกครับ อย่างน้อยมันก็เป็นช่องทางที่ระบายอย่างนึง แต่ถ้ามีเพื่อนเข้ามาพูดคุยก็คงดีครับ ขอบคุณที่ให้พื้นที่ตรงนี้ได้บอกเล่าสิ่งที่อยู่ในใจนะครับ อาจจะเรียบเรียงไม่ดีเท่าไหร่นัก ก็ขออภัยด้วยครับ
ปล. มันรู้สึกเหมือนคำโบราณที่ว่า "ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด" ครับ ผมน้อมรับโดยดี
เกิดมา 34 ปี วันนี้เพิ่งเข้าใจคำว่า "ถึงทางตัน"
อย่างที่ชื่อกระทู้บอกครับ ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้สึกว่า ตัวผมเอง จะเดินมาสู่ทางตันได้มากขนาดนี้
ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เอาเป็นว่า ขอเอาความอัดอั้นที่อยู่ในตัว (ซึ่งมันรู้สึกว่าอยู่ทั้งในหัวใจ ท้อง กระเพาะ หัวสมอง) เรียกได้ว่าทั้งตัวเลยก็คงจะไม่ผิดนัก
ตอนนี้ ไม่รู้จะระบายออกไปทางไหน ไม่รู้จะพูดกับใคร ก็ขออนุญาตให้พื้นที่ตรงนี้ เป็นเพื่อนซักคนแล้วกัน
คุณเคยรู้สึกมั้ย ว่าคนเราเกิดมา มันมีความหมายอะไรบางอย่าง? เคยคิดมั้ยว่า เราเองเป็นคนที่เก่งคนนึง
เอาเรื่องง่ายๆ เพื่อยืนยันชีวิตผมที่ผ่านมา ผมเคยเป็นนักกีฬาโรงเรียน แข่งบาสกับโรงเรียนอื่น เคยอยู่ในวงโยฯของโรงเรียน สำหรับเด็ก มอ.ต้น มอ.ปลาย ผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องที่พิเศษอยู่ไม่น้อย การเรียนก็อยู่ห้องคิงมาตั้งแต่ ม.ปลาย เคยได้มีโอกาสสอบชิงทุน ได้ไปอเมริกามา 1 ปีเต็ม ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน โชคดีโดยไม่รู้ตัวที่ได้ไปอยู่แคลิฟอร์เนีย ได้ไปใช้ชีวิตที่เป็นอิสระ ที่เราได้เลือกเอง (คนที่เคยหลุดพ้นจากวังวนของการเรียนแบบธรรมดาในไทย ก็คงจะเข้าใจในจุดนี้) กลับมาไทย ก็เรียนซ้ำม.6 ตอนนั้นมีโครงการหนังสือพิมพ์ค่ายหนึ่ง ร่วมกับมหาวิทยาลัย ABAC มาเปิดสอบชิงทุน เราก็สอบ แล้วก็ติดเพียงคนเดียว ไปสัมภาษณ์แล้วด้วย เขารับแล้วด้วย พร้อมให้ทุนเต็ม! แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่ไป แล้วก็เลยเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ เราก็เริ่มรู้แล้วว่า การได้เป็นตัวของตัวเอง มันเป็นยังไง เลยตั้งปณิธานให้ตัวเองในรั้วมหาลัย ว่าอยากจะทำอะไรก็จงทำ แค่อย่าให้ใครเดือดร้อนก็พอ เราก็เลยทำมันทุกอย่าง เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ประกวดดาวเดือน แข่งกีฬา ปีหนึ่งเป็นประธานรุ่น ปีสองเป็นประธานชมรม(ชุมนุม) ปีสามเป็นนายกสโมฯ ปีสี่ไปฝึกงานกับโรงงานระดับประเทศแถวสมุทรปราการ กลับมาก็ทำวิจัยร่วมกับ SCGแถมได้ทุนวิจัยด้วย
ชีวิตช่วงกลาง เราไปสมัครงานเหมือนกับเด็กจบใหม่ทั่วไป ด้วยดีกรีด้านกิจกรรมที่แน่นแฟ้ม การเรียนที่เกียรตินิยมอันดับสอง พ่วงด้วยตัวพีคคือคะแนน TOEIC ที่ 910 คะแนน งานที่เราไปสมัครคือโรงงานSONY ที่อมตะนคร ตำแหน่ง Packaging Engineer ...คนสัมภาษณ์ถามผมมาคำนึง ซึ่งทุกวันนี้ยังจำได้ดีคือ "ผมรู้สึกคุณ Overqualified นะ ทำไมมาสมัครที่นี่หล่ะ" เราก็เห้ย พูดจริงดิ นี่มันโซนี่เลยนะเว้ย สุดท้ายเขาก็รับ แต่เราก็ปฎิเสธงานที่โซนี่ แล้วเลือกที่จะทำงานกับ SCG แทน (ใช่ครับ เครื่องซีเมนต์ไทย) แถมใกล้บ้านที่สงขลาด้วย ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นที่ 20000+ ซึ่งมันก็ถือว่ามากนะ สำหรับบริษัทต่างจังหวัด แต่เราก็ทำที่นั่นได้แค่ปีเดียว ด้วยเหตุผลทางบ้าน
แล้วจุดที่เริ่มต้นของความตันมันก็เริ่มขึ้นตรงนี้แหละ กลับมาอยู่ที่บ้าน เราก็เข้ามาช่วยดูงานโรงงานของที่บ้านครับ เป็นเกี่ยวกับยานยนต์ละกัน ซึ่งไม่ได้ใหญ่ ไม่ได้เล็ก พนักงานประมาณ 20-30 คน เราก็เริ่มเข้ามาทำแบบเต็มตัว ซึ่งจริงๆ ตั้งแต่เล็กจนโต เราก็ช่วงงานที่บ้านมาตลอดนะ แต่ในฐานะนายช่าง ไม่ใช่ในมุมของผู้บริหารเลย เราเลยทำเป็นหมดในงานช่าง แต่ที่ขาดคืองานด้านบริหารครับ ที่บ้าน ก็บริหารแบบจีนๆ แบบเบื้องต้นมากๆ ทำทั้งเดือน รู้แค่ยอดมันเขียวหรือแดง แค่นั้นจริงๆ ต้นทุนสินค้าเรายังไม่รู้เลยครับ ได้แค่คร่าวๆ บัญชีก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลยซักอย่าง ก็เลยตัดสินใจไปเรียนปริญญาโท ด้านบริหาร ภาคภาษาอังกฤษ(ซึ่งมองย้อนไป ผมว่ามันผิดนะ ในแง่ของการเรียนเพื่อ Connection ผมควรจะเรียนแบบภาคไทยปกติดีกว่า ได้เจอคนเยอะกว่ามาก ภาคอินเตอร์แบบผม มีคนเรียนแค่ 8 คน ToT) เรียนไปทำงานที่บ้านไป จนเพื่อนมาชวนทำ Youtube เราก็ทำ จนตอนนี้เริ่มมีคนซัพประมาณสองพันกว่าๆ เราก็เริ่มตกหลุมรักงานกล้อง งานวีดีโอ ก็ศึกษาจริงจัง จนได้งานออกมามากมาย เริ่มรับงานถ่ายสินค้าจนกระทั่งเปิดบริษัทรับทำแบรนด์ให้ลูกค้า รับลูกค้ารายกลางๆจนใหญ่ๆ และแล้ว ทุกอย่างมันก็เริ่มพังลงอย่างช้าๆตั้งแต่จุดนั้น
กิจการโรงงานของผม เริ่มมียอดขายที่ลดลงเรื่อยๆ ไปตามคู่แข่งที่เข้ามามากขึ้น (ที่บ้านทำมาสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่เคยทำการตลาดใดๆ) แล้วพอผมได้เข้ามาบริหารเต็มตัว ก็เริ่มกู้เงินเพื่อขยายโรงงาน มีเงินสำรอง OD พร้อมให้ใช้...ฟังเหมือนจะดี แต่เวลาที่ผ่านไปแต่ละปี ยอดบัญชีมันมีแต่สีแดงมาแทบจะทุกเดือน รายจ่ายที่มากกว่ารายรับ มันย่อมไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจ มันเกิดจากคำว่า "วินัยทางการเงิน" และ "ความด้อยประสบการณ์" ของตัวผมเอง ที่ทำให้กิจการมันตกต่ำลง เงินในบัญชีมันก็ลดลงเรื่อยๆ พอเริ่มจะหมด ก็กู้เพิ่ม เพิ่มวงเงิน เอาที่ดินไปจำนองเพิ่ม ทำให้เงินมันมีสำรอง แต่ที่เราไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ "วิธีการในการหาเงิน" แล้วคุณว่ามันจะไปรอดมั้ย...คำตอบก็มีอยู่ในใจ ขายแบบเดิม ปรับตัวช้า เพราะไม่รู้ว่าจะต้องขายยังไง อาศัยแต่บารมีเก่าของแบรนด์ที่พ่อแม่สร้างมา ทำให้ยังมีลูกค้าเข้ามาตลอด โดยที่ไม่ต้องไปทำการตลาดใดๆเลย จุดนี้หล่ะ ที่ทำให้ผมคิดไปเองว่าเรายังทำได้ ทั้งที่จริงๆไม่ใช่
และแล้วก็มาถึงยุคโควิด ที่ทุกคนล้วนต้องปรับตัว ไม่สิ ต้องเอาตัวรอด การหาเงินเริ่มยากขึ้นกว่าเดิมมาก เราก็เริ่มหันไปขายบนออนไลน์ จ้างพนักงานเพิ่ม เพื่อเข้ามาทำระบบ ทั้งทำ Website, Line OA, Shopee, Lazada, Facebook คือทำมันหมดทุกช่องทางเท่าที่เราจะดูแลได้ จนยอดขายก็เริ่มดีขึ้นครับ ในตอนที่ขายได้ ยอดออนไลน์มันโตขึ้นจนเกือบจะ 40% ของยอดทั้งหมดแล้ว และแล้ว...ระลอกสี่ของโควิดก็เข้ามา ในวันที่ประกาศล็อคดาวน์ช่วงต้นปี มันทำให้ยอดทุกอย่างมันหยุดชะงัก ออฟไลน์ลดฮวบ ออนไลน์เริ่มหาย แม้จะทุ่มงบไปเป็นหลักหมื่น มันก็ไม่เป็นผล วัตถุดิบ (โดยเฉพาะเหล็ก) ที่ราคาขึ้นมากว่า 200% ใช่ครับ มันหนักมาก งานถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ ทำคอนเทนต์ต่างๆ ก็ไม่มีเหลือ ทุกคนก็ดิ้นจนไม่มีอากาศหายใจ (ถ่ายภาพสินค้า รูปละ 50 บาทพร้อมรีทัช...แข่งกันตายนะ)
เมื่องานประจำมันไม่มีรายได้พอรายจ่ายแบบหนักขึ้นมากๆๆๆๆๆๆๆ งานที่รัก ก็ไม่ทำให้เกิดรายได้....มันเลยมองย้อนมาที่ตัวเองครับ...ว่าเรามันห่วยได้ขนาดนี้เลยเหรอ พยายามหางานที่เข้ามาชดเชย...ก็ไม่รู้จะทำแบบไหน ตอนนี้มันเครียดจนสมองสั่งไม่ให้เครียดแล้วครับ จากที่เคยเป็นคนชอบเรียนรู้ ก็เริ่มไม่อยากขยับไปไหนแล้ว
ผมเป็นคนที่มีความสนใจที่ค่อนข้างกว้างครับ เวลาจะเรียนรู้อะไรก็ไปค่อนข้างลึก ลองลิสต์ดูดีมั้ยครับ
- เล่นดนตรี ได้หลากหลายชิ้นมาก กลอง กีต้าร์ เบส เปียโน เชลโล่
- ชอบถ่ายวีดีโอ อุปกรณ์กล้องเยอะแยะ ที่ตอนนี้เอามาทำรายได้ไม่ได้ (อาจจะแปลว่า ไม่คุ้มกับเวลา)
- งานตัดต่อ ทำยูทูป tiktok ก็ทำได้หมด ถึงขั้น colorgrade สีได้
- การลงทุน ทั้งหุ้น ฟอเร๊กซ์ บิทคอยน์ ก็จัดมาหมด ถึงขั้นไปซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่าน
- งานออกแบบ ทั้ง Illustrator,Photoshop, Sketchup ก็ทำได้
- การตลาดออนไลน์ ก็เคยทำมาหลายช่องทางมาก
ครับ รวมๆแล้ว ผมเป็นเป็ดโง่ตัวนึง แต่ใครอยากเห็นผลงานของผมก็ทักมาได้นะครับ จะเอาให้ดู
แต่คุณเชื่อมั้ย ตอนนี้ที่ผมพิมพ์อยู่ มันหาทางไปไม่ได้เลย ไม่รู้จะหาทางหาเงินจากไหนที่มันมีประสิทธิภาพเพียงพอ งานออกแบบ งานวีดีโอที่รักที่ชอบ ผลตอบแทนก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก มันเครียดจนอยู่ในภาวะซึมเศร้าแล้วครับ (ไปพบจิตแพทย์และนักบำบัดแล้ว)
ครับ ไม่รู้ว่าจะมีคนเข้ามาอ่านมั้ย แต่อย่างที่บอกครับ อย่างน้อยมันก็เป็นช่องทางที่ระบายอย่างนึง แต่ถ้ามีเพื่อนเข้ามาพูดคุยก็คงดีครับ ขอบคุณที่ให้พื้นที่ตรงนี้ได้บอกเล่าสิ่งที่อยู่ในใจนะครับ อาจจะเรียบเรียงไม่ดีเท่าไหร่นัก ก็ขออภัยด้วยครับ
ปล. มันรู้สึกเหมือนคำโบราณที่ว่า "ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด" ครับ ผมน้อมรับโดยดี