บอกได้เลยว่ากระทู้อาจจะปลิวเอาได้ แต่ลงดูก่อนแล้วกัน เพื่อเปิดหูเปิดตาให้ใครได้ค่ะ
ตอนเราไปประชุมงานที่เมืองนึงข้างๆ ดูไบ แล้วทั้งกลุ่มที่ไปมีแค่เรากับผู้หญิงอีกคนเท่านั้น นอกนั้นชายหมด เธอเข้ามาแนะนำตัว เธอชื่อ Aisha
เราได้ยินแล้วรู้ตัวว่าเราอึ้งไป ก่อนจะยิ้มกลับให้นางค่ะ ชื่อเพราะดีนะคะ ที่ชะงักไป เพราะชื่อนี้ทำให้เรานึกถึงสาวอัฟกันที่อยู่บนปกนิตยสาร TIMES ค่ะ
ตอนเรียนมหาลัยมีวิชานึง ที่ทุกคนต้องสมัคร นิตยสารนี้เป็นเวลา 1 ปักษ์ ก็ไร่เรี่ยกับระยะเวลาหนึ่งเทอมการศึกษาพอดี แล้วก็อะไรไม่รู้จับพลัดจับผลูให้ช่วงกลางปักษ์ให้เจอกับเล่มนึง พอแกะซองพลาสติกออก ผู้หญิงบนปกนิตยสารไม่มีจมูกค่ะ มันรู้สึกเหมือนมีไอเย็นวาบผ่านเราไป และแน่นอนในบทความที่ยาวและเด่นที่สุดของเล่ม ก็เป็นสิ่งที่เราต้องอ่าน
เท่าที่จำได้ไม่ลืมเลยคือบทความนั้นเขียนอธิบายว่า ในประเทศนั้น ผู้หญิงจะถูกอบรมอย่างเข้มงวดมากค่ะ ความคาดหวังที่สูงมากคือให้ผู้หญิงวัยเด็กต้องเชื่อฟังครอบครัว คำนึงถึงหน้าตาครอบครัวตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ และทำนองเดียวกันเมื่อแต่งงานออกเรือนไป คนรอบข้างจะคาดหวังให้ผู้หญิงทุกคนต้องเรียบร้อยมากๆ การออกจากบ้านโดยไม่มีสามี ถือว่าผิดกฎหมายและเป็นเรื่องอับอายของทั้งสองฝั่งครอบครัว แต่ถึงกระนั้นแล้ว บางคู่หรือหลายคู่ความรักมันก็เต็มไปด้วยความผิดหวังและการใช้ความรุนแรงค่ะ ซึ่งตรงนี้ไม่ผิดกฎหมายใดๆ ในประเทศของเขา กลับมาที่กรณีของ Aisha ซึ่งก็รู้ตัวค่ะว่ามีผู้หญิงอีกหลายคนที่ต้องทนความเจ็บปวดแบบเธอไปทั้งชีวิต
พักฟังเพลงแปบนึงนะ เตรียมใจนะคะ..
ต่อค่ะ
เราไม่แน่ใจนะว่าหนีครั้งเดียวหรือสองครั้ง ที่แน่ๆ คือ เธอหนีเองคนเดียว แต่ทางบ้านของเธอได้รีบแจ้งความ ตำรวจตามจับเธอได้ และแน่นอนว่าการหนีเนี่ย เมื่อเป็นผู้หญิงจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงกลับไปก็จะโดนสังคมรังเกียจ โดยจะประนามหนักทั้งสองครอบครัว ให้ต้องอับอายจนไม่มีที่ยืนในสังคมได้
ผลคือเธอถูกพาไปขึ้นศาลของตาลีบัน เธอถูกพิพากษาโทษให้ตัดทั้งจมูกและปีกหูซ้ายของเธอค่ะ จากนั้นนำเธอไปทิ้งกลางป่าลึกบนภูเขา Oruzgan เธอเป็นลมสลบไป ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้ง นึกภาพนะคะ ผู้หญิงคนนึงที่แทบไม่เคยออกไปไหนไกลๆ เลย โดนตัดจมูกและหูแล้วเร่ร่อนอยู่ในป่าคนเดียว เดินไปเรื่อยๆ แบบหาทางไม่เจอ หาใครช่วยไม่เจอ แล้วถึงเจอใครก็ใช่ว่าคนจะช่วยง่ายๆ สุดท้ายมีชีวิตรอดจนได้คนช่วยค่ะ ปัจจุบันได้เป็นคนอเมริกันแล้วนะคะ ต้องใจสู้ขนาดไหนกันนะ คิดถึงกี่ที ลึกๆ ก็ปวดใจ แต่ต้องไม่ยอมแพ้นะคะ สู้ต่อไปค่ะ
ขอนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ใช่ทั้งประเทศอัฟกันจะไม่ดี ไม่ใช่ศาสนาไหนจะดีไม่ดีกว่ากันค่ะ มันเป็นปัญหาของเฉพาะคนหรือเฉพาะกลุ่มสังคมๆ นึงเท่านั้นค่ะ เราก็มีเพื่อนชาวอัฟกันที่เป็นคนดีค่ะ งดการวิจารณ์เสียๆ หายๆ นะคะ
บอกเลย..ดีใจมาตลอดที่ประเทศไทย ทุกศาสนาและเชื้อชาติอยู่ร่วมกันได้ และจงเป็นแบบนั้นไปตลอดเถอะนะ
http://edition.cnn.com/2010/WORLD/asiapcf/12/08/afghanistan.mutiliated.woman/index.html
อยากชวนมาทำความรู้จักคุณ Aisha Mohammadzai กันค่ะ (ขออายุ 20+)
ตอนเราไปประชุมงานที่เมืองนึงข้างๆ ดูไบ แล้วทั้งกลุ่มที่ไปมีแค่เรากับผู้หญิงอีกคนเท่านั้น นอกนั้นชายหมด เธอเข้ามาแนะนำตัว เธอชื่อ Aisha
เราได้ยินแล้วรู้ตัวว่าเราอึ้งไป ก่อนจะยิ้มกลับให้นางค่ะ ชื่อเพราะดีนะคะ ที่ชะงักไป เพราะชื่อนี้ทำให้เรานึกถึงสาวอัฟกันที่อยู่บนปกนิตยสาร TIMES ค่ะ
ตอนเรียนมหาลัยมีวิชานึง ที่ทุกคนต้องสมัคร นิตยสารนี้เป็นเวลา 1 ปักษ์ ก็ไร่เรี่ยกับระยะเวลาหนึ่งเทอมการศึกษาพอดี แล้วก็อะไรไม่รู้จับพลัดจับผลูให้ช่วงกลางปักษ์ให้เจอกับเล่มนึง พอแกะซองพลาสติกออก ผู้หญิงบนปกนิตยสารไม่มีจมูกค่ะ มันรู้สึกเหมือนมีไอเย็นวาบผ่านเราไป และแน่นอนในบทความที่ยาวและเด่นที่สุดของเล่ม ก็เป็นสิ่งที่เราต้องอ่าน
เท่าที่จำได้ไม่ลืมเลยคือบทความนั้นเขียนอธิบายว่า ในประเทศนั้น ผู้หญิงจะถูกอบรมอย่างเข้มงวดมากค่ะ ความคาดหวังที่สูงมากคือให้ผู้หญิงวัยเด็กต้องเชื่อฟังครอบครัว คำนึงถึงหน้าตาครอบครัวตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ และทำนองเดียวกันเมื่อแต่งงานออกเรือนไป คนรอบข้างจะคาดหวังให้ผู้หญิงทุกคนต้องเรียบร้อยมากๆ การออกจากบ้านโดยไม่มีสามี ถือว่าผิดกฎหมายและเป็นเรื่องอับอายของทั้งสองฝั่งครอบครัว แต่ถึงกระนั้นแล้ว บางคู่หรือหลายคู่ความรักมันก็เต็มไปด้วยความผิดหวังและการใช้ความรุนแรงค่ะ ซึ่งตรงนี้ไม่ผิดกฎหมายใดๆ ในประเทศของเขา กลับมาที่กรณีของ Aisha ซึ่งก็รู้ตัวค่ะว่ามีผู้หญิงอีกหลายคนที่ต้องทนความเจ็บปวดแบบเธอไปทั้งชีวิต
พักฟังเพลงแปบนึงนะ เตรียมใจนะคะ..
ต่อค่ะ
เราไม่แน่ใจนะว่าหนีครั้งเดียวหรือสองครั้ง ที่แน่ๆ คือ เธอหนีเองคนเดียว แต่ทางบ้านของเธอได้รีบแจ้งความ ตำรวจตามจับเธอได้ และแน่นอนว่าการหนีเนี่ย เมื่อเป็นผู้หญิงจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงกลับไปก็จะโดนสังคมรังเกียจ โดยจะประนามหนักทั้งสองครอบครัว ให้ต้องอับอายจนไม่มีที่ยืนในสังคมได้
ผลคือเธอถูกพาไปขึ้นศาลของตาลีบัน เธอถูกพิพากษาโทษให้ตัดทั้งจมูกและปีกหูซ้ายของเธอค่ะ จากนั้นนำเธอไปทิ้งกลางป่าลึกบนภูเขา Oruzgan เธอเป็นลมสลบไป ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้ง นึกภาพนะคะ ผู้หญิงคนนึงที่แทบไม่เคยออกไปไหนไกลๆ เลย โดนตัดจมูกและหูแล้วเร่ร่อนอยู่ในป่าคนเดียว เดินไปเรื่อยๆ แบบหาทางไม่เจอ หาใครช่วยไม่เจอ แล้วถึงเจอใครก็ใช่ว่าคนจะช่วยง่ายๆ สุดท้ายมีชีวิตรอดจนได้คนช่วยค่ะ ปัจจุบันได้เป็นคนอเมริกันแล้วนะคะ ต้องใจสู้ขนาดไหนกันนะ คิดถึงกี่ที ลึกๆ ก็ปวดใจ แต่ต้องไม่ยอมแพ้นะคะ สู้ต่อไปค่ะ
ขอนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ใช่ทั้งประเทศอัฟกันจะไม่ดี ไม่ใช่ศาสนาไหนจะดีไม่ดีกว่ากันค่ะ มันเป็นปัญหาของเฉพาะคนหรือเฉพาะกลุ่มสังคมๆ นึงเท่านั้นค่ะ เราก็มีเพื่อนชาวอัฟกันที่เป็นคนดีค่ะ งดการวิจารณ์เสียๆ หายๆ นะคะ
บอกเลย..ดีใจมาตลอดที่ประเทศไทย ทุกศาสนาและเชื้อชาติอยู่ร่วมกันได้ และจงเป็นแบบนั้นไปตลอดเถอะนะ
http://edition.cnn.com/2010/WORLD/asiapcf/12/08/afghanistan.mutiliated.woman/index.html