ริษยารักข้ามภพ บทที่ 19




ตอนเดิม



ตอนที่ 19

โรงยาฝิ่นของน้อยจอมแปงและหนานจันผา นายทหารใหญ่สมุนคู่ใจซ้ายขวาของแม่ทัพแสนเมืองนั้น เป็นโรงเรือนลักษณะทึม ๆ ด้วยแสงสว่างมีไม่มากนัก ภายในแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ค่อนข้างแคบ บรรจุคนได้ไม่เกินห้าคน ยกแคร่สูงแค่หัวเข่า บนแคร่ปูเสื่อผิวไผ่ มีหมอนรูปสามเหลี่ยมขนาดพอรองต้นคอวางไว้คู่กับบ้องสูบยาฝิ่น และตะเกียงน้ำมันมะพร้าวชนิดหลอดหนา 

อุปกรณ์ประกอบการสูบฝิ่นได้แก่ แผ่นใบลานเล็กขนาดปลายฝ่ามือสองสามชิ้น เหล็กแหลมเรียวยาวราวหนึ่งคืบ เรียกว่า ไม้ตะเกียะ ใช้เขี่ยคลึงขณะย่างลนฝิ่น หรือใช้เจาะเม็ดฝิ่น นอกจากนั้นก็มีกา ถาดถ้วยน้ำชากระเบื้องเล็ก ๆ อีกชุดหนึ่ง สิ่งของเครื่องใช้ในห้องสูบฝิ่นล้วนแต่เก่าโบราณ นักเลงยาฝิ่นถือกันว่ายิ่งเก่าเท่าไหร่ก็ยิ่งดูขลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเท่านั้น ฝาผนังห้องมีตะขอแขวนเสื้อกางเกง เนื่องจากขณะสูบฝิ่นต้องถอดเสื้อกางเกงออกจนเหลือแต่กางเกงใน หรือเสื้อกล้ามตัวเดียว

คนจำพวกที่เข้ามาสูบฝิ่นล้วนเป็นนักเลงหัวไม้หรือไม่ก็พวกทรชน บางทีก็เป็นพวกหาข่าว เพราะในห้องสูบฝิ่นนี้เป็นแหล่งข่าวชั้นดี ใครวางแผนจะไปจี้ปล้นที่ไหน หรือจะไปฆ่าใคร ส่วนใหญ่ได้มาจากแหล่งข่าวในโรงยาฝิ่น แต่ถ้าเข้ามาเพื่อสูบฝิ่นโดยเฉพาะ ในนี้จะมีขี้ยาประจำโรงยาฝิ่นคอยบริการ เจ้าสิ่งเสพติดชนิดนี้เป็นของถูกกฎหมายบ้านเมืองในขณะนั้น 

บรรยากาศข้างในนี้เงียบสงบ คนสูบฝิ่นมักมีบุคลิกสุขุมเยือกเย็น พูดคุยกันแผ่วเบา ความคิดความอ่านล้วนเป็นแผนการชนิดเซียนเหยียบเมฆ ความลับมักถูกเปิดเผยกันที่นี่ ตรงหน้าบ้องฝิ่น

โอรสองค์รองของเจ้าฟ้าก็มาเป็นขาประจำของโรงยาฝิ่น ตอนแรกเกิดจากการชักชวนของน้อยจอมแปง นายทหารหุ้นส่วนของโรงฝิ่นก่อน ที่พูดจาหว่านล้อมจนเจ้าชายผู้อ่อนไหวหลงเชื่อ ทดลองสูบฝิ่นดู ต่อมาจึงติดทั้งรสยาฝิ่นและบรรยากาศของโรงฝิ่น เพราะข้างในนี้นอกจากมีเทพีสีดำให้ความสำราญกับตนแล้ว ยังมีสหายรสนิยมเดียวกัน ซึ่งเข้าอกเข้าใจกันดีหลายต่อหลายคน คนพวกนี้ปากหวาน มักพูดยกยอปอปั้นให้พระองค์รู้สึกมีความสำคัญ ไม่เหมือนอยู่ในหอหลวงที่มีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม ในที่พำนักอันใหญ่โตมโหฬารที่เรียกว่าหอหลวงนั้น ตนตกเป็นรองเสมอ ทั้งพี่นางคำหยาดฟ้าหรือเจ้าชายมหาคำคืน และสู้ไม่ได้แม้แต่เจ้าชายฟ้าคุ้มผู้เป็นน้องชายของตนเอง โรงยาฝิ่นนี้จึงเป็นสวรรค์สำหรับองค์ชายผู้ถูกตราหน้าว่าไม่เอาไหน ซึ่งในขณะนี้กำลังทอดกายลงนอนตะแคงดูดควันฝิ่น เคลิบเคลิ้มไปกับฤทธิ์ของอัลคาลอยด์

ขณะกำลังเกษมสำราญจนเกือบจะงีบหลับไปด้วยฤทธิ์มึนเมาของฝิ่น พลันแว่วได้ยินเสียงคุยกันของชายสองคนที่นอนดูดฝิ่นอยู่ถัดไป ดังขึ้นเบา ๆ

“เจ้าบริกรคนใหม่นี่เป็นคนพม่า” ชายคนหนึ่งเล่าให้เพื่อนขี้ยาฟัง

“เห็นว่าท่านน้อยจอมแปงไปได้ตัวมาจากแถวยะไข่”

“ถึงว่า ท่าทางมันเก้งก้างไม่ค่อยเป็นงาน”

“เคยลองคุยกับมันดู มันบอกว่าชื่อ มิน มิน เป็นพวกนักเลงหัวไม้ ถนัดทางปืนผาหน้าไม้ไม่ใช่นักเลงฝิ่นจริง ดูเหมือนน้อยจอมแปงจะเอามาใช้งานทางคุมโรงยาฝิ่นด้วย”

“จะหาคนมาเพิ่มทำไม ได้ยินมาว่าเจ้าฟ้าจะให้เลิกทำโรงยาฝิ่นอยู่แล้ว นี่ถ้าเลิกจริงเอ็งกับข้าเป็นได้เดือดร้อนแน่ ๆ จะไปหานอนสูบฝิ่นได้ที่ไหนอีก”

“ใจเย็น ๆ เราสองคนเดือนร้อนคงไม่เท่าน้อยจอมแปงหรอก งานนี้น้อยท่านคงไม่ยอมง่าย ๆ แต่ข้าว่าทำไม่ได้แน่ เอ็งคิดดูสิ ขนาดเจ้าชายยังมานอนดูดฝิ่นอยู่นี่เลย แล้วจะเลิกโรงยาฝิ่นได้อย่างไร”

ร่างซูบผอมที่นอนตะแคงหันหลังให้ ไร้ปฏิกิริยาใด ๆ ต่อเสียงนินทาถึงตน เพียงนอนฟังอยู่เงียบ ๆ เรื่องทำนองนี้ได้ยินจนชินชาไปเสียแล้ว...ช่างหัวมันประไร ชีวิตคนเราก็เท่านี้ อยู่ด้วยกันไม่กี่ปีก็ต้องตายจากกันแล้ว ไม่เลือกเป็นผู้ดีหรือไพร่ ไม่เว้นใครสักคน แต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ขอให้ได้มีความสุขไปวัน ๆ แม้มันจะเป็นความสุขเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ตามที

วันนี้เป็นอีกวันที่โอรสขี้ยามานอนดูดฝิ่นกับสมัครพรรคพวกยังโรงยาฝิ่นเป็นกิจวัตร แต่ผิดสังเกตว่าหลายวันมานี้ ข้างนอกโรงฝิ่นซึ่งเคยเงียบสงบ กลับเป็นสถานที่นัดพบของบุรุษสามถึงสี่คน หนึ่งในนั้นคือน้อยจอมแปงเจ้าของโรงยาฝิ่นเอง ลักษณะของคนเหล่านี้ดูมีท่าทีเคร่งเครียดแปลก ๆ วันนี้ก็มาจับกลุ่มคล้ายกำลังสุมหัวประชุมความลับอะไรกันอยู่ สักพักจึงแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ทันสังเกตว่าที่ข้างประตูโรงยาฝิ่น เจ้าชายโหลงขนานได้ย่องมาแอบฟังอยู่

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่