เราเป็นลูกที่บาปไหมคะ

สวัสดีค่ะ อาจจะยาวหน่อยนะคะ วันนี้แค่อยากจะมาระบายอะไรออกนิดหน่อย หลังจากรับเรื่องหนักๆ มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้วเกี่ยวกับผู้หญิงคนที่เรารักมากที่สุดค่ะ

เมื่อประมาณปลายเดือนพฤศจิกา หมอตรวจพบก้อนเนื้อที่กระดูกสันหลังของคุณแม่ มันคือมะเร็งที่ลามไปจากมดลูกแล้ว ก้อนเนื้อก้อนนั้นทำให้แม่ปวดขาเดินไม่ค่อยไหว ในตอนแรกหมอคิดว่าจะผ่าตัดออกให้ แต่รู้สึกต้นตอของมันตรงมดลูกใหญ่กว่า คือมันกินไปทั้งมดลูกและลำไส้บางส่วน ร่างกายแม่ก็ไม่แข็งแรง ทางหมอเลยเลือกตกลงกันว่าจะรักษาที่มดลูกก่อน เพราะก้อนนี้มันใหญ่กว่า 17cm. ใช่ค่ะ หมอผ่าตัดมดลูกออกไปและทำการเปิดทวารหน้าท้องให้แม่

หลังจากนั้น ก็คุยกันว่าจะทำยังไงกับก้อนเนื้อที่สันหลังดี สุดท้าย แม่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่คีโม ไม่ฉายแสง ไม่ผ่าตัด แล้วเข้ารับการรักษาแบบประคับประคอง เพราะหลังจากผ่าตัดตรงท้องไป คุณแม่ก็ไม่ค่อยมีแรง เดินไม่ไหว

คุณแม่เริ่มใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียงมากขึ้น ขาที่เคยเดินได้ด้วยการเอาไม้ประคองก็หมดแรง และกลายเป็นอ่อนแรงขยับไม่ได้ไปในที่สุด
ผ่านมาประมาณ 4 เดือน จากต้นปีจนถึงเมษา อยู่ๆ วันนึงคุณแม่ทรุดไข้ขึ้น ทางบ้านรีบเรียกรถพยาบาลมารับ สรุปใจความได้ว่า ปอดอักเสบ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ รมยาทางจมูกและให้ยาฆ่าเชื้อ แต่ดีนะคะ แกสู้ ใส่ท่อได้สองวันก็ถอดออกและอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงที่อยู่โรงพยาบาล เราได้รับสมุดเล่มนึงมา เป็นสมุดที่ติดตามการรักษาแบบประคับประคอง เปิดมาหน้าแรก เจอให้กรอกชื่อกับเบอร์คนดูแลคร่าวๆ แต่ว่าบรรทัดหลังจากนั้นคือการถามความยินยอมว่า ถ้าต้องใส่ท่อ จะใส่อีกมั้ย ถ้าต้องปั๊มหัวใจ จะให้ปั๊มมั้ย ถ้าต้องเจาะคอ ถ้าต้องให้อาหารทางสายยาง ล้างไตเมื่อไตวาย จะใช้เครื่องพยุงชีพรึเปล่า

เรานิ่งไปพักนึงเลย สุดท้ายก็ถามแม่ไปตรงๆ ตามข้อข้างบนค่ะว่ายอมมั้ย
แม่บอกว่า ไม่… ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ปั๊มหัวใจ ไม่ใส่ท่อ ไม่ล้างไต ไม่เจาะคอ ไม่ใช่เครื่องพยุงชีพ
แกบอกว่าปล่อยให้แกไป และไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ไม่เอาโรงพยาบาล เสียก็เสียที่บ้าน

ตอนนั้นทำได้แต่ติ๊กเครื่องหมายถูกตามที่แกบอกค่ะ 
พอได้ออกจากโรงพยาบาล แม่ก็กลายเป็นคนติดเตียงไปแล้ว 100% ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ยังดีที่นอนตักข้าวทานเองได้ ไม่ยอมให้ป้อนค่ะ อยากจะทำเองบ้าง เวลาแกปวดหนักๆ ก็ให้กินยามอร์ฟีนเม็ดเหลือง สองชั่วโมงจะซ้ำได้เม็ดนึง ได้แผ่นยาแก้ปวดเล็กๆ มาแปะ คอยเปลี่ยนทุกสามวัน ในเดือนพฤษภาคมไม่ค่อยได้กินค่ะ มาเริ่มกินวันละเม็ดติดกันเดือนมิถุนา และเข้าเดือนกรกฎาคม ก็วันละสามถึงสี่เม็ด

และนอนติดเตียง เราก็ไปพลิกตัวให้บ้าง แต่จับตัวมากไม่ได้เพราะจะร้องปวดหรือไม่ก็จะหน้ามืด ทีนี้ แกกลายเป็นมีแผลกดทับสองที่ใหญ่ๆ ตรงทางด้านหลังและสะโพกจากนอนตะแคง แม่นอนตะแคงซ้ายไม่ได้ค่ะ เพราะเวียนหัวหน้ามืด

จนเมื่อสัปดาห์ก่อน มีหมอที่อนามัยมาตัดชิ้นเนื้อตายออก และพยาบาลอนามัยก็มาทำแผลให้แม่ทุกวัน
และเมื่อสองวันที่ผ่านมา คุณแม่ไข้ขึ้น หมอตีความว่าน่าจะติดเชื้อจากแผลและเข้ากระแสเลือด หมอถามว่าจะไปโรงพยาบาลมั้ย แม่เสียงแข็งเลยว่า ไม่ไป ไม่ต้องคิดจะพาไปเลยนะ

มาวันนี้ 31 กรกฎา ช่วงเช้าหนักสุดค่ะ คุยไม่รู้เรื่องแล้ว เรียกแต่ลูกจ๋าาาลูก น้อง(ชื่อเรา)มาหาแม่หน่อย เรียกเพ้อๆ ซ้ำๆ เราก็โทรหาพี่พยาบาลที่มาทำแผลให้แม่ เขามาดูอาการและโทรคุยกับหมอ วัดความดัน ความดันต่ำค่ะ รู้สึกเลขแรกลงไปในช่วง 60 เขาก็มาถามเราว่าจะให้แม่ไปโรงพยาบาลมั้ย เราก็ส่ายหน้าเพราะแม่บอกว่าจะไม่ไป ตอนนี้ได้แต่กินพาราบวกกับมอร์ฟีนดูอาการไป พี่พยาบาลก็บอกในเชิงให้ทำใจไว้รอ

เรื่องทำใจ เราเริ่มคิดมาทุกวันตั้งแต่ตรวจเจอว่าแม่เป็นมะเร็งเมื่อปลายปีก่อนค่ะ จนหลังๆ ที่ต้องลาออกจากงานมาอยู่กับแกสามสี่เดือนติด ก็ทำใจไปทุกวัน เห็นแกร้องปวด เห็นแกร้องไห้ จากคนเคยทำอะไรได้กลายเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เห็นแกบ่นว่าไม่อยากทรมานทำไมแกต้องมาทรมาน เห็นหมดทุกอย่างค่ะ ให้จายๆ ไปเลยดีกว่าในทำนองนั้น

เราก็คุยกับเพื่อนที่เป็นพยาบาลเรื่องอาการแม่เป็นระยะ ในครั้งล่าสุดนี้เพื่อนก็บอกว่าทำใจ ทุกคนบอกให้ทำใจ เหมือนเวลาบีบเข้ามาอีกแล้ว
และในใจเราก็ตีกัน เราอยากให้แม่อยู่กับเราต่อไปนานๆ แต่… ไม่อยากให้แกอยู่แบบทรมาน ถ้าแกทรมาน อีกใจของเราคืออยากปล่อยให้แกไป เราเห็นว่าแกทรมานยังไงมาตลอดสามสี่เดือน เห็นแกร้องว่าเจ็บว่าปวด เห็นแผลของแก เห็นแกบ่นว่าไม่เอาแล้วแบบนี้ ค่ะ มันตีกันทุกครั้ง

มันย้ำเสมอว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ เราที่เป็นลูกคนเดียวคือคนที่สามารถจะบอกหมอว่า ต้องปั๊มหัวใจแกมั้ย จะใส่ท่อช่วยหายใจให้แกมั้ย
อยากยื้อ แต่ถ้ายื้อต่อก็มีแต่จะทำให้แม่เจ็บมากขึ้น ครั้งล่าสุดนี้ที่หมอถามว่าไปโรงพยาบาลมั้ย เราเลือกให้แกอยู่บ้าน พวกพี่หมอพยาบาลก็บอกเราว่าอือ แกอาจจะได้ไปแบบหลับแล้วไปเลย อาจจะได้ไปช้าๆ หรืออาจจะไปแบบพยายามหายใจเฮือกๆ ในช่วงสุดท้าย

โคตรยากเลยค่ะ ไม่คิดว่าเกิดมายังต้องมาคอยกำชีวิตของคนที่รักไว้ ทั้งชีวิตเรา เรารักเค้ามากที่สุดเลยค่ะ
มีแต่คำว่าทำถูกแล้วใช่ไหมกับการเลือกปล่อยเขาไป

หรือถ้าให้ยื้อ จะทรมานเขาต่อไปใช่ไหม จะทรมานเขารึเปล่า ร่างกายเขาไม่ไหวแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่