ก่อนอื่นขออนุญาตอธิบายความหมายเบื้องต้นของศัพท์ทั้ง 2 อย่าง เผื่อต่างศาสนิกได้เข้ามาอ่าน
อัลกุรอาน คือ วจนะของพระเจ้าทั้งหมดทุกพยัญชนะและตัวอักษร จะไม่มีความคิดเห็นและการอรรถาธิบายของท่านนบีหรือสาวกหรือผู้ใดเลยเข้ามามีบทบาทในอัลกุรอาน หากมีการอธิบายอัลกุรอานต้องเป็นการบันทึกแยกย่อยไปจะไม่รวมกับอัลกุรอาน
อัลหะดีษ คือ ซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัด ทั้งการพูด การกระทำ หรือการยอมรับ ซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมทั้งโลกให้ความสำคัญ และหะดีษมีระบบการรายงานย้อนหลังเป็นยังท่านนบีโดยไม่ใช่แค่เล่าๆ
หากเราปฏิเสธอัลกุรอานแน่แท้เขาไม่ใช่มุสลิม และ หากเขาปฏิเสธหะดีษที่ถูกต้อง หลักฐานชัดเจนเขาก็ไม่ใช่มุสลิมและจะพบว่าผู้ที่ปฏิเสธหะดีษนั้นไม่ได้ปฏิเสธซะทีเดียว แต่เขาปฏิเสธสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของเขาต่างหาก ซึ่งเป็นเรื่องปัจเจคบุคคลทั้งสิ้น เช่น ปฏิเสธปาฏิหาริย์ที่เกิดกับท่านนบีที่ได้รายงานผ่านหะดีษ แต่ไม่ปฏิเสธปาฏิหาริย์ที่เกิดกับท่านนบีคนก่อนๆที่มีบันทึกไว้ในอัลกุรอาน ซึ่งถ้ามองตามหลักเหตุผล ทั้ง 2 เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เหนือสติปัญญาของผู้คนทั้งสิ้น หากยอมรับปาฏิหาริย์หนึ่งได้ ไฉนถึงไม่ยอมรับอีกปาฏิหาริย์ ? นี่คือความย้อนแย้งในข้อที่ (1)
(2) ผู้ปฏิเสธอัลหะดีษมักจะสับสนในตัวเอง เช่น เขารู้วิธีละหมาดเพราะการเห็นบรรพบุรุษละหมาด แต่เขาก็ยืนยันที่จะปฏิเสธหะดีษ ทั้งๆที่การละหมาดนั้นถูกส่งต่อมายังปัจจุบันได้ด้วยกับการเห็นของสาวกและรายงานมาให้เราได้รับรู้ ผู้ที่ปฏิเสธหะดีษจึงขาดความสมเหตุสมผล และนี่คือข้อที่(2)
ผู้ปฏิเสธหะดีษมักจะต่อต้านเรื่องราวที่มีบันทึกชัดเจนและสายรายงานถูกต้องของหะดีษแต่ก็มีบางครั้งที่เขานั้นเกิดอาการเก็บทรงไม่อยู่ คือ การเอาหะดีษมาลบล้างหะดีษซะเอง เรียกว่าโหนก็คงใช่ และนี่คือข้อที่ (3)
จะเห็นได้ว่าไม่มีใครที่อ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิมปฏิเสธหะดีษได้ 100% มีแต่เลือกปฏิเสธหะดีษที่เขาไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับ แต่ก็ยังปฏิบัติตามหะดีษอื่นๆ
ป.ล.จะทยอยเพิ่มข้อมูลลงใน คห. (อินชาอัลลอฮฺ)
ทำไมมุสลิมต้องยึดทั้งอัลกุรอานและอัลหะดีษ จะทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
อัลกุรอาน คือ วจนะของพระเจ้าทั้งหมดทุกพยัญชนะและตัวอักษร จะไม่มีความคิดเห็นและการอรรถาธิบายของท่านนบีหรือสาวกหรือผู้ใดเลยเข้ามามีบทบาทในอัลกุรอาน หากมีการอธิบายอัลกุรอานต้องเป็นการบันทึกแยกย่อยไปจะไม่รวมกับอัลกุรอาน
อัลหะดีษ คือ ซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัด ทั้งการพูด การกระทำ หรือการยอมรับ ซึ่งเป็นสิ่งที่มุสลิมทั้งโลกให้ความสำคัญ และหะดีษมีระบบการรายงานย้อนหลังเป็นยังท่านนบีโดยไม่ใช่แค่เล่าๆ
หากเราปฏิเสธอัลกุรอานแน่แท้เขาไม่ใช่มุสลิม และ หากเขาปฏิเสธหะดีษที่ถูกต้อง หลักฐานชัดเจนเขาก็ไม่ใช่มุสลิมและจะพบว่าผู้ที่ปฏิเสธหะดีษนั้นไม่ได้ปฏิเสธซะทีเดียว แต่เขาปฏิเสธสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของเขาต่างหาก ซึ่งเป็นเรื่องปัจเจคบุคคลทั้งสิ้น เช่น ปฏิเสธปาฏิหาริย์ที่เกิดกับท่านนบีที่ได้รายงานผ่านหะดีษ แต่ไม่ปฏิเสธปาฏิหาริย์ที่เกิดกับท่านนบีคนก่อนๆที่มีบันทึกไว้ในอัลกุรอาน ซึ่งถ้ามองตามหลักเหตุผล ทั้ง 2 เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เหนือสติปัญญาของผู้คนทั้งสิ้น หากยอมรับปาฏิหาริย์หนึ่งได้ ไฉนถึงไม่ยอมรับอีกปาฏิหาริย์ ? นี่คือความย้อนแย้งในข้อที่ (1)
(2) ผู้ปฏิเสธอัลหะดีษมักจะสับสนในตัวเอง เช่น เขารู้วิธีละหมาดเพราะการเห็นบรรพบุรุษละหมาด แต่เขาก็ยืนยันที่จะปฏิเสธหะดีษ ทั้งๆที่การละหมาดนั้นถูกส่งต่อมายังปัจจุบันได้ด้วยกับการเห็นของสาวกและรายงานมาให้เราได้รับรู้ ผู้ที่ปฏิเสธหะดีษจึงขาดความสมเหตุสมผล และนี่คือข้อที่(2)
ผู้ปฏิเสธหะดีษมักจะต่อต้านเรื่องราวที่มีบันทึกชัดเจนและสายรายงานถูกต้องของหะดีษแต่ก็มีบางครั้งที่เขานั้นเกิดอาการเก็บทรงไม่อยู่ คือ การเอาหะดีษมาลบล้างหะดีษซะเอง เรียกว่าโหนก็คงใช่ และนี่คือข้อที่ (3)
จะเห็นได้ว่าไม่มีใครที่อ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิมปฏิเสธหะดีษได้ 100% มีแต่เลือกปฏิเสธหะดีษที่เขาไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับ แต่ก็ยังปฏิบัติตามหะดีษอื่นๆ
ป.ล.จะทยอยเพิ่มข้อมูลลงใน คห. (อินชาอัลลอฮฺ)