ขอบคุณ(อีกครั้ง)

สวัสดีครับ
ก่อนหน้านี้  ผมเคยเล่าถึง
เรื่องราวของตาเซ่อ  เฉิ่ม  เชยคนหนึ่งว่า เขาเคยถูก
ปล่อยให้เดินกลับบ้านเอง
ด้วยระยะทาง5กิโลเมตร
ตอน02.00นของเช้าวันเสาร์

ตอนนี้ผมจะมาเล่าถึงความ
โชคร้ายของการย่ำต๊อก5กิโล(อีกครั้งนึง)ของเขาตามผมไปดูเขากันดีกว่าครับ




      หลังจากถูกลอยแพใน
ครั้งนั้นแล้ว  ผมก็เปลี่ยน
สารถีใหม่  จากน้องเป็นพี่
(ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปเมา
หลับอยู่บ้านใครอีก)  เพราะ
พี่ชายจะเป๊ะเรื่องเวลามาก
เหตุการณ์ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร  จนเช้าวันหนึ่ง

จู่ๆก็มีข่าวลือเรื่อง"เสือ"
เกิดขึ้น  เริ่มจากเพื่อนบ้าน
เข้าไร่แล้วไปเจอรอยเท้า
ของสัตว์ขนาดใหญ่
ว่ากันว่า ใหญ่เท่าชาม
ก๋วยเตี๋ยวเลยครับ

รอยนั้นค่อนข้างชัด เพราะ
เหยียบบนดินที่ฝนตกใหม่ๆ
และเมื่อผ่านเข้าไปในไร่มัน
สำปะหลัง ยังมีร่องรอยของ
การหักโค่นเสียหายให้เห็น
ด้วย  หลังจากนั้นก็มีการ
แจ้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งท่าน
ก็ลงความเห็นว่า
น่าจะเป็นเสือดำเพศเมีย
*หมายเหตุ ที่สันนิษฐานอย่างนั้น เพราะ
1. เจ้าหน้าที่
รุ่นเก่าๆเคยเล่าถึงการเยือน
ถิ่นของเสือดำบริเวณนี้
2.ที่คิดว่าเป็นเพศเมีย เพราะจากรอย น่าจะโตเต็ม
วัยแล้ว แต่ท้องยังละต้นมัน
หักเป็นทางแสดงว่าไม่สูง
มาก  จึงไม่น่าจะไช่เพศผู้


ตอนพี่ชายเล่าให้ฟังผมก็
เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เพราะอย่างแรกบ้านผม
อยู่ไกลเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ชนิดคนละอำเภอ
ถึงจะมีเขตติดต่อกันแต่ก็ไกลหลายสิบกิโลเมตร

แต่ขนาดนั้น  ผมก็ยอมรับ
ว่ากลัว  กลัวมากกก
โธ่...ก็เสือนะครับไม่ไช่น้อง
มิ้วน้อย จะได้น่ารักน่าเอ็นดู

หลังจากนั้น2-3วัน
ก็ถึงเสาร์-อาทิตย์  ผมหยุดอยู่บ้าน  จึงได้เข้าใจและ
ยอมรับว่า  ณ.ตอนนี้ อาณา
บริเวณบ้านผม  น่าจะมีเสือ
จริงๆอย่างเขาว่า

เพราะบรรยากาศโดยรอบ
เงียบสนิท   ไก่ไม่ขัน  หมาไม่เห่า  นกไม่ร้อง (ปกตินก
แต้แว้ดปากจะเปราะมาก
เธอจะร้องทั้งวัน) แม้แต่ลม
ยังนิ่ง ใบไม้แทบไม่กระดิก


เล่นเอาผมขวัญผวาไปเหมือนกัน  
ช่วงนั้นเจ้าหน้าที่จะเข้าพื้น
ที่ทุกวัน(เขากลัวชาวบ้าน
ทำร้ายน้องเสือแสนงามของเขา)

แต่พอผ่านอาทิตย์นั้นไป
โดยไม่มีใครเจอเสือ และ
ร่องรอยเพิ่มเติมไม่มี
เจ้าหน้าที่ก็ถอนกำลังไป
สถานะการณ์ก็เข้าสู่ภาวะ
ปกติ  


ในตอนนั้นผมซึ่งต้องออกจากบ้านตอนตี5และกลับบ้านตอน4ทุ่ม  ก็พอจะเบาใจลงได้บ้างว่า  คงจะไม่มีอะไรแล้วละ(มั้ง)

แต่หลังจากนั้นไม่นานเลยครับ  ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้ง

ลงจากรถรับส่งตอนสี่ทุ่ม
แล้วพบแต่ความว่างเปล่า
ของถนนสายรัก เพ่งมอง
จนปวดตาก็มีแต่ความมืด

กดโทรศัพท์จนตัดสายเป็นรอบที่ยี่สิบก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก  ผมก็รู้ทันทีว่า
ความซวยมาเยือนอีกครั้งแล้ว😫

คราวก่อนข้างแรมต้นๆ
คราวนี้ข้างแรมแก่งั่ก
มืดก็มืด  ทางก็ไกล  เสือก็
กลัว(จำได้ว่าตอนนั้น
แทบจะร้องไห้(แค้นคนมารับ) จากอากาศหนาวๆ พอรู้ว่าต้องเดินเท่านั้นแหละ ร้อนเหงื่อหยด
ทันทีทันควันเลยครับ)


ความรู้สึกตอนนั้น  ผมว่า
อันดับแรกคงต้องฆ่าไอ้คน
มารับก่อนเลย(ไม่งั้นไม่หายแค้น)

ผมเดินหันซ้ายหันขวามาจน
ถึงกิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึง
ทางแยกเข้าบ้านผม
ตรงนั้นมีศาลหลวงเตี่ยอยู่
เป็นที่พึ่งทางใจของคนในหมู่บ้านทุกคน

ผมก็ยกมือไหว้  แล้วก็ขอให้ท่านไปส่ง   ถึงตอนนี้เลิกหวังว่าจะเจอคนมารับกลางทางแล้วครับ

พอพ้นศาลไปจะเป็นถนนเข้าซอยเล็ก(แยกจากถนน
สายหลัก และเป็นลูกรัง
ช่วงนี้สองข้างทางจะมืดครึ้มไปด้วยต้นยางพารา
(เป็นยุคแรกๆของการปลูกยางในแถบหมู่บ้านของผม
เลยครับ)

เพราะความสูงของป่ายาง
บวกกับเป็นคืนเดือนมืด
ทำให้รอบตัวผมดูทะมึนเข้าไปอีก  ผมก็เดินไปกลัวไป  ใจก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ไป  ถึงตอนนี้ผีไม่อยู่ในความคิดผมสักนิดเลยพับผ่าสิ

พยายามบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า  หลุดจากช่วงนี้ไป บ้านก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว

แต่แล้วท่ามกลางความเงียบ  ผมก็ได้ยินเสียงวิ่ง
แบบควบจี๋ของอะไรชนิด
หนึ่งทางด้านหลัง

คงเพราะจิตใจเกาะติดอยู่กับความกลัวมาเป็นเวลานานด้วยมั้ง  ที่ทำให้ผมมี
อาการช็อคเล็กๆในตอนนั้น
ความกลัวมันถึงขีดสุด
ปากอ้าไม่ขึ้น  ขาก็ก้าวไม่ออก ตัวร้อนฉ่าตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้า
ผมทำได้แค่นั่งลงไปกับพื้น
ถนน  แล้วหลับตา  

ใครเคยบอกนะว่าพอกลัว
ถึงขีดสุด  คนเราจะมีลูกบ้า
เที่ยวล่าสุดโผล่ขึ้นมา
ไม่จริงหรอกครับ
สำหรับผมกลัวไงก็กลัวอยู่
งั้นแหละ  มันยิ่งกว่าใจไปอยู่ตาตุ่มอีก  ผมว่าผมหมด
สติไปวูบนึงด้วยมั้ง

ความคิดในด้านร้ายว่าคง
ต้องตายเพราะเสือ
ถูกแทนที่ด้วยความจริงที่ว่าสิ่งที่มาหยุดตรงหน้าผมขณะนี้คือ......

หมาตัวใหญ่   สูงเกือบๆเอวผม  มาหยุดอยู่ห่างจากผมสัก5-6เมตรได้และที่น่าแปลก  ผมแน่ใจว่าไม่เคยรู้
จักหรือเห็นหมาตัวนี้มาก่อน
แต่เธอกลับส่งเสียงงี้ดง้าด
และกระดิกหางใส่ผม

*หมายเหตุ  เท่าที่ผมเคยเลี้ยงหมามา  การทำเสียง
แบบนี้ของเธอจะมีอยู่2นัยยะ  ถ้าไม่ไช่เจ้าของ
เธอก็ต้องรักคนๆนั้นเป็นพิเศษ  *

แต่จะด้วยเหตุอะไรก็ตาม
เธอทำให้ผม  รู้สึกถึงความ
โล่ง  ความหลุดพ้นจากภาวะตึงเครียดเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยก็ว่าได้


แล้ว1คน1ตัวก็เดินคลอเคลียมาด้วยกันจนถึง
บ้าน


น้องพาผมมาส่งจนเหลือ
ประมาณ20เมตรสุดท้าย
เธอก็หยุด  ผมพยายามเรียกน้องให้เข้าบ้าน(กะจะหาอะไรให้กินก่อนเพื่อตอบ
แทน) แต่ทำอย่างไรน้องก็
ไม่มา  ส่ายหางยืนนิ่งอยู่
อย่างนั้น(น้องเป็นหมาเขียว
และไม่มีกลิ่นตัวเลย)

จากอากัปกิริยาของน้องทำ
ให้ผมเข้าใจเองว่า  น้องคง
แค่มาส่งผม  ผมก็เลยกอดแกแล้วก็บอกขอบใจ
ตัวแกใหญ่เต็มอ้อมแขนผม
เลยครับ  ร่ำลากันเสร็จผม
ก็เข้าบ้านแกก็กลับไปทางเดิม

พอหายกลัวผมก็เลยหายโม
โห รีบอาบน้ำแล้วก็เข้านอน
ตี3คืนนั้น  พี่ชายก็วิ่งพรวดพราดเข้าไปในห้อง
ผมเล่นเอาผมพลอยตกใจ
ไปด้วย(คิดว่าไฟไหม้)



ตอนเช้าพี่ชายก็มาขอโทษผม ที่ปล่อยให้กลับเองเพราะแกปวดหัวและเป็นหวัด  เลยกินยาพารากับ
ลดน้ำมูกเข้าไป(ทีนี้เลยหลับเป็นตาย  พอตื่นก็พรวดพราดเข้าห้องผมไปนั่นแหละ)


และพอแกรู้ว่าผมมีน้องหมา
มาส่งที่บ้าน
แกก็ยื่นแขนให้ผมดู(  แกขนลุก)
ก่อนจะบอกกับผมว่าแถวนี้
ไม่มีหมาเขียวสักตัว
มีแต่ดำ,แดง,ขาว และที่สำ
คัญไม่มีตัวไหนใหญ่ขนาดเต็มกอดแบบนั้นด้วย


ทุกวันนี้เวลาผมคิดถึงเรื่องดีๆ ผมก็จะคิดถึงน้องหมา
ตัวนั้นด้วยทุกครั้ง
แม้จะไม่ได้พบกันอีกเลย(ลองไปตามหา ถามหาจากหลายๆบ้านแต่ไม่มีใครเคยเห็น)
คิดถึง แล้วก็ขอบคุณเธอ
ในใจทุกครั้ง ที่เธอมีเมตตา
ต่อคนแปลกหน้าอย่างผม

#ถึงน้องหมาเขียวตัวนั้น
ลุงเจ็ดขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่