(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)
Chinese flock to new tech boom town Singapore
By FRANK CHEN
08/07/2021
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นพื้นที่ซึ่งบรรดาบริษัทเทคยักษ์ใหญ่จีนทั้งหลายเล็งที่จะรุกใหญ่ขยับขยายกิจการ โดยที่พวกเขามุ่งใช้สิงคโปร์เป็นกองบัญชาการประจำภูมิภาค และเป็นสนามสำหรับทดสอบยุทธศาสตร์ใหม่ๆ และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ
สิงคโปร์กำลังกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดกองทัพของผู้บริหารและนักเทคนิคด้านอี-คอมเมิร์ซและไอทีจากประเทศจีน ด้วยมนตร์เสน่ห์ในเรื่องลู่ทางโอกาสที่จะเติบโตขยายตัวไปได้ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตลอดภูมิภาคแถบนี้ ทั้งผู้บริโภควัยหนุ่มสาวและเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่างกำลังระเบิดปึงปังก้าวขึ้นสู่เวที ขณะที่พวกผู้ชำนาญการและผู้ประกอบการชาวจีนก็พากันไปตั้งบริษัทประกอบกิจการอยู่ในสิงคโปร์อย่างคึกคักในช่วงไม่กี่ปีหลังๆ มานี้
พวกที่เคยพลาดลงเรือไม่ทัน เมื่อตอนที่กิจการด้านเทคของจีนเติบโตขยายตัวบูมสนั่นสร้างมูลค่ามากมายมหาศาลในช่วงเวลาประมาณสิบปีที่ผ่านมา ต่างกำลังถูกชักพาให้ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภาคส่วนอินเทอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซกำลังจวนเจียนจะพุ่งทะยานขึ้นจากพื้นดินสู่ฟากฟ้า
กระแสผู้มีความรู้ความสามารถทั้งหลาย ไม่ว่าจากปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, หรือเซินเจิ้น พากันไหลหลั่งไปสู่สิงคโปร์ กำลังเป็นโมเมนตัมที่คึกคักยิ่งขึ้นทุกที ทั้งนี้ตามรายงานของเว็บไซต์เทคออนไลน์ชั้นนำของจีน อย่าง Zhongguancun Online (จงกวนชุน ออนไลน์) ซึ่งตั้งฐานอยู่ในย่านเทคชื่อเดียวกันนี้ของนครหลวงปักกิ่งของจีน และข่าวในสื่อมวลชนสิงคโปร์
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 อาลีบาบา จ่ายเงินจำนวนมหึมา 8,400 ล้านหยวน (ราว 1,300 ล้านดอลลาร์) เพื่อเข้าครอบครองพื้นที่หลายๆ ชั้นในอาคาร “แอ็กซ่า ทาวเวอร์” (AXA Tower) หนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในสิงคโปร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆ อ่าวมารีนา (Marina Bay) เพื่อให้เป็นที่ตั้งสำนักงานของทีมงาน “ลาซาด้า” (Lazada) หนึ่งในแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแถบนี้
ทางด้าน เทนเซ็นต์ ผู้สนับสนุนรายสำคัญรายหนึ่งของ ช็อปปี้ (Shopee) คู่แข่งตัวฉกาจที่สุดของ ลาซาด้า ก็บริหารธุรกิจของตนซึ่งครอบคลุมไปทั่วทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน จากนครรัฐแห่งสิงคโปร์เช่นเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้น ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไบต์แดนซ์ (ByteDance) ประกาศชื่อซีอีโอคนใหม่ของ ติ๊กต็อก ว่าได้แก่ โซวจือ ชิว (Shouzi Chew) ทำให้เวลานี้เขาเป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานในทั่วโลกของแอปคลิปวิดีโอสั้นเจ้าดังรายนี้ ทั้งนี้เขายังชอบอัปโหลดคลิปทิวทัศน์เขียวชอุ่มตลอดจนเส้นขอบฟ้าระยิบระยิบจากออฟฟิศในสิงคโปร์ของเขาอีกด้วย
ผู้ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีพวกนักพัฒนาซอฟต์แวร์มีประสบการณ์และผู้จัดการซึ่งตัดสินละทิ้งการงานของพวกตนที่ค่อนข้างนิ่งๆ ตันๆ เติบโตต่อไปยากเสียแล้วในบริษัทเทคจีนที่มีชื่อเสียงมั่นคง พวกเขาตัดสินใจโยกย้ายไปอยู่กับเหล่าเพลเยอร์ซึ่งทำท่าใกล้จะรุ่งพุ่งแรงในสิงคโปร์ เพื่อเสาะหาโอกาสเข้าไปร่วมขบวนในสิ่งใหญ่เรื่องใหญ่อันถัดไป ของกระบวนการสู่เศรษฐกิจและการพาณิชย์ดิจิตอลในภูมิภาคแถบนี้
ตัวอย่างเด่นๆ ของสถานการณ์ดังกล่าวนี้ซึ่งก่อให้เกิดกำลังใจกัน ได้แก่ราคาหุ้นของ SEA บริษัทแม่ของ ช็อปปี้ ที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดนิวยอร์ก ปรากฏว่าสามารถพุ่งแรงจัดจากระดับไม่ถึง 20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อหุ้นเมื่อปี 2019 ไปถึงราวๆ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯในระยะไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ เผิง เจ๋อฟู (Peng Zhefu) อดีตประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีของ คิงซอฟต์ (Kingsoft) บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สัญชาติจีน และ โต้วป้าน (Douban) แพลตฟอร์มยอดนิยมด้านเครือข่ายสังคมและการแชร์คอนเทนต์ ตัดสินใจละทิ้งสิ่งที่สร้างขึ้นมาในเมืองจีน และอพยพไปอยู่สิงคโปร์ในปี 2018
เผิง ซึ่งเวลานี้กำลังบริหารบริษัทเทคสตาร์ทอัปดาวรุ่งระดับยูนิคอร์นแห่งหนึ่งในนครรัฐแห่งนั้น บอกกับเวทีประชุมว่าด้วยแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของปักกิ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า เขาค้นพบในระหว่างออกทัวร์ไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า แม้กระทั่งวัยรุ่นจำนวนมากตามเมืองชายแดนเล็กๆ แต่อึกทึกคึกคักในพม่า ก็ยังมีโทรศัพท์มือถือใช้กัน ส่วนใหญ่ที่สุดมาจากผู้ผลิตจีนอย่าง เสี่ยวมี่, ออปโป้, และ วีโว้ โดยที่พวกเขาจำนวนมากพบว่าครั้งแรกที่พวกเขาเข้าไปช็อปปิ้งทางอินเทอร์เน็ตและออนไลน์นั้น เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์มาก
ข้อสรุปของ เผิง ก็คือ ศักยภาพเช่นนี้ของผู้คนวัยหนุ่มสาวเฉียดๆ 700 ล้านคนตลอดทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นเครื่องรับประกันการเติบโตขยายตัวของเหล่ายักษ์ใหญ่เทคจีนในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า เมื่อตลาดภายในแดนมังกรเองเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าสิงคโปร์จะกลายเป็นกองบัญชาการส่วนกลาง และเป็นพื้นที่ทดสอบสำหรับยุทธศาสตร์ใหม่ๆ และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นแนวทางว่ามันใช้การได้ในทางปฏิบัติหรือไม่ในภูมิภาคนี้
จากสำนักงานใหญ่ของพวกเขาซึ่งไม่ได้ห่างไกลอะไรกันนักหนาในสิงคโปร์ ช็อปปี้ และ ลาซาด้า ต่างกำลังลอกเลียนยุทธวิธีต่างๆ ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในประเทศจีน และนำเอามาประยุกต์ใช้ในภูมิภาคนี้ ภายหลังจาก เทนเซ็นต์ และ อาลีบาบา เข้าเทคโอเวอร์แพลตฟอร์มทั้งสองนี้ในทางพฤตินัย
เสน่ห์น่าประทับใจของสิงคโปร์ อย่างเช่น ความใกล้ชิดกับจีนในทางวัฒนธรรม, ระบบการศึกษาและระบบดูแลสุขภาพที่ดี, ตลอดจนนโยบายสนับสนุนต่างๆ ของรัฐบาล เหล่านี้ก็เป็นสิ่งซึ่งสามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมาก เป็นต้นว่า ระบบให้วีซ่า “เทค พาสส์” (Tech Pass) ของรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งอนุญาตให้พำนักอาศัยในนครรัฐแห่งนี้ได้เป็นระยะยาว มีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นพิเศษทีเดียวสำหรับผู้มีความรู้ความสามารถชาวต่างชาติ ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการเดินทางและในการเข้าเมืองเมื่ออาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆ
การที่บัณฑิตด้านไอทีของจีน ซึ่งเรียนวิชาเอกในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์, อี-คอมเมิร์ซ, และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กำลังเริ่ม “ล้น” ขณะที่การเติบโตขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล่านี้ในแดนมังกรกำลังไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้บัณฑิตเหล่านี้บางรายคิดเสาะแสวงหาโอกาสในสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะไม่มีเสียงบ่นเสียงอุทธรณ์ร้องทุกข์เอาเลยจากบรรดาคนจีนที่กำลังเดินทางมายังนครรัฐแห่งนี้
นักเทคนิคไอทีชาวจีนบางคนบอกว่า พวกเขาต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก “ในการปรับตัวยอมลดและยอมถอยหลัง” เพื่อให้อยู่ได้กับมาตรฐานการทดสอบแอปและการพัฒนาแอป “ที่หยาบๆ เต็มที” ของสิงคโปร์และพูดอย่างกว้างๆ ได้ว่าของทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ด้วย นอกจากนั้นยังมีเรื่องวิธีการจ่ายเงินและการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท, รวมทั้งพวกโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นตัวสนับสนุน อย่างเช่น โลจิสติกส์ และบริการรับส่งสินค้าต่างๆ ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าต้องปรับตัวยอมลดความคาดหวังและยอมถอยหลังเช่นกัน ทั้งนี้ตามเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ใน จงกวนชุน ออนไลน์ ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังแสดงความรู้สึกว่า จังหวะการทำงานและชีวิตความเป็นอยู่ของสิงคโปร์นั้นเชื่องช้าเกินไป
X
สเตรทส์ไทมส์ สื่อชื่อดังของสิงคโปร์ ยังได้อ้างอิงคำพูดของนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ที่กล่าวว่า ตัวเขาเองรู้สึก “เชย” มากๆ ทั้งไร้เดียงสาและทั้งไร้ประสบการณ์ หลังจากไปพบเห็นการพัฒนาอี-คอมเมิร์ซแบบเปิดเสรีเต็มที่ ตลอดจนแอปต่างๆ มากมายหลายหลากอย่างเช่นพวกแอปจ่ายเงินโดยไม่ต้องใช้เงินสด ระหว่างที่เขาเดินทางไปเยือนจีน
การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันและความขัดแย้งทางวัฒนธรรมภายในฝ่ายบริหารระดับสูงของบริษัทต่างๆ กำลังกลายเป็นของธรรมดาสามัญมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีคนจีนเพิ่มขึ้นทุกทีเข้าไปครอบครองตำแหน่งสำคัญๆ ของกิจการ
เหลียนเหอ เจ่าเป้า (Lianhe Zaobao) หนังสือพิมพ์ภาษาจีนของสิงคโปร์ ก็รายงานปฏิกิริยาไม่พอใจจากชาวสิงคโปร์และพนักงานสัญชาติอื่นๆ ที่ทำงานอยู่ใน ช็อปปี้ และ ลาซาด้า เมื่อตอนที่คณะผู้นำที่เป็นทีมคนจีนของพวกเขาหาทางที่จะนำเอา “วัฒนธรรม 996” อันสุดโหดของจีนมาใช้ (996 คือ ทำงานตั้งแต่เวลา 9 โมงตอนเช้า จนถึง 3 ทุ่ม (9โมงกลางคืน) และทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน) เพื่อพยายามทำให้การทำงานล่วงเวลาแต่ไม่ได้เงินชดเชยกลายเป็น “นิว นอร์มัล” ในบริษัทเหล่านี้
เล่ากันว่า ฟอร์เรสต์ หลี่ (Forrest Li) ผู้ก่อตั้ง ช็อปปี้ ซึ่งก็เป็นผู้อพยพมาจากจีนเหมือนกัน ต้องก้าวเข้าไปแก้ไขบรรเทาความคับข้องใจของพวกพนักงานชาวท้องถิ่น ตอนที่บรรดาผู้จัดการที่เป็นคนจีนพยายามนำเอาระบบประเมินพนักงานโดยพิจารณาที่ดัชนีผลงานสำคัญ จากหนังสือคู่มือพนักงานของบริษัทเทนเซ็นต์ ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของตนมาใช้ ทั้งนี้ระบบประเมินเช่นนี้เรียกร้องผลงานจากพนักงานในระดับสูงกว่าที่ปฏิบัติกันอยู่ในสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม เวลานี้พนักงานของช็อปปี้ในสิงคโปร์เวลานี้ 70% ทีเดียวเป็นคนจีน
เมื่อพวกบริษัทเทคจีนที่มีฐานยูสเซอร์ระดับทั่วโลก พบว่าพวกเขาต้องพัวพันสางไม่ออกอยู่ในสงครามเทคที่วอชิงตันทำกับปักกิ่ง รวมทั้งถูกระเบียบกฎหมายใหม่ๆ ของโลกตะวันตกเรียกร้องให้ต้องปฏิบัติตามมาตรการปกป้องค้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนตัวอย่างเคร่งครัดมากยิ่งขึ้น มันก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สิงคโปร์ตกอยู่ในสายตาของพวกเขา ทั้งนี้บริษัทจีนจำนวนมากพากันไปจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคขึ้นที่นั่นตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา
โกลบอลไทมส์ (Global Times) สื่อแทบลอยด์ในเครือเหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์ เดลี่) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รายงานเอาไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 2020 ว่า พวกบริษัทเทคจีนจำนวนมากขึ้นทุกที เป็นต้นว่า อาลีบาบา, เทนเซ็นต์, ไบต์แดนซ์, หัวเว่ย, ไขว้โซ่ว, ไชน่าเทเลคอม, และไชน่าโมบาย ต่างกำลังนำเงินมากมายเข้าไปลงทุนในสิงคโปร์เพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและแล็ปทดลองต่างๆ ขณะที่พวกเขาหาหนทางปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งเพื่อเป็นหลักประกันทำให้บรรดายูสเซอร์ชาวต่างประเทศของพวกเขารู้สึกสบายอกสบายใจ
โจนส์ แลง ลาซาลล์ (Jones Lang LaSalle) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในรายงานฉบับหนึ่งว่า เวลานี้สิงคโปรืสามารถคุยได้แล้วว่ามีคลัสเตอร์ของบริษัทเทคจีนที่ใหญ่ที่สุด หากไม่นับรวมปักกิ่ง, เซินเจิ้น, และซิลิคอนแวลลีย์
ลาซาด้า กับ ช็อปปี้ ซึ่งในทางพฤตินัยแล้วกลายเป็นกิจการที่ควบคุมโดย อาลีบาบา และ เทนเซ็นต์ ตามลำดับ เป็น 2 แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ชั้นนำที่แข่งขันกันดุเดือดมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
https://mgronline.com/around/detail/9640000069934
นักเทคนิคไอทีชาวจีนบางคนบอกว่า พวกเขาต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก “ในการปรับตัวยอมลดและยอมถอยหลัง” เพื่อให้อยู่ได้กับมาตรฐานการทดสอบแอปและการพัฒนาแอป “ที่หยาบๆ เต็มที” ของสิงคโปร์และพูดอย่างกว้างๆ ได้ว่าของทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ด้วย นอกจากนั้นยังมีเรื่องวิธีการจ่ายเงินและการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท, รวมทั้งพวกโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นตัวสนับสนุน อย่างเช่น โลจิสติกส์ และบริการรับส่งสินค้าต่างๆ ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าต้องปรับตัวยอมลดความคาดหวังและยอมถอยหลังเช่นกัน ทั้งนี้ตามเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ใน จงกวนชุน ออนไลน์ ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังแสดงความรู้สึกว่า จังหวะการทำงานและชีวิตความเป็นอยู่ของสิงคโปร์นั้นเชื่องช้าเกินไป
สิงคโปร์กลายเป็นแหล่งชุมนุมของบริษัทเทคจีนและคนจีนเก่งไอที ที่เล็งเอเชียอาคเนย์ว่าเป็นตลาดซึ่งใกล้พุ่งทะยาน
Chinese flock to new tech boom town Singapore
By FRANK CHEN
08/07/2021
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็นพื้นที่ซึ่งบรรดาบริษัทเทคยักษ์ใหญ่จีนทั้งหลายเล็งที่จะรุกใหญ่ขยับขยายกิจการ โดยที่พวกเขามุ่งใช้สิงคโปร์เป็นกองบัญชาการประจำภูมิภาค และเป็นสนามสำหรับทดสอบยุทธศาสตร์ใหม่ๆ และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ
สิงคโปร์กำลังกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดกองทัพของผู้บริหารและนักเทคนิคด้านอี-คอมเมิร์ซและไอทีจากประเทศจีน ด้วยมนตร์เสน่ห์ในเรื่องลู่ทางโอกาสที่จะเติบโตขยายตัวไปได้ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตลอดภูมิภาคแถบนี้ ทั้งผู้บริโภควัยหนุ่มสาวและเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่างกำลังระเบิดปึงปังก้าวขึ้นสู่เวที ขณะที่พวกผู้ชำนาญการและผู้ประกอบการชาวจีนก็พากันไปตั้งบริษัทประกอบกิจการอยู่ในสิงคโปร์อย่างคึกคักในช่วงไม่กี่ปีหลังๆ มานี้
พวกที่เคยพลาดลงเรือไม่ทัน เมื่อตอนที่กิจการด้านเทคของจีนเติบโตขยายตัวบูมสนั่นสร้างมูลค่ามากมายมหาศาลในช่วงเวลาประมาณสิบปีที่ผ่านมา ต่างกำลังถูกชักพาให้ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภาคส่วนอินเทอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซกำลังจวนเจียนจะพุ่งทะยานขึ้นจากพื้นดินสู่ฟากฟ้า
กระแสผู้มีความรู้ความสามารถทั้งหลาย ไม่ว่าจากปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, หรือเซินเจิ้น พากันไหลหลั่งไปสู่สิงคโปร์ กำลังเป็นโมเมนตัมที่คึกคักยิ่งขึ้นทุกที ทั้งนี้ตามรายงานของเว็บไซต์เทคออนไลน์ชั้นนำของจีน อย่าง Zhongguancun Online (จงกวนชุน ออนไลน์) ซึ่งตั้งฐานอยู่ในย่านเทคชื่อเดียวกันนี้ของนครหลวงปักกิ่งของจีน และข่าวในสื่อมวลชนสิงคโปร์
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 อาลีบาบา จ่ายเงินจำนวนมหึมา 8,400 ล้านหยวน (ราว 1,300 ล้านดอลลาร์) เพื่อเข้าครอบครองพื้นที่หลายๆ ชั้นในอาคาร “แอ็กซ่า ทาวเวอร์” (AXA Tower) หนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในสิงคโปร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆ อ่าวมารีนา (Marina Bay) เพื่อให้เป็นที่ตั้งสำนักงานของทีมงาน “ลาซาด้า” (Lazada) หนึ่งในแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแถบนี้
ทางด้าน เทนเซ็นต์ ผู้สนับสนุนรายสำคัญรายหนึ่งของ ช็อปปี้ (Shopee) คู่แข่งตัวฉกาจที่สุดของ ลาซาด้า ก็บริหารธุรกิจของตนซึ่งครอบคลุมไปทั่วทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน จากนครรัฐแห่งสิงคโปร์เช่นเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้น ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไบต์แดนซ์ (ByteDance) ประกาศชื่อซีอีโอคนใหม่ของ ติ๊กต็อก ว่าได้แก่ โซวจือ ชิว (Shouzi Chew) ทำให้เวลานี้เขาเป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานในทั่วโลกของแอปคลิปวิดีโอสั้นเจ้าดังรายนี้ ทั้งนี้เขายังชอบอัปโหลดคลิปทิวทัศน์เขียวชอุ่มตลอดจนเส้นขอบฟ้าระยิบระยิบจากออฟฟิศในสิงคโปร์ของเขาอีกด้วย
ผู้ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีพวกนักพัฒนาซอฟต์แวร์มีประสบการณ์และผู้จัดการซึ่งตัดสินละทิ้งการงานของพวกตนที่ค่อนข้างนิ่งๆ ตันๆ เติบโตต่อไปยากเสียแล้วในบริษัทเทคจีนที่มีชื่อเสียงมั่นคง พวกเขาตัดสินใจโยกย้ายไปอยู่กับเหล่าเพลเยอร์ซึ่งทำท่าใกล้จะรุ่งพุ่งแรงในสิงคโปร์ เพื่อเสาะหาโอกาสเข้าไปร่วมขบวนในสิ่งใหญ่เรื่องใหญ่อันถัดไป ของกระบวนการสู่เศรษฐกิจและการพาณิชย์ดิจิตอลในภูมิภาคแถบนี้
ตัวอย่างเด่นๆ ของสถานการณ์ดังกล่าวนี้ซึ่งก่อให้เกิดกำลังใจกัน ได้แก่ราคาหุ้นของ SEA บริษัทแม่ของ ช็อปปี้ ที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดนิวยอร์ก ปรากฏว่าสามารถพุ่งแรงจัดจากระดับไม่ถึง 20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อหุ้นเมื่อปี 2019 ไปถึงราวๆ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯในระยะไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ เผิง เจ๋อฟู (Peng Zhefu) อดีตประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีของ คิงซอฟต์ (Kingsoft) บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สัญชาติจีน และ โต้วป้าน (Douban) แพลตฟอร์มยอดนิยมด้านเครือข่ายสังคมและการแชร์คอนเทนต์ ตัดสินใจละทิ้งสิ่งที่สร้างขึ้นมาในเมืองจีน และอพยพไปอยู่สิงคโปร์ในปี 2018
เผิง ซึ่งเวลานี้กำลังบริหารบริษัทเทคสตาร์ทอัปดาวรุ่งระดับยูนิคอร์นแห่งหนึ่งในนครรัฐแห่งนั้น บอกกับเวทีประชุมว่าด้วยแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของปักกิ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า เขาค้นพบในระหว่างออกทัวร์ไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า แม้กระทั่งวัยรุ่นจำนวนมากตามเมืองชายแดนเล็กๆ แต่อึกทึกคึกคักในพม่า ก็ยังมีโทรศัพท์มือถือใช้กัน ส่วนใหญ่ที่สุดมาจากผู้ผลิตจีนอย่าง เสี่ยวมี่, ออปโป้, และ วีโว้ โดยที่พวกเขาจำนวนมากพบว่าครั้งแรกที่พวกเขาเข้าไปช็อปปิ้งทางอินเทอร์เน็ตและออนไลน์นั้น เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์มาก
ข้อสรุปของ เผิง ก็คือ ศักยภาพเช่นนี้ของผู้คนวัยหนุ่มสาวเฉียดๆ 700 ล้านคนตลอดทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นเครื่องรับประกันการเติบโตขยายตัวของเหล่ายักษ์ใหญ่เทคจีนในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า เมื่อตลาดภายในแดนมังกรเองเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าสิงคโปร์จะกลายเป็นกองบัญชาการส่วนกลาง และเป็นพื้นที่ทดสอบสำหรับยุทธศาสตร์ใหม่ๆ และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นแนวทางว่ามันใช้การได้ในทางปฏิบัติหรือไม่ในภูมิภาคนี้
จากสำนักงานใหญ่ของพวกเขาซึ่งไม่ได้ห่างไกลอะไรกันนักหนาในสิงคโปร์ ช็อปปี้ และ ลาซาด้า ต่างกำลังลอกเลียนยุทธวิธีต่างๆ ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในประเทศจีน และนำเอามาประยุกต์ใช้ในภูมิภาคนี้ ภายหลังจาก เทนเซ็นต์ และ อาลีบาบา เข้าเทคโอเวอร์แพลตฟอร์มทั้งสองนี้ในทางพฤตินัย
เสน่ห์น่าประทับใจของสิงคโปร์ อย่างเช่น ความใกล้ชิดกับจีนในทางวัฒนธรรม, ระบบการศึกษาและระบบดูแลสุขภาพที่ดี, ตลอดจนนโยบายสนับสนุนต่างๆ ของรัฐบาล เหล่านี้ก็เป็นสิ่งซึ่งสามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมาก เป็นต้นว่า ระบบให้วีซ่า “เทค พาสส์” (Tech Pass) ของรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งอนุญาตให้พำนักอาศัยในนครรัฐแห่งนี้ได้เป็นระยะยาว มีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นพิเศษทีเดียวสำหรับผู้มีความรู้ความสามารถชาวต่างชาติ ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการเดินทางและในการเข้าเมืองเมื่ออาศัยอยู่ในประเทศอื่นๆ
การที่บัณฑิตด้านไอทีของจีน ซึ่งเรียนวิชาเอกในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์, อี-คอมเมิร์ซ, และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กำลังเริ่ม “ล้น” ขณะที่การเติบโตขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล่านี้ในแดนมังกรกำลังไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้บัณฑิตเหล่านี้บางรายคิดเสาะแสวงหาโอกาสในสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะไม่มีเสียงบ่นเสียงอุทธรณ์ร้องทุกข์เอาเลยจากบรรดาคนจีนที่กำลังเดินทางมายังนครรัฐแห่งนี้
นักเทคนิคไอทีชาวจีนบางคนบอกว่า พวกเขาต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก “ในการปรับตัวยอมลดและยอมถอยหลัง” เพื่อให้อยู่ได้กับมาตรฐานการทดสอบแอปและการพัฒนาแอป “ที่หยาบๆ เต็มที” ของสิงคโปร์และพูดอย่างกว้างๆ ได้ว่าของทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ด้วย นอกจากนั้นยังมีเรื่องวิธีการจ่ายเงินและการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท, รวมทั้งพวกโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นตัวสนับสนุน อย่างเช่น โลจิสติกส์ และบริการรับส่งสินค้าต่างๆ ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าต้องปรับตัวยอมลดความคาดหวังและยอมถอยหลังเช่นกัน ทั้งนี้ตามเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ใน จงกวนชุน ออนไลน์ ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังแสดงความรู้สึกว่า จังหวะการทำงานและชีวิตความเป็นอยู่ของสิงคโปร์นั้นเชื่องช้าเกินไป
X
สเตรทส์ไทมส์ สื่อชื่อดังของสิงคโปร์ ยังได้อ้างอิงคำพูดของนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ที่กล่าวว่า ตัวเขาเองรู้สึก “เชย” มากๆ ทั้งไร้เดียงสาและทั้งไร้ประสบการณ์ หลังจากไปพบเห็นการพัฒนาอี-คอมเมิร์ซแบบเปิดเสรีเต็มที่ ตลอดจนแอปต่างๆ มากมายหลายหลากอย่างเช่นพวกแอปจ่ายเงินโดยไม่ต้องใช้เงินสด ระหว่างที่เขาเดินทางไปเยือนจีน
การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันและความขัดแย้งทางวัฒนธรรมภายในฝ่ายบริหารระดับสูงของบริษัทต่างๆ กำลังกลายเป็นของธรรมดาสามัญมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีคนจีนเพิ่มขึ้นทุกทีเข้าไปครอบครองตำแหน่งสำคัญๆ ของกิจการ
เหลียนเหอ เจ่าเป้า (Lianhe Zaobao) หนังสือพิมพ์ภาษาจีนของสิงคโปร์ ก็รายงานปฏิกิริยาไม่พอใจจากชาวสิงคโปร์และพนักงานสัญชาติอื่นๆ ที่ทำงานอยู่ใน ช็อปปี้ และ ลาซาด้า เมื่อตอนที่คณะผู้นำที่เป็นทีมคนจีนของพวกเขาหาทางที่จะนำเอา “วัฒนธรรม 996” อันสุดโหดของจีนมาใช้ (996 คือ ทำงานตั้งแต่เวลา 9 โมงตอนเช้า จนถึง 3 ทุ่ม (9โมงกลางคืน) และทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน) เพื่อพยายามทำให้การทำงานล่วงเวลาแต่ไม่ได้เงินชดเชยกลายเป็น “นิว นอร์มัล” ในบริษัทเหล่านี้
เล่ากันว่า ฟอร์เรสต์ หลี่ (Forrest Li) ผู้ก่อตั้ง ช็อปปี้ ซึ่งก็เป็นผู้อพยพมาจากจีนเหมือนกัน ต้องก้าวเข้าไปแก้ไขบรรเทาความคับข้องใจของพวกพนักงานชาวท้องถิ่น ตอนที่บรรดาผู้จัดการที่เป็นคนจีนพยายามนำเอาระบบประเมินพนักงานโดยพิจารณาที่ดัชนีผลงานสำคัญ จากหนังสือคู่มือพนักงานของบริษัทเทนเซ็นต์ ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของตนมาใช้ ทั้งนี้ระบบประเมินเช่นนี้เรียกร้องผลงานจากพนักงานในระดับสูงกว่าที่ปฏิบัติกันอยู่ในสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม เวลานี้พนักงานของช็อปปี้ในสิงคโปร์เวลานี้ 70% ทีเดียวเป็นคนจีน
เมื่อพวกบริษัทเทคจีนที่มีฐานยูสเซอร์ระดับทั่วโลก พบว่าพวกเขาต้องพัวพันสางไม่ออกอยู่ในสงครามเทคที่วอชิงตันทำกับปักกิ่ง รวมทั้งถูกระเบียบกฎหมายใหม่ๆ ของโลกตะวันตกเรียกร้องให้ต้องปฏิบัติตามมาตรการปกป้องค้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนตัวอย่างเคร่งครัดมากยิ่งขึ้น มันก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่สิงคโปร์ตกอยู่ในสายตาของพวกเขา ทั้งนี้บริษัทจีนจำนวนมากพากันไปจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคขึ้นที่นั่นตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา
โกลบอลไทมส์ (Global Times) สื่อแทบลอยด์ในเครือเหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์ เดลี่) ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รายงานเอาไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 2020 ว่า พวกบริษัทเทคจีนจำนวนมากขึ้นทุกที เป็นต้นว่า อาลีบาบา, เทนเซ็นต์, ไบต์แดนซ์, หัวเว่ย, ไขว้โซ่ว, ไชน่าเทเลคอม, และไชน่าโมบาย ต่างกำลังนำเงินมากมายเข้าไปลงทุนในสิงคโปร์เพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและแล็ปทดลองต่างๆ ขณะที่พวกเขาหาหนทางปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งเพื่อเป็นหลักประกันทำให้บรรดายูสเซอร์ชาวต่างประเทศของพวกเขารู้สึกสบายอกสบายใจ
โจนส์ แลง ลาซาลล์ (Jones Lang LaSalle) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในรายงานฉบับหนึ่งว่า เวลานี้สิงคโปรืสามารถคุยได้แล้วว่ามีคลัสเตอร์ของบริษัทเทคจีนที่ใหญ่ที่สุด หากไม่นับรวมปักกิ่ง, เซินเจิ้น, และซิลิคอนแวลลีย์
ลาซาด้า กับ ช็อปปี้ ซึ่งในทางพฤตินัยแล้วกลายเป็นกิจการที่ควบคุมโดย อาลีบาบา และ เทนเซ็นต์ ตามลำดับ เป็น 2 แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ชั้นนำที่แข่งขันกันดุเดือดมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
https://mgronline.com/around/detail/9640000069934
นักเทคนิคไอทีชาวจีนบางคนบอกว่า พวกเขาต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก “ในการปรับตัวยอมลดและยอมถอยหลัง” เพื่อให้อยู่ได้กับมาตรฐานการทดสอบแอปและการพัฒนาแอป “ที่หยาบๆ เต็มที” ของสิงคโปร์และพูดอย่างกว้างๆ ได้ว่าของทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ด้วย นอกจากนั้นยังมีเรื่องวิธีการจ่ายเงินและการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท, รวมทั้งพวกโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นตัวสนับสนุน อย่างเช่น โลจิสติกส์ และบริการรับส่งสินค้าต่างๆ ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าต้องปรับตัวยอมลดความคาดหวังและยอมถอยหลังเช่นกัน ทั้งนี้ตามเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ใน จงกวนชุน ออนไลน์ ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังแสดงความรู้สึกว่า จังหวะการทำงานและชีวิตความเป็นอยู่ของสิงคโปร์นั้นเชื่องช้าเกินไป