อุทยานแห่งชาติ Gros Morne ใช้เวลา 485 ล้านปีในการสร้าง โดยเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของกระบวนการเคลื่อนตัวของทวีป การเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้เกิดทัศนียภาพที่งดงาม และยังเป็นที่ตั้งของการเดินป่าที่น่าตื่นตาตื่นใจในทิวทัศน์ที่น่าทึ่ง
เกาะ Newfoundland ทางตะวันออกของแคนาดาในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่นขึ้น จะกลายเป็นดินแดนมหัศจรรย์เขียวชอุ่มที่ปกคลุมไปด้วยทะเลสาบ บึง และป่าไม้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่บนชายฝั่งตะวันตกของเกาะ ระหว่างฟยอร์ดที่ถูกกัดเซาะและยอดเขาสูงตระหง่านของอุทยานแห่งชาติ Gros Morne National Park มีที่ราบสูงที่แห้งแล้ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ " Tablelands " ภูมิประเทศทะเลทรายที่กว้างใหญ่ที่คล้ายกับดาวอังคารปรากฏขึ้น
" Tablelands " เป็นผลมาจากกิจกรรมทางธรณีวิทยากว่าครึ่งพันล้านปี แต่นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแล้ว อุทยานแห่งนี้ยังได้รับการขนานนามให้เป็น มรดกโลกขององค์การยูเนสโก เนื่องจากมีข้อมูลที่ซับซ้อนทางวิทยาศาสตร์ในอดีต และมีความเป็นไปได้ที่อาจไปสู่โลกอื่น ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งบนโลกที่คุณสามารถมองเห็น "จิตวิญญาณ" (soul) ของโลกได้
นั่นคือ ผิวเปลือกโลก (mantle) ซึ่งเป็นชั้นหินซิลิเกตที่อยู่ลึกใต้เปลือกโลกหลายไมล์ หินประเภทนี้อุดมไปด้วยโลหะที่เป็นพิษและไม่เอื้ออำนวยต่อพืชพันธุ์ส่วนใหญ่ เป็นเหตุให้ Tablelands แห้งแล้งและปราศจากพืชผล แต่ในความเป็นจริงเมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือของอุทยานแห่งชาติ Gros Morne อันเขียวชอุ่ม Tablelands ที่โดดเด่นเป็นพื้นที่ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
โดย Rob Hingston เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Gros Morne National Park กล่าวว่า " สิ่งที่น่าทึ่งของที่นี่ไม่ใช่แค่ที่เห็นเท่านั้น แต่ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีด้วย "
Tablelands เป็นพื้นที่ที่เป็นภูเขาขนาดใหญ่ในภาคใต้ของ Gros Morne ที่ทอดยาวจาก Woody Point ถึงแม่น้ำ Trout
เป็นพื้นที่เดียวในโลกที่มีการเปิดเผยผิวโลก ซึ่งการก่อตัวของหินโบราณนี้แสดงให้เห็นเป็นสีสนิมเล็กน้อย ส่วนหินและดินไม่เหมาะกับ
การเจริญเติบโตของต้นไม้หรือพืชชนิดอื่นๆ แต่จะมีหิมะตกในช่วงฤดูร้อน เมื่อหิมะละลายจะไหลเข้าสู่น้ำตกและแก่งเล็กๆ หลายแห่งในพื้นที่
(Cr.ภาพ Curtis Watson EyeEm / Getty)
อุทยานแห่งชาติ Gros Morne ถูกกำหนดให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี 1987 ธรรมชาติต้องใช้เวลา 485 ล้านปีในการหล่อหลอมอุทยานให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาและภาพที่เรารู้จักในปัจจุบัน เป็นพื้นที่ที่มีความงามตามธรรมชาติที่น่าทึ่ง มีทิวทัศน์ สัตว์ป่า และกิจกรรมกลางแจ้งที่หลากหลาย ผู้เยี่ยมชมและนักท่องเที่ยวสามารถเดินป่าผ่านภูเขาที่ไม่มีคนอาศัยอยู่และตั้งแคมป์ริมทะเลได้
และทัวร์ทางเรือจะนำชมภายใต้หน้าผาที่สูงตระหง่านของฟยอร์ดน้ำจืดที่ถูกกัดเซาะโดยธารน้ำแข็ง น้ำตก ท้องทะเล โขดหิน หาดทราย พื้นที่ราบต่ำที่แห้งแล้ง ป่าไม้ที่ล้อมรอบ และหมู่บ้านชาวประมงที่แปลกตาหลากสีสัน ซึ่งเติมเต็มสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันน่ามหัศจรรย์ของอุทยานแห่งชาติ Gros Morne ของแคนาดา
Tablelands ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านธรณีวิทยาที่ซับซ้อนนี้ เป็นที่ราบสูงสีน้ำตาลแดงที่แห้งแล้ง ซึ่งสูงตระหง่านอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติก
700 เมตร อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขียวชอุ่มและเนินเขาที่ล้อมรอบ ซึ่งที่ผ่านมา มีนักธรณีวิทยาหลายคนเคยเชื่อว่าTablelands เป็นเศษหินหลอม เหลวที่ไหลออกมาจากส่วนลึกของพื้นโลก
อย่างไรก็ตาม Robert Stevens นักธรณีวิทยาอีกคนได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคิดผิด โดย Stevens พบก้อนหินที่มีโครไมต์อายุมากกว่า 485 ล้านปี ซึ่งมีอายุมากกว่าหินอื่นๆ ที่พบในบริเวณนั้นมาก โดยชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้ได้จากการกัดเซาะของ Tablelands ที่ Lobster Cove หมู่บ้านชาวประมงที่อยู่ใกล้เคียง
กระแสน้ำไหลจากเทือกเขา Long Range ลงสู่สระ Western Brook Pond ในอุทยานแห่งชาติ Gros Morne
Cr.ภาพ flickr.com / SHUTTERSTOCK
จากการค้นพบของ Stevens นำไปสู่ความจริงที่ว่า Tablelands เป็นซากของพื้นมหาสมุทรโบราณที่ดำรงอยู่เมื่อห้าร้อยล้านปีก่อน มหาสมุทรนี้เรียกว่า Iapetus ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือตั้งแต่ Newfoundland ถึงฟลอริดา นอกจากนั้น งานวิจัยของ Dr Alison Leitch นักธรณีฟิสิกส์จาก Memorial University of Newfoundland ยังระบุเพิ่มเติมว่า เมื่อเกือบ 500 ล้านปีก่อน ในขณะที่มหาทวีปแห่ง Pangea เริ่มก่อตัวและมหาสมุทร Iapetus กำลังปิดตัวลง สิ่งนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นอเมริกาเหนือและยุโรปกำลังชนกัน
เมื่อทวีปเคลื่อนตัว เศษของเปลือกโลกมักจะถูกดูดกลืนหรือนำกลับลงไปสู่พื้นโลก แต่ในกรณีนี้ ชิ้นส่วนของผิวเปลือกโลก (Mantle) ที่เคยเป็นพื้นมหาสมุทร ถูกผลักขึ้นเพื่อก่อตัวเป็น Tablelands ภูมิประเทศนี้ยังคงถูกฝังไว้อย่างดีจนกระทั่งเมื่อ 12,000 ปีที่แล้วหลังจากยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย
ผิวเปลือกโลกก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
โดยก่อนหน้าในทศวรรษที่ 1960 การศึกษาเชิงลึกของ Tablelands พบว่าการแปรสัณฐานของแผ่นเปลือกโลกเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ตระหนักว่า หินที่แห้งแล้งที่ปรากฏจากป่าทึบของ Gros Morne ที่จริงแล้วเป็นชิ้นส่วนของเปลือกโลกที่แตกหัก จึงเป็นการช่วยพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยแผ่นเปลือกโลก
แม้ว่าทุกทวีปมีชิ้นส่วนของ Mantle แต่หลายแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเหมือน Tablelands ซึ่ง Dr Penny Morrill ศาสตราจารย์ประจำแผนก
Earth Science ของมหาวิทยาลัย Memorial ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับ ophiolites (ชิ้นส่วนของ Mantle) ที่เผยให้เห็นไปทั่วโลก และตอนนี้มุ่งเน้นไปที่
ภูมิทัศน์นอกโลกของที่นี่ โดยกล่าวว่า หินเหล่านี้มีโลหะที่มีความเข้มข้นสูงที่พืชบางชนิดพบว่าเป็นพิษ โดยอธิบายว่าพืชส่วนใหญ่จะเหี่ยวแห้งไปในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงเช่นนี้
หินที่พบใน Tablelands ถือว่าเป็นพิษต่อพืชหลายชนิด
(เครดิตภาพ Lucie McCormick)
Tablelands นั้นส่วนใหญเต็มไปด้วยหิน ultramafic (peridotite) ซึ่งขาดสารอาหารตามปกติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพืชส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงแทบไม่มีสัตว์ป่าในภูมิประเทศที่แห้งแล้งนี้ (แต่ทั้งอุทยานก็มีกวางมูซนับพันตัว) โดยหิน Peridotite มีแคลเซียมต่ำมากแต่มีแมกนีเซียมสูงมาก และมีโลหะหนักในปริมาณที่เป็นพิษ รวมทั้งยังมีธาตุเหล็กสูงซึ่งทำให้มีสีน้ำตาลแดง
ดังนั้น วิธีหนึ่งที่พืชสามารถอยู่รอดได้ในที่ที่ไม่มีสารอาหารก็คือ มันกลายเป็นพืชกินเนื้อ โดยจับแมลงเป็นอาหาร พืชชนิดนี้สามารถพบได้ตามเส้นทาง Tablelands Trail ระยะทาง 4 กม.ได้แก่ pitcher plant ดอกไม้ประจำจังหวัด Newfoundland และ Labrador พืชสีม่วงที่กินเนื้อนี้ตั้งหัวไว้บนลำต้นยาว แสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดในฐานะหนึ่งในสิ่งมีชีวิตไม่กี่แห่งใน Tablelands
การเยี่ยมชม Tablelands อาจรู้สึกเหมือนการเดินทางไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น นอกเหนือจากแร่ธาตุที่เป็นพิษและภูมิประเทศของมนุษย์ต่างดาวแล้ว
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามุมที่ห่างไกลของโลกนี้สามารถสอนบางสิ่งเกี่ยวกับชีวิตบนดาวอังคารให้เราได้ โดยส่วนหนึ่งของการวิจัยของ Morrill เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบว่าชีวิตอยู่รอดใน Tablelands ได้อย่างไร ซึ่งอาจให้เบาะแสกับเราว่าหากบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิต มันจะอยู่ได้อย่างไรด้วย
Rock Ptarmigan เป็นนกสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติ Gros Morne
พวกมันเป็นผู้อยู่อาศัยตลอดทั้งปีในเทือกเขา Long Range ซึ่งทอดยาวไปตามชายฝั่งและทั่วทั้งอุทยาน Cr.ภาพ Darroch Whitaker
ต่อมา Morrill ได้ตรวจสอบน้ำใต้ดินที่ไหลผ่านที่ราบสูงแห่นี้ พบว่ามันเต็มไปด้วยจุลินทรีย์ ซึ่ง Morrill ระบุไว้ในรายงานว่าเซลล์ที่อาศัยอยู่ในน้ำบาดาล
ในท้องถิ่นจะไม่ได้รับสารอาหารที่เรามักจะเห็นการดำรงชีวิต แต่กินคาร์บอนมอนอกไซด์และองค์ประกอบที่เป็นพิษอื่นๆ เธอเชื่อว่านี่เป็นผลมาจากกระบวนการใต้ดินที่เรียกว่า "serpentinisation"
สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อน้ำทำปฏิกิริยากับหินจากเปลือกโลก และคิดว่ากระบวนการเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นบนดาวอังคาร เนื่องจากดาวอังคารไม่มีชั้นบรรยากาศหนามาก ดังนั้น สิ่งมีชีวิตใดๆ บนพื้นผิวอาจถูกทำลายจากรังสีของดวงอาทิตย์ ดังนั้น หากเรากำลังมองหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร มันอาจได้รับการคุ้มครองในใต้ผิวดินอย่างใน Tablelands นี้ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเดียวกัน
การวิจัยของ Morrill ยังพบว่า ดินแดน Tablelands อาจมีความลับอีกสองสามอย่าง นั่นคือ หินเหล่านี้มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งจากการศึกษาปัจจุบันที่มหาวิทยาลัย Memorial ชี้ให้เห็นว่า Tablelands สามารถจับและเก็บกัก CO2 ได้ และในอนาคต เพื่อควบคุม CO2 จากชั้นบรรยากาศ หินเหล่านี้อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในการช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
Sarracenia purpurea (ต้นเหยือก) พืชที่กินเนื้อในอุทยานแห่งชาติ Gros Morne
อุทยานแห่งนี้ตั้งชื่อตามภูเขา Gros Morne ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของเกาะ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Long Range Mountain และเป็นจุดหมายการเดินป่ายอดนิยม
Cr.
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
" Tablelands " ดินแดนแห่งจิตวิญญาณของโลก
" Tablelands " เป็นผลมาจากกิจกรรมทางธรณีวิทยากว่าครึ่งพันล้านปี แต่นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นแล้ว อุทยานแห่งนี้ยังได้รับการขนานนามให้เป็น มรดกโลกขององค์การยูเนสโก เนื่องจากมีข้อมูลที่ซับซ้อนทางวิทยาศาสตร์ในอดีต และมีความเป็นไปได้ที่อาจไปสู่โลกอื่น ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งบนโลกที่คุณสามารถมองเห็น "จิตวิญญาณ" (soul) ของโลกได้
นั่นคือ ผิวเปลือกโลก (mantle) ซึ่งเป็นชั้นหินซิลิเกตที่อยู่ลึกใต้เปลือกโลกหลายไมล์ หินประเภทนี้อุดมไปด้วยโลหะที่เป็นพิษและไม่เอื้ออำนวยต่อพืชพันธุ์ส่วนใหญ่ เป็นเหตุให้ Tablelands แห้งแล้งและปราศจากพืชผล แต่ในความเป็นจริงเมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือของอุทยานแห่งชาติ Gros Morne อันเขียวชอุ่ม Tablelands ที่โดดเด่นเป็นพื้นที่ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
โดย Rob Hingston เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Gros Morne National Park กล่าวว่า " สิ่งที่น่าทึ่งของที่นี่ไม่ใช่แค่ที่เห็นเท่านั้น แต่ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีด้วย "
และทัวร์ทางเรือจะนำชมภายใต้หน้าผาที่สูงตระหง่านของฟยอร์ดน้ำจืดที่ถูกกัดเซาะโดยธารน้ำแข็ง น้ำตก ท้องทะเล โขดหิน หาดทราย พื้นที่ราบต่ำที่แห้งแล้ง ป่าไม้ที่ล้อมรอบ และหมู่บ้านชาวประมงที่แปลกตาหลากสีสัน ซึ่งเติมเต็มสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันน่ามหัศจรรย์ของอุทยานแห่งชาติ Gros Morne ของแคนาดา
Tablelands ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านธรณีวิทยาที่ซับซ้อนนี้ เป็นที่ราบสูงสีน้ำตาลแดงที่แห้งแล้ง ซึ่งสูงตระหง่านอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติก
700 เมตร อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขียวชอุ่มและเนินเขาที่ล้อมรอบ ซึ่งที่ผ่านมา มีนักธรณีวิทยาหลายคนเคยเชื่อว่าTablelands เป็นเศษหินหลอม เหลวที่ไหลออกมาจากส่วนลึกของพื้นโลก
อย่างไรก็ตาม Robert Stevens นักธรณีวิทยาอีกคนได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคิดผิด โดย Stevens พบก้อนหินที่มีโครไมต์อายุมากกว่า 485 ล้านปี ซึ่งมีอายุมากกว่าหินอื่นๆ ที่พบในบริเวณนั้นมาก โดยชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้ได้จากการกัดเซาะของ Tablelands ที่ Lobster Cove หมู่บ้านชาวประมงที่อยู่ใกล้เคียง
Cr.ภาพ flickr.com / SHUTTERSTOCK
จากการค้นพบของ Stevens นำไปสู่ความจริงที่ว่า Tablelands เป็นซากของพื้นมหาสมุทรโบราณที่ดำรงอยู่เมื่อห้าร้อยล้านปีก่อน มหาสมุทรนี้เรียกว่า Iapetus ซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือตั้งแต่ Newfoundland ถึงฟลอริดา นอกจากนั้น งานวิจัยของ Dr Alison Leitch นักธรณีฟิสิกส์จาก Memorial University of Newfoundland ยังระบุเพิ่มเติมว่า เมื่อเกือบ 500 ล้านปีก่อน ในขณะที่มหาทวีปแห่ง Pangea เริ่มก่อตัวและมหาสมุทร Iapetus กำลังปิดตัวลง สิ่งนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นอเมริกาเหนือและยุโรปกำลังชนกัน
เมื่อทวีปเคลื่อนตัว เศษของเปลือกโลกมักจะถูกดูดกลืนหรือนำกลับลงไปสู่พื้นโลก แต่ในกรณีนี้ ชิ้นส่วนของผิวเปลือกโลก (Mantle) ที่เคยเป็นพื้นมหาสมุทร ถูกผลักขึ้นเพื่อก่อตัวเป็น Tablelands ภูมิประเทศนี้ยังคงถูกฝังไว้อย่างดีจนกระทั่งเมื่อ 12,000 ปีที่แล้วหลังจากยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย
ผิวเปลือกโลกก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
โดยก่อนหน้าในทศวรรษที่ 1960 การศึกษาเชิงลึกของ Tablelands พบว่าการแปรสัณฐานของแผ่นเปลือกโลกเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ตระหนักว่า หินที่แห้งแล้งที่ปรากฏจากป่าทึบของ Gros Morne ที่จริงแล้วเป็นชิ้นส่วนของเปลือกโลกที่แตกหัก จึงเป็นการช่วยพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่าโลกถูกปกคลุมด้วยแผ่นเปลือกโลก
แม้ว่าทุกทวีปมีชิ้นส่วนของ Mantle แต่หลายแห่งไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเหมือน Tablelands ซึ่ง Dr Penny Morrill ศาสตราจารย์ประจำแผนก
Earth Science ของมหาวิทยาลัย Memorial ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับ ophiolites (ชิ้นส่วนของ Mantle) ที่เผยให้เห็นไปทั่วโลก และตอนนี้มุ่งเน้นไปที่
ภูมิทัศน์นอกโลกของที่นี่ โดยกล่าวว่า หินเหล่านี้มีโลหะที่มีความเข้มข้นสูงที่พืชบางชนิดพบว่าเป็นพิษ โดยอธิบายว่าพืชส่วนใหญ่จะเหี่ยวแห้งไปในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงเช่นนี้
ดังนั้น วิธีหนึ่งที่พืชสามารถอยู่รอดได้ในที่ที่ไม่มีสารอาหารก็คือ มันกลายเป็นพืชกินเนื้อ โดยจับแมลงเป็นอาหาร พืชชนิดนี้สามารถพบได้ตามเส้นทาง Tablelands Trail ระยะทาง 4 กม.ได้แก่ pitcher plant ดอกไม้ประจำจังหวัด Newfoundland และ Labrador พืชสีม่วงที่กินเนื้อนี้ตั้งหัวไว้บนลำต้นยาว แสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดในฐานะหนึ่งในสิ่งมีชีวิตไม่กี่แห่งใน Tablelands
การเยี่ยมชม Tablelands อาจรู้สึกเหมือนการเดินทางไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น นอกเหนือจากแร่ธาตุที่เป็นพิษและภูมิประเทศของมนุษย์ต่างดาวแล้ว
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามุมที่ห่างไกลของโลกนี้สามารถสอนบางสิ่งเกี่ยวกับชีวิตบนดาวอังคารให้เราได้ โดยส่วนหนึ่งของการวิจัยของ Morrill เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบว่าชีวิตอยู่รอดใน Tablelands ได้อย่างไร ซึ่งอาจให้เบาะแสกับเราว่าหากบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิต มันจะอยู่ได้อย่างไรด้วย
ในท้องถิ่นจะไม่ได้รับสารอาหารที่เรามักจะเห็นการดำรงชีวิต แต่กินคาร์บอนมอนอกไซด์และองค์ประกอบที่เป็นพิษอื่นๆ เธอเชื่อว่านี่เป็นผลมาจากกระบวนการใต้ดินที่เรียกว่า "serpentinisation"
สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อน้ำทำปฏิกิริยากับหินจากเปลือกโลก และคิดว่ากระบวนการเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นบนดาวอังคาร เนื่องจากดาวอังคารไม่มีชั้นบรรยากาศหนามาก ดังนั้น สิ่งมีชีวิตใดๆ บนพื้นผิวอาจถูกทำลายจากรังสีของดวงอาทิตย์ ดังนั้น หากเรากำลังมองหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร มันอาจได้รับการคุ้มครองในใต้ผิวดินอย่างใน Tablelands นี้ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเดียวกัน
การวิจัยของ Morrill ยังพบว่า ดินแดน Tablelands อาจมีความลับอีกสองสามอย่าง นั่นคือ หินเหล่านี้มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งจากการศึกษาปัจจุบันที่มหาวิทยาลัย Memorial ชี้ให้เห็นว่า Tablelands สามารถจับและเก็บกัก CO2 ได้ และในอนาคต เพื่อควบคุม CO2 จากชั้นบรรยากาศ หินเหล่านี้อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในการช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้