ตอนนี้เราอยู่ปี1ค่ะ เพิ่งเปิดเทอมมาไม่นาน เราเลือกเรียนเอกญี่ปุ่น
ขอเท้าความก่อนว่าตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนเราเลือกสายญี่ปุ่น ตลอดมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายและเริ่มจริงจังกับอนาคตของตัวเองมากขึ้นว่าจะไปต่อยังไง เราไม่รู้อะไรเลยค่ะว่าตัวเองต้องการจะทำอะไรเรียนอะไร เพราะตั้งแต่เด็กมาพ่อแม่ไม่เคยสนับสนุนพรสวรรค์ของเราจนในที่สุดพรสวรรค์นั้นมันก็หายไป เห็นแค่ว่าเราโง่อังกฤษโง่เลขที่เป็นวิชาพื้นฐานก็จับเรียนกวดวิชา ด้วยความที่พ่อเป็นคนญี่ปุ่น(พ่อพูดไทยกับเรามาตลอดความรู้ภาษาญี่ปุ่นเราเลยไม่ได้เก่งค่ะ)ก็เลยต้องเลือกเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่น(ที่โรงเรียนมีให้เลือกระหว่างจีนกับญี่ปุ่น)ไปโดยปริยาย เราไม่มีความคิด เป้าหมาย หรืออะไรเลยสุดท้ายพอขึ้นมัธยมปลายก็เลยได้เลือกเรียนสายมนุษย์ภาษาญี่ปุ่น เวลาผ่านไปเราขึ้นม.4 ม.5 ทำแต่งานแล้วก็เรียน ดองบ้างขี้เกียจบ้างขยันบ้าง
จนขึ้นม.6เราเริ่มจริงจังคือต้องมีอนาคตแล้วจะล่องลอยไม่ได้ เล่นๆเดี๋ยวค่อยคิดเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วเพราะจะเข้ามหาลัยแล้ว เราก็คิดๆดูๆไปค่ะ จนไปสนใจเรื่องการไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนั้นเราเริ่มหาข้อมูล เริ่มมีแผนในใจว่าอยากไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นสักสองปีแล้วเข้ามหาวิทยาลัยญี่ปุ่น พอไปปรึกษาพ่อก็จบเลยค่ะ พ่อบอกเงินไม่พอหรอก แต่คือตอนนั้นเราก็มั่นใจแล้วแน่ๆว่าเรามีความต้องการที่จะไปตปท.แน่ๆ เราก็ซึมไปช่วงนึงเลยค่ะ แต่ก็ไปเจอสิ่งที่น่าสนใจคือการทำAusbildungที่เยอรมัน พอดูแล้วด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่างเยอรมันเป็นประเทศที่ดีประเทศนึงเลยค่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันตรงกับความต้องการของเราจริงๆ บวกกับเราอยากเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบสิ่งที่ตัวเองสนใจ ได้ทำงานที่ตัวเองชอบจริงๆ ไม่ชอบระบบแบบมหาวิทยาลัยที่ต้องเรียนวิชาอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย แล้วก็มีแต่งานเป็นชิ้นๆ เขียนๆ พิมพ์ๆ กิจกรรมน่าเบื่อหลายๆอย่าง(อาจจะเพราะมันเป็นรูปแบบออนไลน์เลยน่าเบื่อรึเปล่าอันนี้เราก็ไม่รู้ค่ะ) แล้วสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือเราเริ่มจะรู้ตัวมาสักพักว่าไม่ได้ชอบภาษาญี่ปุ่นแต่เป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่างทำให้เราไม่สามารถเลือกอย่างอื่นได้นอกจากญี่ปุ่น มันเป็นทางเลือกเดียวของเรามาตลอด เรารู้ตัวแล้วว่าเป้าหมายเราคืออะไรตอนใกล้จบม.6ค่ะ แต่ตอนนั้นเราก็สมัครTCASรอบ2 โควตาเอกญี่ปุ่นไปแล้ว พอปิดเทอมเราขอพ่อสมัครคอร์สเรียนภาษาเยอรมันค่ะ หลังจากนั้นผลก็ออกเราได้โควตา
เปิดเทอมมาได้ประมาณ3สัปดาห์ แรกๆก็ไม่มีอะไรมากค่ะทำกิจกรรมน่าเบื่อแบบออนไลน์ แล้วก็เรียนแบบเบื่อๆ แต่เพื่อนๆก็โอเคนะคะถึงจะไม่ได้สนิท แต่เรารู้สึกเจอวิชาที่น่าเบื่อ(ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐาน)ทั้งเรื่องที่เรียนแล้วก็รำคาญคนสอนค่ะ ไม่อยากจะว่าเลยแต่อาจารย์ดูเป็นคนเรื่องเยอะมาก เคร่งมาก จนเหมือนสร้างกำแพงให้ความสัมพันธ์เป็นทางการมากๆ เรื่องเยอะมากจนไม่สะดวกใจที่จะถามสิ่งที่สงสัยหรือคุยด้วยแล้วค่ะ คนละขั้วกับอาจารย์อีกคนนึงที่สอนภาษาญี่ปุ่นเหมือนกันแต่เป็นคนละเรื่อง อาจารย์คนนี้ดูเป็นกันเอง สอนดี บวกกับปัจจัยหลายๆอย่างทำให้เรารู้สึกสบายใจจะเรียนด้วยมากที่สุดจากบรรดาวิชาในตารางทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีเรื่องให้รู้สึกไม่ดีกับอาจารย์คนนี้มั้ย เพราะมันเป็นอีกปัจจัยสำคัญอย่างนึงที่เหลืออยู่ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรายังอดทนต่อไปได้อยู่อะค่ะ
นอกจากนี้คือ มีเรื่องช่วงตอนปิดเทอมอะค่ะ ด้วยความที่ปีก่อนเราสอบJLPTผ่านระดับN3มาแบบเหมือนจะดวงช่วย เราก็เลยพยายามเรียนN2ต่อ แต่เรียนไปเรียนมาเราก็รุ้สึกว่าเราเกลียดภาษาญี่ปุ่นจริงๆค่ะ บางทีก็ขยะแขยงหยังสือ รู้สึกอยากจะอ้วก พยายามจะเก่งแล้ว พยายามจะทำดีแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ นั่งคิดไปยิ่งรู้สึกแย่ ทำไมเราไม่เหมือนเด็กลูกครึ่งคนอื่นที่เขาเก่งสองภาษาเพราะการพ่อหรือแม่เขาที่เป็นคนต่างชาติสื่อสารกับเขาด้วยภาษานั้นๆมาตั้งแต่เด็ก พรสวรรค์ที่เราเคยมีตอนเด็กๆ อาจารย์เคยเอาไปบอกพ่อแม่ว่าควรสนับสนุนเรากลับไม่สนใจ เอาแต่ยัดในสิ่งที่เราไม่ชอบ บังคับเราเรียน ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองโง่ แถมยังไม่เคยให้กำลังใจแบบจริงใจเลย ด้วยระบบการศึกษาของไทยที่ห่วยแตกอีก ทำให้เราไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิต หลายครั้งที่เราได้หยิบจับทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองชอบ พ่อกลับทำเหมือนมันเป็นขยะ กดดันให้เราเรียน สนใจแต่เกรด ตัวเลข จนสุดท้ายเราเจอความต้องการของตัวเองตอนม.6 แต่ดูเหมือนจะช้าไปหน่อย แล้วตอนม.6เราก็ตรัสรู้ด้วยค่ะว่าความต้องการ และความผ่อนคลาย จะทำให้เราทำบางสิ่งสำเร็จ (เราได้เกรดเฉลี่ยม.6เทอมแรก4.0ค่ะ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เป็นช่วงโควิด การเรียนการสอนเปลี่ยน แต่ยังมีไปโรงเรียนอยู่ แต่เรารู้สึกว่ามันโอเคกว่าตอนไปเรียนทุกวัน เรารู้สึกผ่อนคลาย แล้วช่วงนั้นอยู่ๆเราก็อยากทำเกรดทุกวิชา3.5+ค่ะ เลยตั้งใจเรียนมาก แล้วทุกวิชามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นด้วยแหละค่ะ แค่ทำงานมีคุณภาพ ส่งตรงเวลาอ่านนส.ให้ดีก่อนสอบ พอทำได้ถึงจุดนึงเราโลภก็เลยทำจนสุดแล้วผลก็ออกมาได้เกรด4) แต่นั่นมันทำให้เรารู้ค่ะว่าความต้องการจะทำให้เราทำบางสิ่งสำเร็จซึ่งเราไม่ได้พิศวาสอะไรกับภาษาญี่ปุ่นเลย ไม่มีแรงจูงใจอะไรใดๆในการจะเรียนคณะนี้สาขาวิชานี้ในมหาวิทยาลัยนี้ด้วย ตอนนี้ก็เลยเหมือนเรียนต่อไปภายใต้คำว่าอดทน บางครั้งก็รู้สึกอายนะคะ เป็นลูกครึ่งแท้ๆแต่คนไทยแท้ในเอกเดียวกันเก่งกว่าอีก คือหัวเรามันไม่ได้มากับด้านนี้จริงๆอะค่ะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่เราก็ต้องอดทน ภาษาเยอรมันเราก็ไม่รู้ว่าจะไปรอดมั้ย การเรียนมหาลัยมันบั่นทอนข้างในเราจริงๆอะค่ะ ทั้งไม่ชอบ ทั้งเบื่อ ต้องทนไปตั้ง4ปี
แล้วเราก็ไม่รู้ว่าการเรียนทั้งมหาลัยทั้งกวดวิชาภาษาเยอรมันควบคู่กันไปมันจะไปรอดมั้ย เราไม่อยากให้ความรู้สึกแย่ๆมันมากัดกินความฝันเราที่เราพยายามอยู่ไปด้วยอะค่ะ แต่การแบกรับหลายอย่างบางทีมันก็เหนื่อย อดทนอีกอย่าง พยายามอีกอย่าง(ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปรอดจริงๆมั้ย)
คงไม่มีใครช่วยอะไรได้เพราะเราออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้จริงๆค่ะ มีแต่ต้องทนต่อไป กระทู้นี้ก็เลยอยากจะแค่มาระบายค่ะ เพราะไม่มีคนที่เราจะไปเล่าให้ฟังได้เลย
ุรู้สึกเบื่อการเรียนการสอนของมหาลัย
ขอเท้าความก่อนว่าตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนเราเลือกสายญี่ปุ่น ตลอดมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายและเริ่มจริงจังกับอนาคตของตัวเองมากขึ้นว่าจะไปต่อยังไง เราไม่รู้อะไรเลยค่ะว่าตัวเองต้องการจะทำอะไรเรียนอะไร เพราะตั้งแต่เด็กมาพ่อแม่ไม่เคยสนับสนุนพรสวรรค์ของเราจนในที่สุดพรสวรรค์นั้นมันก็หายไป เห็นแค่ว่าเราโง่อังกฤษโง่เลขที่เป็นวิชาพื้นฐานก็จับเรียนกวดวิชา ด้วยความที่พ่อเป็นคนญี่ปุ่น(พ่อพูดไทยกับเรามาตลอดความรู้ภาษาญี่ปุ่นเราเลยไม่ได้เก่งค่ะ)ก็เลยต้องเลือกเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่น(ที่โรงเรียนมีให้เลือกระหว่างจีนกับญี่ปุ่น)ไปโดยปริยาย เราไม่มีความคิด เป้าหมาย หรืออะไรเลยสุดท้ายพอขึ้นมัธยมปลายก็เลยได้เลือกเรียนสายมนุษย์ภาษาญี่ปุ่น เวลาผ่านไปเราขึ้นม.4 ม.5 ทำแต่งานแล้วก็เรียน ดองบ้างขี้เกียจบ้างขยันบ้าง
จนขึ้นม.6เราเริ่มจริงจังคือต้องมีอนาคตแล้วจะล่องลอยไม่ได้ เล่นๆเดี๋ยวค่อยคิดเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วเพราะจะเข้ามหาลัยแล้ว เราก็คิดๆดูๆไปค่ะ จนไปสนใจเรื่องการไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนั้นเราเริ่มหาข้อมูล เริ่มมีแผนในใจว่าอยากไปเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นสักสองปีแล้วเข้ามหาวิทยาลัยญี่ปุ่น พอไปปรึกษาพ่อก็จบเลยค่ะ พ่อบอกเงินไม่พอหรอก แต่คือตอนนั้นเราก็มั่นใจแล้วแน่ๆว่าเรามีความต้องการที่จะไปตปท.แน่ๆ เราก็ซึมไปช่วงนึงเลยค่ะ แต่ก็ไปเจอสิ่งที่น่าสนใจคือการทำAusbildungที่เยอรมัน พอดูแล้วด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่างเยอรมันเป็นประเทศที่ดีประเทศนึงเลยค่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันตรงกับความต้องการของเราจริงๆ บวกกับเราอยากเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบสิ่งที่ตัวเองสนใจ ได้ทำงานที่ตัวเองชอบจริงๆ ไม่ชอบระบบแบบมหาวิทยาลัยที่ต้องเรียนวิชาอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย แล้วก็มีแต่งานเป็นชิ้นๆ เขียนๆ พิมพ์ๆ กิจกรรมน่าเบื่อหลายๆอย่าง(อาจจะเพราะมันเป็นรูปแบบออนไลน์เลยน่าเบื่อรึเปล่าอันนี้เราก็ไม่รู้ค่ะ) แล้วสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือเราเริ่มจะรู้ตัวมาสักพักว่าไม่ได้ชอบภาษาญี่ปุ่นแต่เป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่างทำให้เราไม่สามารถเลือกอย่างอื่นได้นอกจากญี่ปุ่น มันเป็นทางเลือกเดียวของเรามาตลอด เรารู้ตัวแล้วว่าเป้าหมายเราคืออะไรตอนใกล้จบม.6ค่ะ แต่ตอนนั้นเราก็สมัครTCASรอบ2 โควตาเอกญี่ปุ่นไปแล้ว พอปิดเทอมเราขอพ่อสมัครคอร์สเรียนภาษาเยอรมันค่ะ หลังจากนั้นผลก็ออกเราได้โควตา
เปิดเทอมมาได้ประมาณ3สัปดาห์ แรกๆก็ไม่มีอะไรมากค่ะทำกิจกรรมน่าเบื่อแบบออนไลน์ แล้วก็เรียนแบบเบื่อๆ แต่เพื่อนๆก็โอเคนะคะถึงจะไม่ได้สนิท แต่เรารู้สึกเจอวิชาที่น่าเบื่อ(ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐาน)ทั้งเรื่องที่เรียนแล้วก็รำคาญคนสอนค่ะ ไม่อยากจะว่าเลยแต่อาจารย์ดูเป็นคนเรื่องเยอะมาก เคร่งมาก จนเหมือนสร้างกำแพงให้ความสัมพันธ์เป็นทางการมากๆ เรื่องเยอะมากจนไม่สะดวกใจที่จะถามสิ่งที่สงสัยหรือคุยด้วยแล้วค่ะ คนละขั้วกับอาจารย์อีกคนนึงที่สอนภาษาญี่ปุ่นเหมือนกันแต่เป็นคนละเรื่อง อาจารย์คนนี้ดูเป็นกันเอง สอนดี บวกกับปัจจัยหลายๆอย่างทำให้เรารู้สึกสบายใจจะเรียนด้วยมากที่สุดจากบรรดาวิชาในตารางทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีเรื่องให้รู้สึกไม่ดีกับอาจารย์คนนี้มั้ย เพราะมันเป็นอีกปัจจัยสำคัญอย่างนึงที่เหลืออยู่ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรายังอดทนต่อไปได้อยู่อะค่ะ
นอกจากนี้คือ มีเรื่องช่วงตอนปิดเทอมอะค่ะ ด้วยความที่ปีก่อนเราสอบJLPTผ่านระดับN3มาแบบเหมือนจะดวงช่วย เราก็เลยพยายามเรียนN2ต่อ แต่เรียนไปเรียนมาเราก็รุ้สึกว่าเราเกลียดภาษาญี่ปุ่นจริงๆค่ะ บางทีก็ขยะแขยงหยังสือ รู้สึกอยากจะอ้วก พยายามจะเก่งแล้ว พยายามจะทำดีแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ นั่งคิดไปยิ่งรู้สึกแย่ ทำไมเราไม่เหมือนเด็กลูกครึ่งคนอื่นที่เขาเก่งสองภาษาเพราะการพ่อหรือแม่เขาที่เป็นคนต่างชาติสื่อสารกับเขาด้วยภาษานั้นๆมาตั้งแต่เด็ก พรสวรรค์ที่เราเคยมีตอนเด็กๆ อาจารย์เคยเอาไปบอกพ่อแม่ว่าควรสนับสนุนเรากลับไม่สนใจ เอาแต่ยัดในสิ่งที่เราไม่ชอบ บังคับเราเรียน ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองโง่ แถมยังไม่เคยให้กำลังใจแบบจริงใจเลย ด้วยระบบการศึกษาของไทยที่ห่วยแตกอีก ทำให้เราไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิต หลายครั้งที่เราได้หยิบจับทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองชอบ พ่อกลับทำเหมือนมันเป็นขยะ กดดันให้เราเรียน สนใจแต่เกรด ตัวเลข จนสุดท้ายเราเจอความต้องการของตัวเองตอนม.6 แต่ดูเหมือนจะช้าไปหน่อย แล้วตอนม.6เราก็ตรัสรู้ด้วยค่ะว่าความต้องการ และความผ่อนคลาย จะทำให้เราทำบางสิ่งสำเร็จ (เราได้เกรดเฉลี่ยม.6เทอมแรก4.0ค่ะ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เป็นช่วงโควิด การเรียนการสอนเปลี่ยน แต่ยังมีไปโรงเรียนอยู่ แต่เรารู้สึกว่ามันโอเคกว่าตอนไปเรียนทุกวัน เรารู้สึกผ่อนคลาย แล้วช่วงนั้นอยู่ๆเราก็อยากทำเกรดทุกวิชา3.5+ค่ะ เลยตั้งใจเรียนมาก แล้วทุกวิชามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นด้วยแหละค่ะ แค่ทำงานมีคุณภาพ ส่งตรงเวลาอ่านนส.ให้ดีก่อนสอบ พอทำได้ถึงจุดนึงเราโลภก็เลยทำจนสุดแล้วผลก็ออกมาได้เกรด4) แต่นั่นมันทำให้เรารู้ค่ะว่าความต้องการจะทำให้เราทำบางสิ่งสำเร็จซึ่งเราไม่ได้พิศวาสอะไรกับภาษาญี่ปุ่นเลย ไม่มีแรงจูงใจอะไรใดๆในการจะเรียนคณะนี้สาขาวิชานี้ในมหาวิทยาลัยนี้ด้วย ตอนนี้ก็เลยเหมือนเรียนต่อไปภายใต้คำว่าอดทน บางครั้งก็รู้สึกอายนะคะ เป็นลูกครึ่งแท้ๆแต่คนไทยแท้ในเอกเดียวกันเก่งกว่าอีก คือหัวเรามันไม่ได้มากับด้านนี้จริงๆอะค่ะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่เราก็ต้องอดทน ภาษาเยอรมันเราก็ไม่รู้ว่าจะไปรอดมั้ย การเรียนมหาลัยมันบั่นทอนข้างในเราจริงๆอะค่ะ ทั้งไม่ชอบ ทั้งเบื่อ ต้องทนไปตั้ง4ปี
แล้วเราก็ไม่รู้ว่าการเรียนทั้งมหาลัยทั้งกวดวิชาภาษาเยอรมันควบคู่กันไปมันจะไปรอดมั้ย เราไม่อยากให้ความรู้สึกแย่ๆมันมากัดกินความฝันเราที่เราพยายามอยู่ไปด้วยอะค่ะ แต่การแบกรับหลายอย่างบางทีมันก็เหนื่อย อดทนอีกอย่าง พยายามอีกอย่าง(ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปรอดจริงๆมั้ย)
คงไม่มีใครช่วยอะไรได้เพราะเราออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้จริงๆค่ะ มีแต่ต้องทนต่อไป กระทู้นี้ก็เลยอยากจะแค่มาระบายค่ะ เพราะไม่มีคนที่เราจะไปเล่าให้ฟังได้เลย