สวัสดีค่ะ อยากจะมาเล่าประสบการณ์ การเป็นโควิด และได้เข้ารับการรักษาที่ รพ. ศิครินทร์ ลาซาล นะคะ หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้าง ก็ยังโชคดีที่เป็นก่อน จะมีเดลต้าระบาดใน กทม.
เริ่มคือ เจ็บคอวันจันทร์ที่ 31 พค. คาดว่าน่าจะติดวันที่ 28 พค. เนื่องจากซื้อน้ำเปล่ามา แต่ยังไม่ได้เปิด แล้วขวดน้ำเกิดกลิ้งตกพื้น ที่ รพ. รามา (พาพ่อไปหาหมอ) ความรีบเลยเอาใส่ลงในกระเป๋าคอม แล้วพอถึงบ้านลืมล้างฟอกสบู่ เอาใส่ตู้เย็น และเปิดดื่มเลย (การ์ดตกมากๆ)
จากนั้นเริ่มมีไข้ในวันที่ 1 มิย. ประมาณ 37.5 - 38.X ปวดหัวนิดหน่อยไม่มาก ก็เลยกินพาราทุก 6 ชม. ไม่ได้ไปหาหมอ แต่ไม่ดีขึ้น วันรุ่งขึ้น (2 มิย.) จึงไปหาหมอที่แผนก ประกันสังคม รพ ศิครินทร์ ตอนคัดกรองก็แจ้งตอบตามคำถามว่าไม่ได้ใกล้ชิดคนป่วยโควิด อะไรประมาณนี้ วัดไข้ มีไข้ วัด O2 ต่ำ คุณพยาบาลเลยให้หายใจลึกๆ ก็กลับขึ้นมาเป็น 95 ก็เลยผ่าน ตอนพบหมอ ไม่สั่งตรวจ swab test ลงใบรับรองแพทย์ว่า คออักเสบ
วันที่ 3 -4 มิย. อาการไม่ดีขึ้นเลย สูญเสียการรับรู้กลิ่น และรสชาติ (ขมคอ)
พอวันที่ 5 มิย. จึงไป ศิครินทร์ อีกครั้งนึง คุณหมอคนละคนกับครั้งแรก ให้อ้าปากดูลำคอด้วย (คิดในใจ กล้าจัง) แล้วสั่งตรวจเลือด, xray ปอด, และ Swab test
วันที่ 6 มิย. ตอนสายๆ พยาบาลโทรมาบอกผล ว่าเป็นโควิด แล้วก็ถาม timeline ถามใกล้ชิดกับใครบ้าง ที่บ้านอยู่กี่คน ไปที่ทำงานครั้งสุดท้ายวันไหน สักพักก็มีคนของเขตโทรมาถามคล้ายกัน พยาบาลบอกให้เก็บเสื้อผ้า 14 วัน เอาอาหารแห้งที่ชอบกินไปด้วยก็ได้ ตอนบ่ายจะมีรถตู้มารับ และแจ้งให้สามีไปทำ swab test ก็เลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวติดรถสามีไป รพ. เลย เขาบอกว่าให้แยกกันไป ให้เรารอรถมารับ
พอเรามาถึง รพ ก็ให้ xray ปอด อีกครั้งนึง วันนั้นมีทั้งหมด 6 คน ใครที่ยังไม่ลงปอด จะให้ไปอยู่ที่ hospitel ชื่อ Twin tower ที่พระรามหก ส่วนคนที่ไวรัสลงปอดแล้ว จะอยู่ รพ. ของเรา ไวรัสก็ลงปอดไปเรียบร้อย ยังไม่มีเตียงด้วย เลยไปฝากห้อง ICU 3-4 ชั่วโมง พยาบาลก็สอบถามอาการ ให้ยาแก้ไอ ให้อาหารเย็น เอาปรอทวัดไข้ กับที่วัด O2 ให้ และใช้ระบบโทรมาสอบถามค่าที่วัดได้ เขาบอกให้นอนคว่ำเยอะๆ
จากนั้น พอมีเตียง ก็เอาไปส่งที่ห้องพัก เราได้ห้องที่มี 3 เตียง ที่หน้าห้องจะมีโต๊ะ เขาจะเอายา อาหาร เสื้อผ้า มาวางไว้ คนไข้ก็เดินไปหยิบเอา จะไม่ค่อยเจอพยาบาลค่ะ ใช้อินเตอร์คอม ส่วนคุณหมอจะโทรมาถามอาการทุกวัน กับคนไข้ทุกคน
เท่าที่ดู ที่นี่จะมีขั้นตอนที่แน่นอนในการรักษา คือ วันแรกจะกินยา Favipiravir 200 mg. 9 เม็ด ยานี้จะกินตอน 6:00 กับ 18:00 สองเวลา วันถัดมาอีก 4 วัน จะกินมื้อละ 4 เม็ด ต่อจากนั้นคุณหมอจะให้ยาเข้าสายน้ำเกลือ อีก 3 วัน ส่วนยาอื่นๆตามอาการ ยาต้านไวรัสนี้กินแล้ว น้ำตาลในเลือดจะสูง เป็นทุกคน สูงมาก สูงน้อย พยาบาลจะมาเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจน้ำตาล เช้า-เย็น
เข้าวันที่สามเราป่วยมาก ข้าวก็กินไม่ลง ตอนมืดๆ เขาก็ให้ย้ายห้อง จากตึก ปกส ขึ้นไปอยู่ห้องตึกผู้ป่วยดีดีเลย พยาบาลจะเดินพาไป แยกลิฟต์ เขาจะบอกว่า เดี๋ยวเขาขึ้นไปก่อน จากนั้นให้ตามขึ้นไป คือ ไม่เข้าในลิฟต์พร้อมกัน
นี่ห้องเราดูไฮโซ นอน 2 คน
เพื่อนห้องนี้ อยู่ด้วยกันคืนเดียว เขาบอกเขาอยู่ รพ. มา 9 วันแล้ว ตอนเข้ามา ก็มาห้องนี้เลย เราจึงคิดว่า เตียงเริ่ม tight มากแล้ว ตอนเขากลับบ้านไปแล้ว สักพักนึงแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดยกใหญ่ ส่วนอาการเราเป็นหนักขึ้น ค่า O2 ก็ต่ำตมสุดๆ
จนกระทั่งเขาต้องเอา สายอ๊อกซิเจนมาให้ ค่อยยังชั่วหน่อย อย่าว่าแต่ลุกไปห้องน้ำเลย ขยับๆพลิกๆบนเตียงยังเหนื่อย ก็พยามนอนคว่ำให้เยอะ แต่ก็เมื่อยนะ
จากนั้นเพื่อนใหม่มาเลย เตียงจะมีคนใหม่เข้าตลอดทันที คนนี้เป็นเด็ก อายุ 26 ปี เค้าอาการไม่รุนแรงเท่าเรา พยาบาลเลยให้เค้าช่วยเอาอาหาร ยา หน้าห้องให้เราด้วย ยิ่งอยู่อาการเรายิ่งหนัก คือเหนื่อยมากๆ ของเราต้องฉีดอินซูลินที่รอบสะดือด้วย ได้ยาขับปัสสาวะ และตวงน้ำดื่ม ตวงปัสสาวะ จุดนี้แหล่ะพี้ค คือ ลุกไปห้องน้ำ ตอนกลางคืน ก็ต้องถอดสายอ๊อก ไปถึงห้องน้ำ วูบ ล้ม หัวโน พยาบาลได้ยินเสียงล้มโครมครามก็เข้ามาช่วย ทั้งที่ไม่ได้ใส่ PPE เราสงสารเค้ามากๆ กลัวเค้าติด เราล้ม วูบ ทั้งหมด 3 ครั้ง จนเค้าบอกว่าห้ามลุกไปเอง ต้องกดเรียกเค้าเท่านั้น แล้วพยาบาลคนนึงก็บอกว่าให้อดทน แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน (น้ำตาไหลเลย)
เราติดเชื้อที่ปอดรุนแรง เขาบอกว่านอนคว่ำตลอดเลยนะ ไม่งั้นจะต้องส่งไปข้างล่าง สอดท่อ เราก็บอกว่า ไม่เอาๆ ตอนนั้นเราอยากตายไปเลย
น้องคนอายุ 26 ปี เพื่อนเตียงข้างๆ จู่ๆ ให้เก็บของเพื่อย้ายขึ้นไปอยู่ชั้น 6 พยาบาลบอกว่ามีคนไข้ต้องใช้ O2 จะให้อยู่ชั้นนี้ สักพักแม่บ้านคนเดิม มาทำความสะอาด ได้ยินเขาพูดกัน แม่บ้านไม่ได้กลับบ้านมาเดือนนึงแล้ว
เพื่อนใหม่เราคราวนี้เป็นคนพม่า พยาบาลก็พูดดีกับคนไข้ทุกคน ทุกเชื้อชาติ อ้อ.. คุณหมอจะให้เจาะเลือด กับ xray ปอดทุก 3 วัน พอเราถึงวันที่ 9 ของการรักษา เราก็โทรให้สามีมารอรับเลย สามีมาตั้งแต่เช้า กว่าหมอจะโทรมาบอกให้กลับบ้านได้ กว่าจะ fax เคลมประกัน เพราะเราใช้ประกันสุขภาพกลุ่มของบริษัท ควบคู่กับ ปกส 9 วัน ตามบิล ก็ประมานแสนสอง แต่ไม่ต้องจ่ายเลยสักบาท บอกเลยว่า รพ. นี้ ให้บริการผู้ป่วยเท่าเทียมกันทั้งคนพม่า คนไทย และไม่ว่าคุณจะมีแค่ประกันพื้นฐาน คือ ปกส หรือมีประกันสุขภาพด้วย ทุกๆอย่างจะได้เหมือนกันหมด
ตอนจะกลับบ้าน หมอบอกว่า ปอดเราถึงยังมีเชื้อ แต่น้อย โอกาสที่จะแพร่ไปให้คนอื่นน้อยมากๆ ให้กักแยกตัว แยกของใช้ แยกห้องน้ำ กับคนที่อยู่บ้านเดียวกัน ซึ่ง เรากับสามี ทำได้ เราจึงดีใจที่ได้กลับมาบ้าน
สรุปว่า ศิครินทร์ เป็น รพ ที่มีมาตรฐาน มี procedure ของการรักษาที่ชัดเจน อยู่ 9 วัน อาการดีแล้ว หรือค่อยยังชั่ว (แบบเรา) ก็ให้กลับบ้านได้ ไปกินยาต่อ โดยต้อง quarantine 14 วัน แล้วนัด 7 วันมา Follow up ต้องขอขอบคุณ คุณพยาบาล คุณหมอ แม่บ้าน และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ต้องเหนื่อยมากๆ ในการดูแลคนไข้
รีวิว รพ. ศิครินทร์ รักษาโควิด
เริ่มคือ เจ็บคอวันจันทร์ที่ 31 พค. คาดว่าน่าจะติดวันที่ 28 พค. เนื่องจากซื้อน้ำเปล่ามา แต่ยังไม่ได้เปิด แล้วขวดน้ำเกิดกลิ้งตกพื้น ที่ รพ. รามา (พาพ่อไปหาหมอ) ความรีบเลยเอาใส่ลงในกระเป๋าคอม แล้วพอถึงบ้านลืมล้างฟอกสบู่ เอาใส่ตู้เย็น และเปิดดื่มเลย (การ์ดตกมากๆ)
จากนั้นเริ่มมีไข้ในวันที่ 1 มิย. ประมาณ 37.5 - 38.X ปวดหัวนิดหน่อยไม่มาก ก็เลยกินพาราทุก 6 ชม. ไม่ได้ไปหาหมอ แต่ไม่ดีขึ้น วันรุ่งขึ้น (2 มิย.) จึงไปหาหมอที่แผนก ประกันสังคม รพ ศิครินทร์ ตอนคัดกรองก็แจ้งตอบตามคำถามว่าไม่ได้ใกล้ชิดคนป่วยโควิด อะไรประมาณนี้ วัดไข้ มีไข้ วัด O2 ต่ำ คุณพยาบาลเลยให้หายใจลึกๆ ก็กลับขึ้นมาเป็น 95 ก็เลยผ่าน ตอนพบหมอ ไม่สั่งตรวจ swab test ลงใบรับรองแพทย์ว่า คออักเสบ
วันที่ 3 -4 มิย. อาการไม่ดีขึ้นเลย สูญเสียการรับรู้กลิ่น และรสชาติ (ขมคอ)
พอวันที่ 5 มิย. จึงไป ศิครินทร์ อีกครั้งนึง คุณหมอคนละคนกับครั้งแรก ให้อ้าปากดูลำคอด้วย (คิดในใจ กล้าจัง) แล้วสั่งตรวจเลือด, xray ปอด, และ Swab test
วันที่ 6 มิย. ตอนสายๆ พยาบาลโทรมาบอกผล ว่าเป็นโควิด แล้วก็ถาม timeline ถามใกล้ชิดกับใครบ้าง ที่บ้านอยู่กี่คน ไปที่ทำงานครั้งสุดท้ายวันไหน สักพักก็มีคนของเขตโทรมาถามคล้ายกัน พยาบาลบอกให้เก็บเสื้อผ้า 14 วัน เอาอาหารแห้งที่ชอบกินไปด้วยก็ได้ ตอนบ่ายจะมีรถตู้มารับ และแจ้งให้สามีไปทำ swab test ก็เลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวติดรถสามีไป รพ. เลย เขาบอกว่าให้แยกกันไป ให้เรารอรถมารับ
พอเรามาถึง รพ ก็ให้ xray ปอด อีกครั้งนึง วันนั้นมีทั้งหมด 6 คน ใครที่ยังไม่ลงปอด จะให้ไปอยู่ที่ hospitel ชื่อ Twin tower ที่พระรามหก ส่วนคนที่ไวรัสลงปอดแล้ว จะอยู่ รพ. ของเรา ไวรัสก็ลงปอดไปเรียบร้อย ยังไม่มีเตียงด้วย เลยไปฝากห้อง ICU 3-4 ชั่วโมง พยาบาลก็สอบถามอาการ ให้ยาแก้ไอ ให้อาหารเย็น เอาปรอทวัดไข้ กับที่วัด O2 ให้ และใช้ระบบโทรมาสอบถามค่าที่วัดได้ เขาบอกให้นอนคว่ำเยอะๆ
จากนั้น พอมีเตียง ก็เอาไปส่งที่ห้องพัก เราได้ห้องที่มี 3 เตียง ที่หน้าห้องจะมีโต๊ะ เขาจะเอายา อาหาร เสื้อผ้า มาวางไว้ คนไข้ก็เดินไปหยิบเอา จะไม่ค่อยเจอพยาบาลค่ะ ใช้อินเตอร์คอม ส่วนคุณหมอจะโทรมาถามอาการทุกวัน กับคนไข้ทุกคน
เท่าที่ดู ที่นี่จะมีขั้นตอนที่แน่นอนในการรักษา คือ วันแรกจะกินยา Favipiravir 200 mg. 9 เม็ด ยานี้จะกินตอน 6:00 กับ 18:00 สองเวลา วันถัดมาอีก 4 วัน จะกินมื้อละ 4 เม็ด ต่อจากนั้นคุณหมอจะให้ยาเข้าสายน้ำเกลือ อีก 3 วัน ส่วนยาอื่นๆตามอาการ ยาต้านไวรัสนี้กินแล้ว น้ำตาลในเลือดจะสูง เป็นทุกคน สูงมาก สูงน้อย พยาบาลจะมาเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจน้ำตาล เช้า-เย็น
เข้าวันที่สามเราป่วยมาก ข้าวก็กินไม่ลง ตอนมืดๆ เขาก็ให้ย้ายห้อง จากตึก ปกส ขึ้นไปอยู่ห้องตึกผู้ป่วยดีดีเลย พยาบาลจะเดินพาไป แยกลิฟต์ เขาจะบอกว่า เดี๋ยวเขาขึ้นไปก่อน จากนั้นให้ตามขึ้นไป คือ ไม่เข้าในลิฟต์พร้อมกัน
นี่ห้องเราดูไฮโซ นอน 2 คน
เพื่อนห้องนี้ อยู่ด้วยกันคืนเดียว เขาบอกเขาอยู่ รพ. มา 9 วันแล้ว ตอนเข้ามา ก็มาห้องนี้เลย เราจึงคิดว่า เตียงเริ่ม tight มากแล้ว ตอนเขากลับบ้านไปแล้ว สักพักนึงแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดยกใหญ่ ส่วนอาการเราเป็นหนักขึ้น ค่า O2 ก็ต่ำตมสุดๆ
จนกระทั่งเขาต้องเอา สายอ๊อกซิเจนมาให้ ค่อยยังชั่วหน่อย อย่าว่าแต่ลุกไปห้องน้ำเลย ขยับๆพลิกๆบนเตียงยังเหนื่อย ก็พยามนอนคว่ำให้เยอะ แต่ก็เมื่อยนะ
จากนั้นเพื่อนใหม่มาเลย เตียงจะมีคนใหม่เข้าตลอดทันที คนนี้เป็นเด็ก อายุ 26 ปี เค้าอาการไม่รุนแรงเท่าเรา พยาบาลเลยให้เค้าช่วยเอาอาหาร ยา หน้าห้องให้เราด้วย ยิ่งอยู่อาการเรายิ่งหนัก คือเหนื่อยมากๆ ของเราต้องฉีดอินซูลินที่รอบสะดือด้วย ได้ยาขับปัสสาวะ และตวงน้ำดื่ม ตวงปัสสาวะ จุดนี้แหล่ะพี้ค คือ ลุกไปห้องน้ำ ตอนกลางคืน ก็ต้องถอดสายอ๊อก ไปถึงห้องน้ำ วูบ ล้ม หัวโน พยาบาลได้ยินเสียงล้มโครมครามก็เข้ามาช่วย ทั้งที่ไม่ได้ใส่ PPE เราสงสารเค้ามากๆ กลัวเค้าติด เราล้ม วูบ ทั้งหมด 3 ครั้ง จนเค้าบอกว่าห้ามลุกไปเอง ต้องกดเรียกเค้าเท่านั้น แล้วพยาบาลคนนึงก็บอกว่าให้อดทน แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน (น้ำตาไหลเลย)
เราติดเชื้อที่ปอดรุนแรง เขาบอกว่านอนคว่ำตลอดเลยนะ ไม่งั้นจะต้องส่งไปข้างล่าง สอดท่อ เราก็บอกว่า ไม่เอาๆ ตอนนั้นเราอยากตายไปเลย
น้องคนอายุ 26 ปี เพื่อนเตียงข้างๆ จู่ๆ ให้เก็บของเพื่อย้ายขึ้นไปอยู่ชั้น 6 พยาบาลบอกว่ามีคนไข้ต้องใช้ O2 จะให้อยู่ชั้นนี้ สักพักแม่บ้านคนเดิม มาทำความสะอาด ได้ยินเขาพูดกัน แม่บ้านไม่ได้กลับบ้านมาเดือนนึงแล้ว
เพื่อนใหม่เราคราวนี้เป็นคนพม่า พยาบาลก็พูดดีกับคนไข้ทุกคน ทุกเชื้อชาติ อ้อ.. คุณหมอจะให้เจาะเลือด กับ xray ปอดทุก 3 วัน พอเราถึงวันที่ 9 ของการรักษา เราก็โทรให้สามีมารอรับเลย สามีมาตั้งแต่เช้า กว่าหมอจะโทรมาบอกให้กลับบ้านได้ กว่าจะ fax เคลมประกัน เพราะเราใช้ประกันสุขภาพกลุ่มของบริษัท ควบคู่กับ ปกส 9 วัน ตามบิล ก็ประมานแสนสอง แต่ไม่ต้องจ่ายเลยสักบาท บอกเลยว่า รพ. นี้ ให้บริการผู้ป่วยเท่าเทียมกันทั้งคนพม่า คนไทย และไม่ว่าคุณจะมีแค่ประกันพื้นฐาน คือ ปกส หรือมีประกันสุขภาพด้วย ทุกๆอย่างจะได้เหมือนกันหมด
ตอนจะกลับบ้าน หมอบอกว่า ปอดเราถึงยังมีเชื้อ แต่น้อย โอกาสที่จะแพร่ไปให้คนอื่นน้อยมากๆ ให้กักแยกตัว แยกของใช้ แยกห้องน้ำ กับคนที่อยู่บ้านเดียวกัน ซึ่ง เรากับสามี ทำได้ เราจึงดีใจที่ได้กลับมาบ้าน
สรุปว่า ศิครินทร์ เป็น รพ ที่มีมาตรฐาน มี procedure ของการรักษาที่ชัดเจน อยู่ 9 วัน อาการดีแล้ว หรือค่อยยังชั่ว (แบบเรา) ก็ให้กลับบ้านได้ ไปกินยาต่อ โดยต้อง quarantine 14 วัน แล้วนัด 7 วันมา Follow up ต้องขอขอบคุณ คุณพยาบาล คุณหมอ แม่บ้าน และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ต้องเหนื่อยมากๆ ในการดูแลคนไข้