หมดรักภรรยาทั้งที่เพิ่งแต่งงานกันมา

ก่อนอื่นต้องขออภัยนะครับถ้าแท็กผิดกลุ่ม

เรากับภรรยาเพิ่งแต่งงานกันมาได้ไม่ถึงปีจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย ช่วงแรกก็รักกันดีแต่ช่วงหลังรู้ตัวว่าความรู้สึกของเราเริ่มดรอปลงไปเยอะมากทั้งที่เพิ่งแต่งงานกันมา

เริ่มจากครั้งแรกที่เราแต่งเพราะมีความกดดันทางครอบครัวที่อยากให้รีบแต่งเพราะเราทั้งคู่อายุมากแล้วครับ ซึ่งในตอนก่อนแต่งก็มีการพูดคุยกันและตกลงแนวทางการอยู่กันแล้ว แต่พอแต่งมาแล้วก็มีเรื่องเปลี่ยนทำให้หนักใจหลายอย่าง เรื่องแรกคือภรรยาเข้ากับแม่เราไม่ได้ แม่เราชอบคนอ่อนน้อมแต่ภรรยาเป็นคนพูดจาแข็งๆห้วนๆ (ซึ่งก่อนแต่งจะอ่อนน้อมกว่าตอนนี้)  ต่อมาก็มีปัญหาเรื่องที่อยู่สร้างครอบครัว แม่เราอยากให้อยู่ในบ้านเดียวกันเป็นครอบครัวใหญ่  แต่ภรรยาพอได้มาอยู่ร่วมกันแล้วก็อยากแยกออกไปอยู่เองเพราะอึดอัด  เราก็ห่วงแม่เพราะแม่เราสุขภาพไม่ดีเราอยากอยู่ใกล้ๆให้กำลังใจแม่ แต่ภรรยาเราเขามองว่าแม่เราดีมานด์สูงไป เราเป็นคนกลางก็ลำบากใจ

อีกเรื่องคือเรื่องเงิน ตอนก่อนแต่งเราเปิดบัญชีร่วมกันตกลงกันแล้วว่าจะเอาเงินสินสอดไปใส่ไว้เพื่อเก็บไว้ให้ลูกในอนาคต (ตอนนี้ยังไม่มี) แต่พอหลังงานแต่งแล้วแม่ของภรรยาก็เก็บเอาเงินสดไปหมดบอกจะเก็บไว้ให้เอง พอเราทวงถามทางนั้นก็บ่ายเบี่ยงไม่เอาเงินมาใส่คืนในบัญชีให้  เราก็ไม่อยากคาดคั้น เรามีแพลนอยากซื้อบ้านหาที่อยู่ เราขอสเตทเม้นกับสลิปเงินเดือนของภรรยาเพื่อเอาไปคุยเรื่องเครดิตกู้บ้านกับแบงค์ (ยังไม่ได้ระบุว่าจะซื้อ แค่เช็คเครดิตว่ารวมกันกู้ได้ประมาณเท่าไร)  ซึ่งเราก็บอกชัดเจนแล้วว่ายังไม่ได้กู้แค่เอาไปประเมิน แต่ภรรยาเราปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าไม่สบายใจ ...ซึ่งเราก็อึ้งไปว่าแต่งงานจดทะเบียนกันแล้วทำไมแค่สเตทเม้นแชร์ให้กันไม่ได้ เรื่องทรัพย์สินรายได้ของเราเราบอกเขาหมดไม่เคยปิด ถึงตอนนี้ยังอยู่กันแบบแยกกระเป๋า 

สุดท้ายเรื่องลูก ตอนแรกเราสองคนแพลนว่าอยากมีลูก ลองมีแบบธรรมชาติแล้วไม่สำเร็จก็ไปหาหมอทำเด็กหลอดแก้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ภรรยาบอกว่าจากผลตรวจนั้นสาเหตุเป็นเพราะเรา พูดทีเล่นทีจริงบ้างแต่ย้ำหลายรอบซึ่งเราก็เสียใจอยู่ลึกๆ  พอเราเริ่มหายยุ่งจากทำงานก็เลยได้ไปคุยกับหมออีกที่เอาผลตรวจให้ดู ปรากฏว่าหมออีกที่บอกว่าเชื้อเราก็เข้าข่ายปกตินะส่วนตัวเลขที่ดูต่ำนั้นไม่ได้มีผลกระทบมาก ไม่ได้มีปัญหาถึงขนาดมีลูกไม่ได้ที่จริงแล้วปัญหาแบบนี้มักเกิดจากฝ่าย ญ ที่มีอายุมากขึ้นแล้วมากกว่า  พอได้ฟังแล้วเราเสียความรู้สึกไปเลยเพราะที่ผ่านมาเราคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะเรา 

พอเรื่องหลายๆเรื่องแบบนี้มารวมกันก็กลายเป็นความไม่ไว้ใจ ช่วงโควิดงานเรามีปัญหาต้องทำงานหนักขึ้น แล้วตอนเย็นก็ต้องกลับมาดูแม่ พอแม่หลับก็ต้องขับรถกลับไปอยู่กับภรรยา ซึ่งพอไปถึงก็เหนื่อยอยากอาบน้ำนอนแล้ว ทำงานเหนื่อยกลับบ้านก็เหนื่อยใจก็ยิ่งหมดความรู้สึก ถ้ามีเวลาว่างเรากลับอยากนอนนิ่งๆอยู่คนเดียวมากกว่า ภรรยาเราเหมือนเขาก็รู้สึกได้ เขาก็กลับมาทำดีพูดดีกับเรามากขึ้นแต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหา จนเราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีลูกแล้วมันเบื่อหน่ายไปหมด อยากอยู่อย่างสงบ

ส่วนนึงก็รู้สึกว่าอยู่แบบนี้ต่อไปก็ไม่แฟร์กับภรรยาเรา เขาอายุมากขึ้นทุกวันและไม่ได้ทำอะไรผิด อยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ เราก็ไม่เห็นอนาคต แบบนี้ควรทำยังไงดีครับ 

ปล. เราทั้งคู่ไม่มีเรื่องชู้สาวหรือมือที่สามเลยครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
มาคุยเฉพาะเรื่องสินสอดครับ
เมื่อมอบให้แล้วก้อ  อย่าคิดเอาคืนเลยครับ
ปล่อยวางสะ เรื่องนั้น

ผมว่าทางภรรยาน้องเขาก้อไม่มั้นใจในตัวน้องเหมือนกันครับ

จะทำอะไรก้อรีบ สะครับ เพราะอายุมากแล้ว

ไม่ทราบว่าได้บอกภรรยาหรือเปล่าครับ ว่าหลังแต่งอยากอยู่ใกล้ชิดกับแม่

แต่อันที่จรืงก้อต้องเห็นใจ เธอนะครับ การที่ต้องอยู่กับ คนที่เพิ่งรู้จักไม่นาน เพราะมันไม่มีความเป็นส่วนตัวด้วย
ลองนึกกลับกันว่าถ้าน้องต้องอยู่ในสถานะการเดียวกับภรรยาน้องจะทำอย่างไร

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าชีวิตคู่ มันต้องอาศัยการปรับตัวครับ
ขนาดพี่ อยู่กัน ๒ คน ยังใช้เวลา เกือบ ๕ ปีในการปรับตัวเลย

ใจเย็นๆค่อยคุยกัน ทำรายการให้ระเอียดครับ ก่อนคุยกัน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
“ ภรรยาเราเหมือนเขาก็รู้สึกได้ เขาก็กลับมาทำดีพูดดีกับเรามากขึ้นแต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหา”

คุณทั้งคู่ ควรจะคุยกันตรงๆได้แล้วค่ะ
ถ้าคิดว่า อยู่ต่อไปจะ ไม่แฟร์กับภรรยาคุณ ... คุณควรจะเปิดใจคุยกับเธอก่อนค่ะ

บางเรื่องเธอก็ไม่รู้ใจคุณ บางเรื่องคุณก็ไม่เข้าถึงใจเธอ

การคุยกัน อาจจะช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นได้

_(เรื่องไปเยี่ยมแม่ ถ้าเหนื่อยที่จะไปกลับ ก็ค้างบ้านแม่บ้าง ห่างกันบ้าง คืนสองคืน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ)
_(ส่วนเรื่องอื่นๆ บอกเธอตรงๆว่าคุณแคลงใจตรงไหน ให้เธอได้มีโอกาสรับรู้ และอธิบายในส่วนของเธอค่ะ)

รักที่หมดลง เพราะความไม่ได้ดังใจ
มันก็เกิดใหม่ และเติบโตขึ้น เพราะความได้ดังใจ ได้อีกค่ะ

ไหนๆก็แต่งงานกันแล้ว ลองสู้ด้วยกันไปให้สุดทาง หรืออย่างน้อย ก็ควร “พยายาม” สู้ต่อให้ถึงที่สุด

หากสุดท้ายแล้ว ไปกันไม่รอดจริงๆ
จะได้ไม่มีอะไรคาใจ ... จะได้ไม่รู้สึก ตะขิดตะขวงในความทรงจำตนค่ะ

เทียน
ความคิดเห็นที่ 23
ขอบคุณมากสำหรับทุกความเห็นครับ เราขออนุญาตเล่าเพิ่มเติมนิดนึงครับ

1. ช่วง 2 ปีมานี้คุณแม่เรามีโรคทางเส้นประสาท ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวคนเดียวครับ ต้องทำกายภาพและนอนเป็นหลัก พอรักษาเป็นปีแล้วไม่หายช่วงหลังมีอาการทางจิต panic และวิตกกังวลเพิ่มขึ้นมา เราเป็นลูกคนเดียวก็ไม่อยากห่างไปนานๆครับ

เรื่องนี้ทางภรรยาผมทราบอยู่แล้วครับ เพราะป่วยหนักมาเป็นปีกว่าก่อนจะแต่งครับ

2. เรื่องบ้าน ที่วางแผนไว้ก่อนแต่งคือจะมาอยู่กับที่บ้านของเราก่อนครับ เพราะใกล้ที่ทำงานของทั้งคู่และเราได้ดูแลแม่ แล้วค่อยขยับขยายหาซื้อบ้านที่ใหญ่กว่าเมื่อมีลูกครับ ซึ่งตอนนี้เราก็ดำเนินการตามแผนนั้นอยู่ครับ มีไปดูที่ด้วยกันแต่ยังไม่ตกลงกันว่าจะเป็นที่ไหน เราแค่ขอสลิปกับสเตทเม้นเพื่อไปเกริ่นกับที่แบงค์ครับ เพราะจะที่ไหนก็น่าจะต้องกู้

3. เรื่องสินสอดเรื่องนี้คุยกันก่อนแต่งแล้วครับ ว่าจะเอาใส่บัญชีชื่อร่วมเก็บไว้ให้ลูก เรื่องนี้ทางภรรยาเราบอกแม่เขาแล้ว และได้ไปเปิดบัญชีร่วมกันที่ธนาคาร เราเอาเงินไปใส่ในบัญชีไว้เรียบร้อย แค่เอาออกมาพิธีแต่ง แต่พอจบพิธีแม่ภรรยาก็เก็บสินสอดไปแล้วก็เงียบไม่คืนมาอีกเลย จนเราต้องทวงถาม เรื่องนี้ผมไม่ติดใจเรื่องเงินแต่เป็นเรื่องใจกับคำพูดที่ตกลงกันไว้มากกว่าครับ

ขอบคุณทุกท่านครับ
ความคิดเห็นที่ 3
หมดรักก็เลิกสิครับ รออะไร
ความคิดเห็นที่ 11
คุยกันก่อนแต่งแล้วแน่เหรอครับ เพราะเรื่องบ้าน ลูก พ่อ แม่ นี่มัน basic เลยนะแต่กลับมาทะเลาะกันทีหลังเหมือนไม่เคยคุยกัน
ความคิดเห็นที่ 12
ผมว่าเลิกครับ ^^

ไม่เห็นต้องเกรงใจอะไรภรรยาเลยครับ  

ถ้ารักกัน มันก็ต้องรู้จักทำเพื่อกันและกันครับ แต่ถ้าจะมาให้ยอมเพียงฝ่ายเดียว ไม่เรียกว่ารักมั้งนะ ผมว่า ^^

อีกอย่างคุณอ่อนโยนไปนะ .. ถ้าจะเป็นแบบนี้ ผมว่า หาแฟนที่ Soft ลงมานิด  น่าจะดีครับ  

เป็นผู้ชายซื่อๆ ก็น่ารักดีนะครับ แต่อย่าซื่อจน ...

สู้ๆ ครับ  ไม่สบายใจก็หลังไมค์มาคุยได้นะ ยินดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่