คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
มาคุยเฉพาะเรื่องสินสอดครับ
เมื่อมอบให้แล้วก้อ อย่าคิดเอาคืนเลยครับ
ปล่อยวางสะ เรื่องนั้น
ผมว่าทางภรรยาน้องเขาก้อไม่มั้นใจในตัวน้องเหมือนกันครับ
จะทำอะไรก้อรีบ สะครับ เพราะอายุมากแล้ว
ไม่ทราบว่าได้บอกภรรยาหรือเปล่าครับ ว่าหลังแต่งอยากอยู่ใกล้ชิดกับแม่
แต่อันที่จรืงก้อต้องเห็นใจ เธอนะครับ การที่ต้องอยู่กับ คนที่เพิ่งรู้จักไม่นาน เพราะมันไม่มีความเป็นส่วนตัวด้วย
ลองนึกกลับกันว่าถ้าน้องต้องอยู่ในสถานะการเดียวกับภรรยาน้องจะทำอย่างไร
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าชีวิตคู่ มันต้องอาศัยการปรับตัวครับ
ขนาดพี่ อยู่กัน ๒ คน ยังใช้เวลา เกือบ ๕ ปีในการปรับตัวเลย
ใจเย็นๆค่อยคุยกัน ทำรายการให้ระเอียดครับ ก่อนคุยกัน
เมื่อมอบให้แล้วก้อ อย่าคิดเอาคืนเลยครับ
ปล่อยวางสะ เรื่องนั้น
ผมว่าทางภรรยาน้องเขาก้อไม่มั้นใจในตัวน้องเหมือนกันครับ
จะทำอะไรก้อรีบ สะครับ เพราะอายุมากแล้ว
ไม่ทราบว่าได้บอกภรรยาหรือเปล่าครับ ว่าหลังแต่งอยากอยู่ใกล้ชิดกับแม่
แต่อันที่จรืงก้อต้องเห็นใจ เธอนะครับ การที่ต้องอยู่กับ คนที่เพิ่งรู้จักไม่นาน เพราะมันไม่มีความเป็นส่วนตัวด้วย
ลองนึกกลับกันว่าถ้าน้องต้องอยู่ในสถานะการเดียวกับภรรยาน้องจะทำอย่างไร
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าชีวิตคู่ มันต้องอาศัยการปรับตัวครับ
ขนาดพี่ อยู่กัน ๒ คน ยังใช้เวลา เกือบ ๕ ปีในการปรับตัวเลย
ใจเย็นๆค่อยคุยกัน ทำรายการให้ระเอียดครับ ก่อนคุยกัน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
“ ภรรยาเราเหมือนเขาก็รู้สึกได้ เขาก็กลับมาทำดีพูดดีกับเรามากขึ้นแต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหา”
คุณทั้งคู่ ควรจะคุยกันตรงๆได้แล้วค่ะ
ถ้าคิดว่า อยู่ต่อไปจะ ไม่แฟร์กับภรรยาคุณ ... คุณควรจะเปิดใจคุยกับเธอก่อนค่ะ
บางเรื่องเธอก็ไม่รู้ใจคุณ บางเรื่องคุณก็ไม่เข้าถึงใจเธอ
การคุยกัน อาจจะช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นได้
_(เรื่องไปเยี่ยมแม่ ถ้าเหนื่อยที่จะไปกลับ ก็ค้างบ้านแม่บ้าง ห่างกันบ้าง คืนสองคืน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ)
_(ส่วนเรื่องอื่นๆ บอกเธอตรงๆว่าคุณแคลงใจตรงไหน ให้เธอได้มีโอกาสรับรู้ และอธิบายในส่วนของเธอค่ะ)
รักที่หมดลง เพราะความไม่ได้ดังใจ
มันก็เกิดใหม่ และเติบโตขึ้น เพราะความได้ดังใจ ได้อีกค่ะ
ไหนๆก็แต่งงานกันแล้ว ลองสู้ด้วยกันไปให้สุดทาง หรืออย่างน้อย ก็ควร “พยายาม” สู้ต่อให้ถึงที่สุด
หากสุดท้ายแล้ว ไปกันไม่รอดจริงๆ
จะได้ไม่มีอะไรคาใจ ... จะได้ไม่รู้สึก ตะขิดตะขวงในความทรงจำตนค่ะ
คุณทั้งคู่ ควรจะคุยกันตรงๆได้แล้วค่ะ
ถ้าคิดว่า อยู่ต่อไปจะ ไม่แฟร์กับภรรยาคุณ ... คุณควรจะเปิดใจคุยกับเธอก่อนค่ะ
บางเรื่องเธอก็ไม่รู้ใจคุณ บางเรื่องคุณก็ไม่เข้าถึงใจเธอ
การคุยกัน อาจจะช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นได้
_(เรื่องไปเยี่ยมแม่ ถ้าเหนื่อยที่จะไปกลับ ก็ค้างบ้านแม่บ้าง ห่างกันบ้าง คืนสองคืน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ)
_(ส่วนเรื่องอื่นๆ บอกเธอตรงๆว่าคุณแคลงใจตรงไหน ให้เธอได้มีโอกาสรับรู้ และอธิบายในส่วนของเธอค่ะ)
รักที่หมดลง เพราะความไม่ได้ดังใจ
มันก็เกิดใหม่ และเติบโตขึ้น เพราะความได้ดังใจ ได้อีกค่ะ
ไหนๆก็แต่งงานกันแล้ว ลองสู้ด้วยกันไปให้สุดทาง หรืออย่างน้อย ก็ควร “พยายาม” สู้ต่อให้ถึงที่สุด
หากสุดท้ายแล้ว ไปกันไม่รอดจริงๆ
จะได้ไม่มีอะไรคาใจ ... จะได้ไม่รู้สึก ตะขิดตะขวงในความทรงจำตนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 23
ขอบคุณมากสำหรับทุกความเห็นครับ เราขออนุญาตเล่าเพิ่มเติมนิดนึงครับ
1. ช่วง 2 ปีมานี้คุณแม่เรามีโรคทางเส้นประสาท ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวคนเดียวครับ ต้องทำกายภาพและนอนเป็นหลัก พอรักษาเป็นปีแล้วไม่หายช่วงหลังมีอาการทางจิต panic และวิตกกังวลเพิ่มขึ้นมา เราเป็นลูกคนเดียวก็ไม่อยากห่างไปนานๆครับ
เรื่องนี้ทางภรรยาผมทราบอยู่แล้วครับ เพราะป่วยหนักมาเป็นปีกว่าก่อนจะแต่งครับ
2. เรื่องบ้าน ที่วางแผนไว้ก่อนแต่งคือจะมาอยู่กับที่บ้านของเราก่อนครับ เพราะใกล้ที่ทำงานของทั้งคู่และเราได้ดูแลแม่ แล้วค่อยขยับขยายหาซื้อบ้านที่ใหญ่กว่าเมื่อมีลูกครับ ซึ่งตอนนี้เราก็ดำเนินการตามแผนนั้นอยู่ครับ มีไปดูที่ด้วยกันแต่ยังไม่ตกลงกันว่าจะเป็นที่ไหน เราแค่ขอสลิปกับสเตทเม้นเพื่อไปเกริ่นกับที่แบงค์ครับ เพราะจะที่ไหนก็น่าจะต้องกู้
3. เรื่องสินสอดเรื่องนี้คุยกันก่อนแต่งแล้วครับ ว่าจะเอาใส่บัญชีชื่อร่วมเก็บไว้ให้ลูก เรื่องนี้ทางภรรยาเราบอกแม่เขาแล้ว และได้ไปเปิดบัญชีร่วมกันที่ธนาคาร เราเอาเงินไปใส่ในบัญชีไว้เรียบร้อย แค่เอาออกมาพิธีแต่ง แต่พอจบพิธีแม่ภรรยาก็เก็บสินสอดไปแล้วก็เงียบไม่คืนมาอีกเลย จนเราต้องทวงถาม เรื่องนี้ผมไม่ติดใจเรื่องเงินแต่เป็นเรื่องใจกับคำพูดที่ตกลงกันไว้มากกว่าครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ
1. ช่วง 2 ปีมานี้คุณแม่เรามีโรคทางเส้นประสาท ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวคนเดียวครับ ต้องทำกายภาพและนอนเป็นหลัก พอรักษาเป็นปีแล้วไม่หายช่วงหลังมีอาการทางจิต panic และวิตกกังวลเพิ่มขึ้นมา เราเป็นลูกคนเดียวก็ไม่อยากห่างไปนานๆครับ
เรื่องนี้ทางภรรยาผมทราบอยู่แล้วครับ เพราะป่วยหนักมาเป็นปีกว่าก่อนจะแต่งครับ
2. เรื่องบ้าน ที่วางแผนไว้ก่อนแต่งคือจะมาอยู่กับที่บ้านของเราก่อนครับ เพราะใกล้ที่ทำงานของทั้งคู่และเราได้ดูแลแม่ แล้วค่อยขยับขยายหาซื้อบ้านที่ใหญ่กว่าเมื่อมีลูกครับ ซึ่งตอนนี้เราก็ดำเนินการตามแผนนั้นอยู่ครับ มีไปดูที่ด้วยกันแต่ยังไม่ตกลงกันว่าจะเป็นที่ไหน เราแค่ขอสลิปกับสเตทเม้นเพื่อไปเกริ่นกับที่แบงค์ครับ เพราะจะที่ไหนก็น่าจะต้องกู้
3. เรื่องสินสอดเรื่องนี้คุยกันก่อนแต่งแล้วครับ ว่าจะเอาใส่บัญชีชื่อร่วมเก็บไว้ให้ลูก เรื่องนี้ทางภรรยาเราบอกแม่เขาแล้ว และได้ไปเปิดบัญชีร่วมกันที่ธนาคาร เราเอาเงินไปใส่ในบัญชีไว้เรียบร้อย แค่เอาออกมาพิธีแต่ง แต่พอจบพิธีแม่ภรรยาก็เก็บสินสอดไปแล้วก็เงียบไม่คืนมาอีกเลย จนเราต้องทวงถาม เรื่องนี้ผมไม่ติดใจเรื่องเงินแต่เป็นเรื่องใจกับคำพูดที่ตกลงกันไว้มากกว่าครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ
ความคิดเห็นที่ 12
ผมว่าเลิกครับ ^^
ไม่เห็นต้องเกรงใจอะไรภรรยาเลยครับ
ถ้ารักกัน มันก็ต้องรู้จักทำเพื่อกันและกันครับ แต่ถ้าจะมาให้ยอมเพียงฝ่ายเดียว ไม่เรียกว่ารักมั้งนะ ผมว่า ^^
อีกอย่างคุณอ่อนโยนไปนะ .. ถ้าจะเป็นแบบนี้ ผมว่า หาแฟนที่ Soft ลงมานิด น่าจะดีครับ
เป็นผู้ชายซื่อๆ ก็น่ารักดีนะครับ แต่อย่าซื่อจน ...
สู้ๆ ครับ ไม่สบายใจก็หลังไมค์มาคุยได้นะ ยินดี
ไม่เห็นต้องเกรงใจอะไรภรรยาเลยครับ
ถ้ารักกัน มันก็ต้องรู้จักทำเพื่อกันและกันครับ แต่ถ้าจะมาให้ยอมเพียงฝ่ายเดียว ไม่เรียกว่ารักมั้งนะ ผมว่า ^^
อีกอย่างคุณอ่อนโยนไปนะ .. ถ้าจะเป็นแบบนี้ ผมว่า หาแฟนที่ Soft ลงมานิด น่าจะดีครับ
เป็นผู้ชายซื่อๆ ก็น่ารักดีนะครับ แต่อย่าซื่อจน ...
สู้ๆ ครับ ไม่สบายใจก็หลังไมค์มาคุยได้นะ ยินดี
แสดงความคิดเห็น
หมดรักภรรยาทั้งที่เพิ่งแต่งงานกันมา
เรากับภรรยาเพิ่งแต่งงานกันมาได้ไม่ถึงปีจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย ช่วงแรกก็รักกันดีแต่ช่วงหลังรู้ตัวว่าความรู้สึกของเราเริ่มดรอปลงไปเยอะมากทั้งที่เพิ่งแต่งงานกันมา
เริ่มจากครั้งแรกที่เราแต่งเพราะมีความกดดันทางครอบครัวที่อยากให้รีบแต่งเพราะเราทั้งคู่อายุมากแล้วครับ ซึ่งในตอนก่อนแต่งก็มีการพูดคุยกันและตกลงแนวทางการอยู่กันแล้ว แต่พอแต่งมาแล้วก็มีเรื่องเปลี่ยนทำให้หนักใจหลายอย่าง เรื่องแรกคือภรรยาเข้ากับแม่เราไม่ได้ แม่เราชอบคนอ่อนน้อมแต่ภรรยาเป็นคนพูดจาแข็งๆห้วนๆ (ซึ่งก่อนแต่งจะอ่อนน้อมกว่าตอนนี้) ต่อมาก็มีปัญหาเรื่องที่อยู่สร้างครอบครัว แม่เราอยากให้อยู่ในบ้านเดียวกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ภรรยาพอได้มาอยู่ร่วมกันแล้วก็อยากแยกออกไปอยู่เองเพราะอึดอัด เราก็ห่วงแม่เพราะแม่เราสุขภาพไม่ดีเราอยากอยู่ใกล้ๆให้กำลังใจแม่ แต่ภรรยาเราเขามองว่าแม่เราดีมานด์สูงไป เราเป็นคนกลางก็ลำบากใจ
อีกเรื่องคือเรื่องเงิน ตอนก่อนแต่งเราเปิดบัญชีร่วมกันตกลงกันแล้วว่าจะเอาเงินสินสอดไปใส่ไว้เพื่อเก็บไว้ให้ลูกในอนาคต (ตอนนี้ยังไม่มี) แต่พอหลังงานแต่งแล้วแม่ของภรรยาก็เก็บเอาเงินสดไปหมดบอกจะเก็บไว้ให้เอง พอเราทวงถามทางนั้นก็บ่ายเบี่ยงไม่เอาเงินมาใส่คืนในบัญชีให้ เราก็ไม่อยากคาดคั้น เรามีแพลนอยากซื้อบ้านหาที่อยู่ เราขอสเตทเม้นกับสลิปเงินเดือนของภรรยาเพื่อเอาไปคุยเรื่องเครดิตกู้บ้านกับแบงค์ (ยังไม่ได้ระบุว่าจะซื้อ แค่เช็คเครดิตว่ารวมกันกู้ได้ประมาณเท่าไร) ซึ่งเราก็บอกชัดเจนแล้วว่ายังไม่ได้กู้แค่เอาไปประเมิน แต่ภรรยาเราปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าไม่สบายใจ ...ซึ่งเราก็อึ้งไปว่าแต่งงานจดทะเบียนกันแล้วทำไมแค่สเตทเม้นแชร์ให้กันไม่ได้ เรื่องทรัพย์สินรายได้ของเราเราบอกเขาหมดไม่เคยปิด ถึงตอนนี้ยังอยู่กันแบบแยกกระเป๋า
สุดท้ายเรื่องลูก ตอนแรกเราสองคนแพลนว่าอยากมีลูก ลองมีแบบธรรมชาติแล้วไม่สำเร็จก็ไปหาหมอทำเด็กหลอดแก้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ภรรยาบอกว่าจากผลตรวจนั้นสาเหตุเป็นเพราะเรา พูดทีเล่นทีจริงบ้างแต่ย้ำหลายรอบซึ่งเราก็เสียใจอยู่ลึกๆ พอเราเริ่มหายยุ่งจากทำงานก็เลยได้ไปคุยกับหมออีกที่เอาผลตรวจให้ดู ปรากฏว่าหมออีกที่บอกว่าเชื้อเราก็เข้าข่ายปกตินะส่วนตัวเลขที่ดูต่ำนั้นไม่ได้มีผลกระทบมาก ไม่ได้มีปัญหาถึงขนาดมีลูกไม่ได้ที่จริงแล้วปัญหาแบบนี้มักเกิดจากฝ่าย ญ ที่มีอายุมากขึ้นแล้วมากกว่า พอได้ฟังแล้วเราเสียความรู้สึกไปเลยเพราะที่ผ่านมาเราคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะเรา
พอเรื่องหลายๆเรื่องแบบนี้มารวมกันก็กลายเป็นความไม่ไว้ใจ ช่วงโควิดงานเรามีปัญหาต้องทำงานหนักขึ้น แล้วตอนเย็นก็ต้องกลับมาดูแม่ พอแม่หลับก็ต้องขับรถกลับไปอยู่กับภรรยา ซึ่งพอไปถึงก็เหนื่อยอยากอาบน้ำนอนแล้ว ทำงานเหนื่อยกลับบ้านก็เหนื่อยใจก็ยิ่งหมดความรู้สึก ถ้ามีเวลาว่างเรากลับอยากนอนนิ่งๆอยู่คนเดียวมากกว่า ภรรยาเราเหมือนเขาก็รู้สึกได้ เขาก็กลับมาทำดีพูดดีกับเรามากขึ้นแต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นที่เป็นปัญหา จนเราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีลูกแล้วมันเบื่อหน่ายไปหมด อยากอยู่อย่างสงบ
ส่วนนึงก็รู้สึกว่าอยู่แบบนี้ต่อไปก็ไม่แฟร์กับภรรยาเรา เขาอายุมากขึ้นทุกวันและไม่ได้ทำอะไรผิด อยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ เราก็ไม่เห็นอนาคต แบบนี้ควรทำยังไงดีครับ
ปล. เราทั้งคู่ไม่มีเรื่องชู้สาวหรือมือที่สามเลยครับ