วันที่ 1 ก.ค. 2021 เป็นวันครบรอบ 100 ปีการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคที่เปลี่ยนจีนจากประเทศเกษตรกรรมล้าหลังมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก และกำลังหายใจรดต้นคออเมริกา
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านย้อนดูประวัติศาสตร์ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่เรื่องเหมาเจ๋อตุงเอาชนะสงครามกลางเมือง, การปฏิรูปของเติ้งเสี่ยวผิง, สีจิ้นผิงที่มาท้าทายบัลลังก์หมายเลข 1 ของโลก, และปัญหาที่พรรคคอมมิวนิสต์ต้องเผชิญจากการไม่เปิดเสรีทางการเมืองของตนเอง
*** ยุคก่อตั้งจนถึงสงครามต้านญี่ปุ่น ***
แนวคิดมาร์กซิสต์ได้แพร่เข้าสู่ประเทศจีนในปี 1919 จากเหตุการณ์ "ความเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม" ซึ่งเป็นการประท้วงของกลุ่มที่ไม่พอใจการเสียดินแดนให้ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่
ภาพแนบ: ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนพบกับผู้แทนบอลเชวิค
แม้วันที่ 1 ก.ค. 1921 จะถูกกำหนดให้เป็นวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แต่จริงๆ แล้วประชุมกันครั้งแรกวันที่เท่าไหร่นั้นไม่ทราบแน่ชัด เพราะบ้านเมืองยังสับสนวุ่นวายแบ่งออกเป็นขุนศึกก๊กต่างๆ
ผู้ก่อตั้งพรรคเป็นปัญญาชนสองคนชื่อ เฉินตู๋ซิ่ว (Chen Duxiu) และหลี่ต้าเจา (Li Dazhao) โดยได้รับความช่วยเหลือจากพรรคบอลเชวิคของโซเวียต
ภาพแนบ: แม่ทัพจีนประกาศชัยชนะหลังการยกทัพขึ้นเหนือ
ในปี 1922 ผู้แทนบอลเชวิคเสนอให้พรรคคอมมิวนิสต์เข้าร่วมกับจีนคณะชาติ หรือพรรคก๊กมินตั๋งของซุนยัตเซ็นเพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงจากภายใน
พวกคอมมิวนิสต์จึงร่วมมือกับพรรคก๊กมินตั๋ง ตั้งเป็น “แนวร่วมที่หนึ่ง” (First United Front) ในการยกทัพขึ้นเหนือเพื่อปราบขุนศึกก๊กต่างๆ และรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น
ซุนยัตเซ็นเสียชีวิตในปี 1925 และเกิดการต่อสู้ภายในพรรคก๊กมินตั๋ง จนกลุ่มฝ่ายขวาของเจียงไคเช็กได้ครองความเป็นใหญ่ในปี 1927
หลังจากนั้นพรรคก๊กมินตั๋งได้ตัดความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ และรบกัน
เกิดเป็นสงครามกลางเมืองจีนที่กินเวลายืดเยื้อกว่า 20 ปี
ช่วงนี้เองที่เหมาเจ๋อตุงแสดงความสามารถโดดเด่นโดยเป็นผู้นำ “การเดินเท้าทางไกล” (The Long March) ในปี 1934 ซึ่งเขาได้พาทหารชาวนาหลายแสนคนรบไปถอยไป พร้อมซื้อใจประชาชนไป จนทำให้พวกก๊กมินตั๋งระส่ำระสาย
ภาพแนบ: เหมาดื่มฉลองกับเจียงหลังเสร็จศึกญี่ปุ่น
สงครามกลางเมืองระยะแรกยุติลงในปี 1936 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์และก๊กมินตั๋งพักรบแล้วหันมาจับมือ ตั้งเป็น “แนวร่วมที่สอง” (Second United Front) ต่อสู้กับญี่ปุ่นที่รุกรานจีนจนสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945
และในปีเดียวกันนี้ เหมาได้เป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ภาพแนบ: ทหารคอมมิวนิสต์เอาชนะศึกที่เสิ่นหยาง เมืองเอกของมณฑลเหนียวหนิง ในปี 1948 นับเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ในแมนจูเรียที่ทำลายทหารจีนคณะชาติได้เป็นอันมาก
*** ยุคการเปลี่ยนแปลงด้วยกำลัง ***
หลังญี่ปุ่นยอมจำนน จีนได้เข้าสู่สงครามกลางเมืองรอบใหม่ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถพลิกจากฝ่ายที่ด้อยกว่ามาชนะได้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาคอร์รัปชั่นภายในของก๊กมินตั๋งทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยม
ภาพแนบ: เหมาประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949
ในปี 1949 เหมาประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะเจียงต้องอพยพไปยังเกาะไต้หวัน
ในช่วงแรกๆ เหมาได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปที่ดินโดยใช้กำลังยึดที่จากเจ้าของเดิมไปแจกให้ชาวนา รวมทั้งมีการปราบปรามพวกนายทุนและปัญญาชนขนานใหญ่
ในปี 1958 เขาเริ่มนโยบาย “ก้าวกระโดดไปข้างหน้า” (Great Leap Forward) ซึ่งเป็นนโยบายเร่งการเปลี่ยนแปลงประเทศจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม
ทว่าการลดจำนวนเกษตรกรแล้วไปเพิ่มแรงงานอุตสาหกรรมอย่างกะทันหันนี้ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร จนทำให้มีผู้อดอยากเสียชีวิตหลายสิบล้านคน
เหมาเสียความนับถือในหมู่ผู้นำพรรคพอสมควร จึงสั่งหยุดนโยบายนี้ในปี 1962
ภาพแนบ: การประจานสาธารณะ หรือ struggle session ของปันเชนลามะ ซึ่งเป็นภิกษุชั้นสูงของทิเบตระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม
ในปี 1966 เหมาเริ่มนโยบายการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยอ้างว่าทำเพื่อปราบศัตรูของชนชั้นกรรมาชีพที่ยังเหลืออยู่
มีการปลุกระดมกลุ่มเยาวชนเรียกว่า “เรดการ์ด” (Red Guard) ให้คอยสอดส่องศัตรูของการปฏิวัติ ซึ่งพวกนี้ได้ออกไปกดขี่คนที่เชื่อว่ายังอินกับวัฒนธรรมเดิมอย่างโหดร้าย
นักวิจารณ์ระบุว่าเหมาใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการปราบคู่แข่งทางการเมืองของตัวเอง โดยช่วงนี้อำนาจรัฐตกอยู่ในมือ “แก๊งสี่คน” (Gang of Four) ซึ่งมีภรรยาของเหมาเป็นหัวหน้า
เหตุการณ์ดังกล่าวยาวนานถึงปี 1976 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย สมาชิกพรรคหลายคนถูกกวาดล้าง
ในปัจจุบัน นโยบายก้าวกระโดดไปข้างหน้าและการปฏิวัติวัฒนธรรม นับเป็นบาดแผลที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามไม่กล่าวถึง เพราะต้องการจำกัดการวิจารณ์ตัวเหมาไว้
ภาพแนบ: เหมาจับมือกับนิกสัน
เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดพลิกผันของสงครามเย็น คือ การแตกคอระหว่างจีนกับโซเวียต (Sino-Soviet split) ประมาณปี 1956 ถึง 1966 สืบเนื่องจากเหมานั้นเป็นผู้นับถือในตัวสตาลิน แต่นิกิตา ครุสชอฟ ผู้นำโซเวียตคนถัดมา กลับประณามลัทธิสตาลินเสียเอง นอกจากนั้นจีนและโซเวียตยังดำเนินนโยบายด้านความสัมพันธ์กับชาติต่างๆ ขัดกันด้วย
ความแตกแยกระหว่างจีนกับโซเวียตนี้เป็นเหตุให้อเมริกาสามารถแทรกแซงฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยในปี 1972 เหมายอมให้การต้อนรับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้นำโลกเสรี
ภาพแนบ: เติ้งเสี่ยวผิง
*** ยุคเปิดประเทศ: จากสังคมนิยมสู่ทุนนิยมโดยรัฐ ***
หลังสามารถเอาชนะกลุ่มแก๊งสี่คนได้ เติ้งเสี่ยวผิงและฮั่วกั๋วเฟิง ทายาทการเมืองของเหมาซึ่งเป็นสมาชิกพรรคสายปฏิรูป ได้ขึ้นเป็นผู้นำคนต่อมา
ต่อมาเติ้งประกาศนโยบาย “ปฏิรูปเศรษฐกิจจีน” ซึ่งเป็นการเปิดประเทศสู่ตลาดโลก
รายละเอียดของการปฏิรูปเศรษฐกิจประกอบด้วย:
1) การยกเลิกระบบนารวม
2) การเปิดรับการลงทุนต่างประเทศ (รวมทั้งการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ)
3) การอนุญาตให้ผู้ประกอบการตั้งธุรกิจได้
4) การโอนกิจการของรัฐและมอบสัมปทานให้แก่เอกชนบางส่วน
5) การยกเลิกการควบคุมราคา
6) การยกเลิกนโยบายและกฎระเบียบที่กีดกันการค้า (ยกเว้นภาคธนาคารและปิโตรเลียมที่รัฐจีนยังผูกขาด)
นอกจากนี้เติ้งยังได้แก้ไขปัญหาที่ประเทศเผด็จการอื่นๆ เผชิญ นั่นคือการคอร์รัปชั่นจากการที่ผู้นำอยู่ในอำนาจนานเกินไป
เขาให้มีการจำกัดวาระผู้นำ เพื่อถ่ายโอนอำนาจระหว่างผู้นำรุ่นต่างๆ อย่างสันติ
ผลของการเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจจีนเริ่มโต แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งภายในพรรค ทั้งจากสมาชิกสายลัทธิเหมาที่มองว่าเติ้งเปิดเสรีเศรษฐกิจมากเกินไป และสมาชิกสายกลางที่อยากให้เติ้งเปิดเสรีทางการเมืองมากกว่านี้
ขณะที่ภาคประชาชนก็รู้สึกว่าพรรคคอมมิวนิสต์ขาดความชอบธรรมเพราะหันเหจากแนวทางสังคมนิยม และมีปัญหาการคอร์รัปชันและการเล่นพรรคเล่นพวกมาก
นี่นำไปสู่การประท้วงใหญ่ในปี 1986 และ 1989
ซึ่งการประท้วงปี 1989 นี้เอง ได้นำไปสู่การปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
“การสังหารหมู่ที่เทียนอันเหมิน” นี้ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อนและโดนเซ็นเซอร์หนักที่สุดในจีนจนถึงปัจจุบัน
*** ยุคม้ามืด ***
เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วอีกเป็นเวลา 20 ปี ในสมัยของเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทาซึ่งดำรงตำแหน่งสืบต่อจากเติ้ง
ช่วงทศวรรษ 1990s มีการโละพนักงานรัฐวิสาหกิจถึง 40 ล้านคนและมีการโอนทรัพย์สินจากของรัฐให้แก่เอกชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ต่อมาปี 2001 จีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก เป็นการเปิดช่องทางการค้ากับต่างชาติมากขึ้นอีก
และในปี 2003 จีนได้ประกาศหลักการ “สามตัวแทน” (Three Represents) ซึ่งมีการยอมรับนายทุนเข้าสู่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ
...นี่นับว่าเป็นเรื่องย้อนแย้งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถอยู่รอดมาได้เพราะนายทุนและระบบทุนนิยมนั่นเอง
หลังหูขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2002 เขาพยายามแก้ไขปัญหาสังคมที่จีนเผชิญเนื่องจากผู้นำก่อนหน้านี้ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป โดยประกาศหลัก “การพัฒนาด้วยหลักวิทยาศาสตร์” (Scientific Outlook on Development) และหลัก “สังคมนิยมที่
กลมกลืน” (Harmonious Socialist Society) เพื่อให้ความสำคัญกับเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในปี 2008 นั้นเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ประเทศส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ภาพแนบ: พิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2008 ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่โดยไม่สนวิกฤตเศรษฐกิจโลก
จะเห็นได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนยุคหลังเติ้งมีความละเอียดอ่อนเรื่องการเปิดเสรีทางการเมือง
แม้พวกเขาพยายามสร้างความชอบธรรมแก่ตัวเองว่าสามารถพัฒนาเศรษฐกิจและการยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนได้ดี
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความเกรงกลัวต่อปัญหาความชอบธรรมของพรรคอยู่ตลอด ดังตัวอย่างที่หูประกาศอบรมสมาชิกพรรคจำนวน 70 ล้านคนให้มีความภักดีมากขึ้นในปี 2005
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** 100 ปีที่เปลี่ยนโลก พรรคคอมมิวนิสต์จีน ***
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านย้อนดูประวัติศาสตร์ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่เรื่องเหมาเจ๋อตุงเอาชนะสงครามกลางเมือง, การปฏิรูปของเติ้งเสี่ยวผิง, สีจิ้นผิงที่มาท้าทายบัลลังก์หมายเลข 1 ของโลก, และปัญหาที่พรรคคอมมิวนิสต์ต้องเผชิญจากการไม่เปิดเสรีทางการเมืองของตนเอง
*** ยุคก่อตั้งจนถึงสงครามต้านญี่ปุ่น ***
แนวคิดมาร์กซิสต์ได้แพร่เข้าสู่ประเทศจีนในปี 1919 จากเหตุการณ์ "ความเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม" ซึ่งเป็นการประท้วงของกลุ่มที่ไม่พอใจการเสียดินแดนให้ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่
ภาพแนบ: ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนพบกับผู้แทนบอลเชวิค
แม้วันที่ 1 ก.ค. 1921 จะถูกกำหนดให้เป็นวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แต่จริงๆ แล้วประชุมกันครั้งแรกวันที่เท่าไหร่นั้นไม่ทราบแน่ชัด เพราะบ้านเมืองยังสับสนวุ่นวายแบ่งออกเป็นขุนศึกก๊กต่างๆ
ผู้ก่อตั้งพรรคเป็นปัญญาชนสองคนชื่อ เฉินตู๋ซิ่ว (Chen Duxiu) และหลี่ต้าเจา (Li Dazhao) โดยได้รับความช่วยเหลือจากพรรคบอลเชวิคของโซเวียต
ภาพแนบ: แม่ทัพจีนประกาศชัยชนะหลังการยกทัพขึ้นเหนือ
ในปี 1922 ผู้แทนบอลเชวิคเสนอให้พรรคคอมมิวนิสต์เข้าร่วมกับจีนคณะชาติ หรือพรรคก๊กมินตั๋งของซุนยัตเซ็นเพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงจากภายใน
พวกคอมมิวนิสต์จึงร่วมมือกับพรรคก๊กมินตั๋ง ตั้งเป็น “แนวร่วมที่หนึ่ง” (First United Front) ในการยกทัพขึ้นเหนือเพื่อปราบขุนศึกก๊กต่างๆ และรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น
ซุนยัตเซ็นเสียชีวิตในปี 1925 และเกิดการต่อสู้ภายในพรรคก๊กมินตั๋ง จนกลุ่มฝ่ายขวาของเจียงไคเช็กได้ครองความเป็นใหญ่ในปี 1927
หลังจากนั้นพรรคก๊กมินตั๋งได้ตัดความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ และรบกัน
เกิดเป็นสงครามกลางเมืองจีนที่กินเวลายืดเยื้อกว่า 20 ปี
ช่วงนี้เองที่เหมาเจ๋อตุงแสดงความสามารถโดดเด่นโดยเป็นผู้นำ “การเดินเท้าทางไกล” (The Long March) ในปี 1934 ซึ่งเขาได้พาทหารชาวนาหลายแสนคนรบไปถอยไป พร้อมซื้อใจประชาชนไป จนทำให้พวกก๊กมินตั๋งระส่ำระสาย
ภาพแนบ: เหมาดื่มฉลองกับเจียงหลังเสร็จศึกญี่ปุ่น
สงครามกลางเมืองระยะแรกยุติลงในปี 1936 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์และก๊กมินตั๋งพักรบแล้วหันมาจับมือ ตั้งเป็น “แนวร่วมที่สอง” (Second United Front) ต่อสู้กับญี่ปุ่นที่รุกรานจีนจนสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945
และในปีเดียวกันนี้ เหมาได้เป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ภาพแนบ: ทหารคอมมิวนิสต์เอาชนะศึกที่เสิ่นหยาง เมืองเอกของมณฑลเหนียวหนิง ในปี 1948 นับเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ในแมนจูเรียที่ทำลายทหารจีนคณะชาติได้เป็นอันมาก
*** ยุคการเปลี่ยนแปลงด้วยกำลัง ***
หลังญี่ปุ่นยอมจำนน จีนได้เข้าสู่สงครามกลางเมืองรอบใหม่ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถพลิกจากฝ่ายที่ด้อยกว่ามาชนะได้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาคอร์รัปชั่นภายในของก๊กมินตั๋งทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยม
ภาพแนบ: เหมาประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949
ในปี 1949 เหมาประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะเจียงต้องอพยพไปยังเกาะไต้หวัน
ในช่วงแรกๆ เหมาได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปที่ดินโดยใช้กำลังยึดที่จากเจ้าของเดิมไปแจกให้ชาวนา รวมทั้งมีการปราบปรามพวกนายทุนและปัญญาชนขนานใหญ่
ในปี 1958 เขาเริ่มนโยบาย “ก้าวกระโดดไปข้างหน้า” (Great Leap Forward) ซึ่งเป็นนโยบายเร่งการเปลี่ยนแปลงประเทศจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม
ทว่าการลดจำนวนเกษตรกรแล้วไปเพิ่มแรงงานอุตสาหกรรมอย่างกะทันหันนี้ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร จนทำให้มีผู้อดอยากเสียชีวิตหลายสิบล้านคน
เหมาเสียความนับถือในหมู่ผู้นำพรรคพอสมควร จึงสั่งหยุดนโยบายนี้ในปี 1962
ภาพแนบ: การประจานสาธารณะ หรือ struggle session ของปันเชนลามะ ซึ่งเป็นภิกษุชั้นสูงของทิเบตระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม
ในปี 1966 เหมาเริ่มนโยบายการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยอ้างว่าทำเพื่อปราบศัตรูของชนชั้นกรรมาชีพที่ยังเหลืออยู่
มีการปลุกระดมกลุ่มเยาวชนเรียกว่า “เรดการ์ด” (Red Guard) ให้คอยสอดส่องศัตรูของการปฏิวัติ ซึ่งพวกนี้ได้ออกไปกดขี่คนที่เชื่อว่ายังอินกับวัฒนธรรมเดิมอย่างโหดร้าย
นักวิจารณ์ระบุว่าเหมาใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการปราบคู่แข่งทางการเมืองของตัวเอง โดยช่วงนี้อำนาจรัฐตกอยู่ในมือ “แก๊งสี่คน” (Gang of Four) ซึ่งมีภรรยาของเหมาเป็นหัวหน้า
เหตุการณ์ดังกล่าวยาวนานถึงปี 1976 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย สมาชิกพรรคหลายคนถูกกวาดล้าง
ในปัจจุบัน นโยบายก้าวกระโดดไปข้างหน้าและการปฏิวัติวัฒนธรรม นับเป็นบาดแผลที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามไม่กล่าวถึง เพราะต้องการจำกัดการวิจารณ์ตัวเหมาไว้
ภาพแนบ: เหมาจับมือกับนิกสัน
เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดพลิกผันของสงครามเย็น คือ การแตกคอระหว่างจีนกับโซเวียต (Sino-Soviet split) ประมาณปี 1956 ถึง 1966 สืบเนื่องจากเหมานั้นเป็นผู้นับถือในตัวสตาลิน แต่นิกิตา ครุสชอฟ ผู้นำโซเวียตคนถัดมา กลับประณามลัทธิสตาลินเสียเอง นอกจากนั้นจีนและโซเวียตยังดำเนินนโยบายด้านความสัมพันธ์กับชาติต่างๆ ขัดกันด้วย
ความแตกแยกระหว่างจีนกับโซเวียตนี้เป็นเหตุให้อเมริกาสามารถแทรกแซงฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยในปี 1972 เหมายอมให้การต้อนรับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้นำโลกเสรี
ภาพแนบ: เติ้งเสี่ยวผิง
*** ยุคเปิดประเทศ: จากสังคมนิยมสู่ทุนนิยมโดยรัฐ ***
หลังสามารถเอาชนะกลุ่มแก๊งสี่คนได้ เติ้งเสี่ยวผิงและฮั่วกั๋วเฟิง ทายาทการเมืองของเหมาซึ่งเป็นสมาชิกพรรคสายปฏิรูป ได้ขึ้นเป็นผู้นำคนต่อมา
ต่อมาเติ้งประกาศนโยบาย “ปฏิรูปเศรษฐกิจจีน” ซึ่งเป็นการเปิดประเทศสู่ตลาดโลก
รายละเอียดของการปฏิรูปเศรษฐกิจประกอบด้วย:
1) การยกเลิกระบบนารวม
2) การเปิดรับการลงทุนต่างประเทศ (รวมทั้งการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ)
3) การอนุญาตให้ผู้ประกอบการตั้งธุรกิจได้
4) การโอนกิจการของรัฐและมอบสัมปทานให้แก่เอกชนบางส่วน
5) การยกเลิกการควบคุมราคา
6) การยกเลิกนโยบายและกฎระเบียบที่กีดกันการค้า (ยกเว้นภาคธนาคารและปิโตรเลียมที่รัฐจีนยังผูกขาด)
นอกจากนี้เติ้งยังได้แก้ไขปัญหาที่ประเทศเผด็จการอื่นๆ เผชิญ นั่นคือการคอร์รัปชั่นจากการที่ผู้นำอยู่ในอำนาจนานเกินไป
เขาให้มีการจำกัดวาระผู้นำ เพื่อถ่ายโอนอำนาจระหว่างผู้นำรุ่นต่างๆ อย่างสันติ
ผลของการเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจจีนเริ่มโต แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งภายในพรรค ทั้งจากสมาชิกสายลัทธิเหมาที่มองว่าเติ้งเปิดเสรีเศรษฐกิจมากเกินไป และสมาชิกสายกลางที่อยากให้เติ้งเปิดเสรีทางการเมืองมากกว่านี้
ขณะที่ภาคประชาชนก็รู้สึกว่าพรรคคอมมิวนิสต์ขาดความชอบธรรมเพราะหันเหจากแนวทางสังคมนิยม และมีปัญหาการคอร์รัปชันและการเล่นพรรคเล่นพวกมาก
นี่นำไปสู่การประท้วงใหญ่ในปี 1986 และ 1989
ซึ่งการประท้วงปี 1989 นี้เอง ได้นำไปสู่การปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
“การสังหารหมู่ที่เทียนอันเหมิน” นี้ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อนและโดนเซ็นเซอร์หนักที่สุดในจีนจนถึงปัจจุบัน
*** ยุคม้ามืด ***
เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วอีกเป็นเวลา 20 ปี ในสมัยของเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทาซึ่งดำรงตำแหน่งสืบต่อจากเติ้ง
ช่วงทศวรรษ 1990s มีการโละพนักงานรัฐวิสาหกิจถึง 40 ล้านคนและมีการโอนทรัพย์สินจากของรัฐให้แก่เอกชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ต่อมาปี 2001 จีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก เป็นการเปิดช่องทางการค้ากับต่างชาติมากขึ้นอีก
และในปี 2003 จีนได้ประกาศหลักการ “สามตัวแทน” (Three Represents) ซึ่งมีการยอมรับนายทุนเข้าสู่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ
...นี่นับว่าเป็นเรื่องย้อนแย้งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถอยู่รอดมาได้เพราะนายทุนและระบบทุนนิยมนั่นเอง
หลังหูขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2002 เขาพยายามแก้ไขปัญหาสังคมที่จีนเผชิญเนื่องจากผู้นำก่อนหน้านี้ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไป โดยประกาศหลัก “การพัฒนาด้วยหลักวิทยาศาสตร์” (Scientific Outlook on Development) และหลัก “สังคมนิยมที่
กลมกลืน” (Harmonious Socialist Society) เพื่อให้ความสำคัญกับเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในปี 2008 นั้นเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ประเทศส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ภาพแนบ: พิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2008 ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่โดยไม่สนวิกฤตเศรษฐกิจโลก
จะเห็นได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนยุคหลังเติ้งมีความละเอียดอ่อนเรื่องการเปิดเสรีทางการเมือง
แม้พวกเขาพยายามสร้างความชอบธรรมแก่ตัวเองว่าสามารถพัฒนาเศรษฐกิจและการยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนได้ดี
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความเกรงกลัวต่อปัญหาความชอบธรรมของพรรคอยู่ตลอด ดังตัวอย่างที่หูประกาศอบรมสมาชิกพรรคจำนวน 70 ล้านคนให้มีความภักดีมากขึ้นในปี 2005
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***