JJNY : นักข่าวดัง แม่ติดโควิดทั้งที่ฉีดวัคซีน│คิดสั้นพุ่ง ใกล้ปี40│ม็อบส้นสูงจี้เยียวยา5พัน/ด.│อินเดียติดเชื้อราดำ4หมื่น

นักข่าวดัง ระบายหลังแม่ติดโควิดทั้งที่ฉีดวัคซีน เผยระวังตัวดีที่สุดแล้ว
https://www.springnews.co.th/news/811460
 
 
นักข่าวดัง ระบายหลังแม่ติดโควิดทั้งที่ฉีดวัคซีน เผยระวังตัวที่สุดแล้ว อย่าชะล่าใจ ชี้โควิด19 ไม่ได้ไกลตัวเราอีกต่อไป เพราะมันไม่รู้จะระวังอย่างไรให้รอด ขอให้มีกำลังใจ ไปด้วยกัน
 
วันที่ 29 มิ.ย. 2564  จตุรงค์ สุขเอียด นักข่าวชื่อดัง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเผยแพร่เรื่องราวของครอบครัวเจ้าตัวที่ระวังโควิด-19 อย่างดี และคอยเป็นห่วงแม่ของเจ้าตัวที่มีอายุเยอะมาตลอด แต่ด้วยแม่ของเจ้าตัวเป็นแม่ค้าขายหมูในตลาด มีความเป็นห่วงลูกค้าว่าจะไม่มีเนื้อสัตว์ไปบริโภคจึงไปตลาดทุกวัน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้แม่ติดโควิด-19 ทั้งที่ฉีดวัคซีนไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยผู้โพสต์ได้ระบุว่า...
 
แม่ผมติดเชื้อโควิด19 รายใหม่ครับเป็น 1ใน275คนของสงขลาที่ได้รับแจ้งผลวันนี้ และแม่ก็เป็น1ในผู้ป่วยโควิด19 กว่า2แสนคนทั่วประเทศจากคลัสเตอร์เมษา64
 
ทั้งที่นับแต่พบการระบาดระลอกแรก เราเฝ้าระวังแม่มาตลอด จนมารอบหลัง แม่เป็นแม่ค้าขายหมูที่ตลาดทรัพย์สิน แม่ไปตลาดทุกวันไม่เคยขาด ด้วยความห่วงลูกค้าประจำ ตลาดเป็นชีพจรของแม่ก็ว่าได้
ตื่นไปตลาดตี5 อยู่ตลาดถึงเที่ยงๆก็กลับบ้านไม่ไปไหน ตลาดจัดเป็นพื้นที่เสี่ยงสำหรับทุกแห่ง เพราะเป็นที่เปิด คนเข้าออกมาก การคัดกรองน้อย โรงงาน คนเรือ ก็มีจัดเสบียงกันที่ตลาดและใช้ห้องน้ำรวมกันจำนวนมาก ผมก็รู้ว่าเสี่ยง จึงกำชับให้แม่ไปฉีดวัคซีน เพื่อจะได้ลดความรุนแรงลงถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมา
 
วันที่14 มิถุนายที่​ผ่านมา จึงได้คิวไปฉีด แม่ก็สมัครใจเพราะอธิบายกันจนเข้าใจว่า กันดีกว่าแก้ หลังฉีดจึงโทรถามอาการข้างเคียงเกิดไหมทุกๆวันเช้าเย็น
 
7วันแรก ไม่มีอะไร บอกว่า สบายดี ราววันที่20หรือ21 บอกว่า รู้สึกปวดเมื่อยตัว คัดจมูกเหมือนนจะเป็นไข้หวัดใหญ่
 
เพื่อนที่เคยฉีดแอสตราเซเนกาไปก็บอกกว่าคงเป็นผลข้างเคียงจากวัคซีน จึงแนะให้กินยาพาราเซตามอล1เม็ด กินวันแรกยังเป็นอยู่ พี่ชายจึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล
 
หมอ​บอกไม่น่าจะมีอะไร อาจเกิดจากผลของวัคซีนได้ ให้รับพาราฯกับฟ้าทลายโจรมากิน
 
คราวนี้กินพาราทีละ2เม็ด /4ช.ม. เวลาถามบอกว่า กินยาแล้วหายปวดเมื่อย ตัวเบา เหงื่อออก ทำงานได้ ปกติ
 
พอหมดฤทธิ์ยา ก็เริ่มเป็นรุมๆอีก จึงกินแล้วก็ดีขึ้น
 
เมื่อ4วันก่อน โทรหาแม่บอกว่าวันนี้คัดจมูก ดมอะไร ไม่มีกลิ่น น้ำหอมก็ไม่มีกลิ่น เลยให้หลานพากลับไปหา​หมอที่โรงพยาบาล แล้วขอตรวจสวอปด้วย ให้แน่ใจ
 
เพราะแม่ไม่พบว่า เคยสัมผัสใครที่ว่าป่วยมาก่อนหน้า ทั้งที่บ้านและตลาด วันนั้นจนท.สวอปให้แต่เฉพาะแม่ เพราะเล่าอาการแล้วขอตรวจเอง
 
ส่วนหลานสาวเขาไม่ตรวจให้ วันนั้นที่ร.พ.สงขลา มีพนักงานบริษัทเรือน้ำมันหลายร้อยคนมารอตรวจ
 
จากวันนั้น โทรหาเช้าถามอาการ แม่บอกได้กลิ่นเหมือนเดิมแล้ว กินอาหารรู้รส จึงสั่งทุเรียนภูเขาไฟไป2ลูก แม่กิน​แล้วว่าอร่อยมาก
 
ถามว่า หายใจออกไหม บอกว่าดีขึ้น ไม่อัดอัด ฟังเสียงก็ดีขึ้น ถามว่าได้กลิ่นไหม บอกว่า ปกติดี อาจจะเพลียๆนิดหน่อย
 
ผ่านมาถึงช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ผลตรวจเป็นบวก มีเชื้อโควิด19 ต้องไปเข้าโรงพยาบาลสนามทันที
 
โทรถามทางโรงพยาบาลด้วยตัวเเองเขายืนยันผลตามนั้น หลานจึงไปส่ง เพื่อจะได้ตรวจในฐานะเสี่ยงสูงด้วย
 
แม่โทรบอกว่า ไม่ต้องห่วงแม่นะหมอคุยทางวีดีโอคอลที่โรงพยาบาลสนามเก้าเส้ง แล้ว อาการเหมือนที่เล่าให้ลูกฟัง...
 
แม่ไม่มีโรคประจำตัว แม้จะ74ปี แต่ทำงานทุกวัน ไม่เคยขาด ถึงตอนนี้ก็ยังคงหาว่าใครติดใคร มาจากไหนยังไม่ได้
 
ไทม์ไลน์ มีแค่บ้านกับตลาด.......ทำให้แม่ไม่คิดว่าจะติดเชื้อได้ อาการที่เกิดขึ้นมา จึงเข้าใจกันว่า เป็นข้างเคียงวัคซีน ที่คนอื่นเขาเป็นกัน
 
ไปหาหมอ2ครั้ง ก็ไม่ระบุว่า.อาการนั้นเป็นอะไร ให้กินพารารอดูอาการ
 
ดีที่ขอให้ตรวจ รอผลตรวจ4วันจึงออกมา
 
ยังคิดว่า ไม่น่ามีอะไร เพราะนานขนาดนี้ ถ้ามีเชื้อก็คงไม่รอผลนานถึง4วันออกแต่เขาว่า รู้วันนี้
 
โควิด19 ไม่ได้ไกลตัวเราอีกต่อไป มันใกล้เรามาทุกที แม่และผมไม่ได้ว่าใคร นำมาติด เพราะไม่มีใครอยากจะติดกันมา
แต่นับจากนี้ เราต้องระวังไม่พอ เพราะมันไม่รู้จะระวังอย่างไรให้รอดร้อยเปอร์เซ็นต์
แม้แต่คนขังอยู่ในเรือนจำยังติด....
 
คนมีอิสระ จะไปเหลืออะไรได้
 
เพราะแม้วัคซีนจะเป็นหนึ่งในความหวัง แต่แม่ฉีดเข็มแรกไปไม่ถึงสัปดาห์ อย่าว่าจะมีภูมิเลยครับ
 
โรคนี้พิเศษไปเยี่ยมไปหาไม่ได้ ได้แต่โทรให้กำลังใจ และคนไข้ก็ใช้มือถือได้ ก็ขอให้กำลังแม่และคนที่ป่วยและครอบครัวคนป่วยด้วย
 
ขอให้มีกำลังใจ....ไปด้วยกัน ก็อย่าชะล่าใจ มันอาจจะถึงเราในไม่ช้าก็เร็ว
 
เราทำดีที่สุดของเราแล้วอะไรจะเกิดกับเราเราก็ต้องยอมรับ และสู้ด้วยพลังใจที่มีครับ
 
https://www.facebook.com/joyjaturong/posts/4321773464509755
 

 
พิษโควิด คนคิดสั้นพุ่ง ใกล้เทียบเท่าปี 40 เผยแบบทดสอบแค่เครียดหรือซึมเศร้า
https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2127052?utm_source=PANORAMA_HOME
 
เชื่อว่าเวลานี้ ไม่ว่านักธุรกิจ หรือชนชั้นแรงงาน ต่างต้องเผชิญกับความเครียดกันอย่างหนัก หลังจาก ศบค. หรือศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ใช้ยาแรง ด้วยการคุมเข้มมาตรการเข้าออกจังหวัดสีแดง ล็อกดาวน์แคมป์คนงาน และห้ามรับประทานในร้านอาหาร
 
แน่นอนมันส่งผลอย่างร้ายแรงกับผู้ประกอบการและคนงานของผู้เกี่ยวข้อง... มิหนำซ้ำ เร็วๆ นี้ หากใครได้ติดตามข่าวจะทราบว่ามีข่าวฆ่าตัวตายแบบรายวัน
  
ด้วยเหตุนี้ กรมสุขภาพจิต จึงมีความเป็นห่วงเป็นใยของประชาชน ถ้าใครรู้สึกเครียด และไม่มีทางออก สามารถโทรเข้ามาปรึกษาที่เบอร์ 1323 หรือมาสำรวจจิตใจกับแบบสอบถาม ตาม QR Code หรือ คลิกลิงค์
 
โควิด-19 ระบาด คนฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น
 
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้พูดคุยกับ พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผอ.ศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต ยอมรับว่า จากปัญหาโควิด-19 ระบาดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทำให้มีสถิติคนคิดสั้นมากขึ้น ภาพรวมคือแย่ลงเรื่อยๆ
 
ผอ.ศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 เผยว่า เดิมสถานการณ์การฆ่าตัวตายมีสถิติ 6-7 คนต่อประชากร 1 แสนคน/ปี โดยตัวเลขลดลงเรื่อยๆ แต่เมื่อย้อนดูสถิติปีที่ผ่านมา และปีนี้ ปรากฏว่ากราฟสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ไปที่ 7.27 แล้ว และไม่อยากให้ตัวเลขขึ้นไปถึง 8 เพราะมันจะเหมือนตอนวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540
 
“เมื่อเป็นเช่นนี้ กรมสุขภาพจิต จึงอยากเปิดช่องทางช่วยเหลือประชาชนให้มีความเข้มแข็งทางใจ ด้วยการเปิดแบบสอบถาม “ประเมินสุขภาพใจ” โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ ประเมินความเครียด สุขภาพ และ กำลังใจ”
 
เมื่อเราทำแบบประเมินเสร็จ ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาเลย ถ้าผลออกมา ผลคะแนนไม่ดี เช่น สภาพจิตใจน่าเป็นห่วง จะมีคำถามเพิ่มเติม คือ จะยินยอมให้บุคลากรทางสาธารณสุขโทรหาเพื่อรับคำปรึกษาหรือไม่ ถ้ายินยอมก็จะมีเจ้าหน้าที่โทรหา เพื่อให้คำปรึกษาและให้การช่วยเหลือเบื้องต้น แต่ถ้าไม่ยินยอม ผู้ประเมินก็จะได้รู้สภาพตัวเองว่ามีความเครียดระดับไหน
 
พญ.วิมลรัตน์ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าปัญหาเศรษฐกิจทางเราอาจจะช่วยไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทางเราก็รับปรึกษา และมีข้อมูล คำแนะนำให้ระดับหนึ่งด้วย
 
“การที่มีคนคุยด้วยในยามที่เครียด เชื่อว่าจะทำให้ดีขึ้น อย่างน้อยก็สามารถระบายแล้วมีคนรับฟัง จากนั้นเราจะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการช่วยเหลือ เช่น การประนอมหนี้ ตรงไหนสามารถไปกู้เพื่อเอาเงินไปหมุน หรือสามารถรับบริจาคจากไหนได้บ้าง เป็นต้น”
 
คนทำงาน กลุ่มอาชีพผู้ใช้แรงงาน เลือกคิดสั้นสูงสุด
 
สำหรับ อัตราการฆ่าตัวตายในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นคนวัยไหน อาชีพอะไร พญ.วิมลรัตน์ เผยว่า ผู้ที่คิดสั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาย อัตรา 11.28 ผู้หญิง อัตรา 2.39
 
โดยแบ่งเป็น เด็กและวัยรุ่น 0.55 วัยทำงาน 9.80 และผู้สูงอายุ 8.29
 
สำหรับกลุ่มอาชีพที่มีการฆ่าตัวตายสูง ได้แก่ ผู้ใช้แรงงาน 37.2% เกษตรกรรม 26.4% และกลุ่มคนไม่มีรายได้ 21.3%
 
ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อันดับ 1 มาจากเรื่องความสัมพันธ์ ร้อยละ 56.8 รองลงมา คือ มาจากสุรา ร้อยละ 44.5 ป่วยทางจิต ร้อยละ 42.3 ปัญหาเศรษฐกิจ 26.4 และยาเสพติด ร้อยละ 13.8
 
“จากข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งบางรายจะมีปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า ซึ่งบางคนมีปัญหาหลายๆ อย่างรวมกันทำให้ภาพรวมดูแย่ลงไปอีก นี่เองคือสิ่งที่เราเป็นห่วง”
  
โควิด-19 ระบาด ส่งผลกับคนป่วยซึมเศร้าขนาดไหน พญ.วิมลรัตน์ ยอมรับว่ามีส่วน แต่ไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้า แต่เป็นทุกโรค
 
“จังหวัดที่ติดเยอะ มันมีผลต่อการใช้ชีวิต การเลี้ยงดูบุตร และการทำธุรกิจ ปี 2540 อาจจะเศรษฐกิจมีปัญหา แต่ก็ยังไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่โควิด-19 ระบาด เราป่วย ไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็ยังยาก เพราะหมอจะเลือกเคส เพราะถ้าไม่หนัก อาการคงที่ หมออาจจะเลือกให้ยามากิน โดยไม่ต้องเอาตัวไปเสี่ยงที่โรงพยาบาล”
 
วินาทีอันตรายทุกคนช่วยได้ แต่ต้องสังเกต
 
เราจะมีวิธีการสังเกตเพื่อช่วยเหลือคนที่กำลังเครียด และวิตกกังวลได้อย่างไร คุณหมอวิมลรัตน์ บอกว่า ถ้าอยู่กันเป็นครอบครัว ก็ช่วยกันสังเกตได้ ส่วนคนที่อยู่คนเดียว ชุมชนสังคมต้องช่วยเหลือ เช่น เพื่อนบ้าน เพื่อนฝูง สิ่งที่สังเกตได้คือ ถ้าจู่ๆ เขาเงียบหายไป มีพฤติกรรมแยกตัว หรือมีอารมณ์ฉุนเฉียว หรือพูดหรือเขียนอะไรในเชิงบอกลาบ่อยๆ ชีวิตไม่มีค่า ไม่ประสบความสำเร็จ
 
“การที่เขาเปลี่ยนไปลักษณะนี้ ถ้าเขายังบอก หรือ “สั่งเสีย” อะไรบางอย่าง ซึ่งคำสั่งเสียดังกล่าว คือ “การขอความช่วยเหลือ” มันคือคำที่บอกว่า ได้โปรดหันมาช่วยฉันหน่อยว่า ฉันยังไม่อยากตาย หากเราช่วยได้ เขาก็จะรอด
 
จุดตรงนี้คือจุดพีค ถ้ามีใครสักคนถาม “คิดจะทำร้ายตัวเองหรือเปล่า..?”
“วางแผนไว้หรือยัง..?”
“เคยทำแล้วหรือยัง...?”
 
ถ้าคำตอบคือว่า “แค่คิด...
แบบนี้ยังคุยกันได้
 
แต่ถ้าบอกว่า “ตั้งใจจะ...ซื้อของมาแล้ว
แบบนี้ไม่โอเคแล้ว ถ้ามีแผนชัดเจน แบบนี้ต้องรีบคุยแล้ว เพื่อหาทางช่วยแก้ปัญหา หรือถ้าคนใกล้ตัวคุยแล้วไม่ดีขึ้นก็อยากให้พามาพบแพทย์
 
หรือถ้าใครไม่รู้จะปรึกษาอย่างไร ก็ลองทำแบบประเมินนี้ดู (ทำแทนกันได้) หากคะแนนสูงดูมีความเสี่ยง เจ้าหน้าที่ก็จะโทรหา หากเราช่วยดึงออกมาได้ จะทำให้เขา “คิดยาวขึ้น”
 
การทำให้ช่วงเวลานั้นยาวขึ้น...จะช่วยชีวิตได้
 
“เวลานี้สุขภาพใจอาจจะไม่ใช่เรื่องหลักที่ต้องดูแล แต่เรื่องปากท้องอาจจะสำคัญกว่า เช่น ไม่มีแม้แต่ข้าวกิน แต่...ถ้าไม่มีกำลังใจเลย ก็จะไม่มีแรงที่แม้จะออกไปหาข้าวกิน ฉะนั้น เราอยากเกิดก้าวแรก ให้คนที่ท้อแท้ก้าวเดินไปหาข้าวก่อน ซึ่งตรงนี้เราพอช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตรงไหนมีการหยิบยื่นความช่วยเหลือได้บ้าง เช่น ที่ไหนมีข้าวแจกบ้าง” คุณหมอวิมลรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
 
ในห้วงเวลาแบบนี้หลายคนลำบาก ท้อแท้ แต่ขอว่าอย่าหมดหวัง เพราะเรายังมีคนที่รัก และรักเราอยู่
 
หากใครพอมีกำลัง ก็ขอให้ช่วยเหลือกัน บางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราหยิบยื่นให้ อาจช่วยชีวิตเขาได้ เพราะในห้วงที่มืดมิด แสงสว่างเล็กๆ ก็อาจจะนำทางสู่แสงสว่างได้.
 
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่