ฉันมองตรงไปยังดวงหน้าคม ของนาวาโทนายแพทย์จักรินทร์ ที่แต่งชุดทหารเรือเต็มยศสีกากี นั่งอยู่ที่กลางโต๊ะไม้ตัวยาว หนาหนัก บนกลางเวที ซึ่งเขาเป็น ผัที่มียศสูงสุดในเกาะหน้านี้ ที่นั่งตัวตรงตามองตรงไปเบื้องหน้า นั่งเป็นประธานการสอบสวน และตัดสินบทลงโทษของนายทหารทั้งสาม ที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวคอกลม และกางเกงสีดำ ที่นั่งเรียงหน้ากระดาน หันหน้าเข้าไปทางเวที ที่อยู่ด้านหน้าของ ผู้บังคับบัญชาการทั้งสอง ในโรงอาหาร ที่ตอนนี้ เปลี่ยนมาใช้ เป็นศาลตัดสินคดีความ โดยที่นายทหารทั้งหมดของเกาะหน้า นั่งเก้าอี้เรียงแถวอย่างดี อยู่ทางเบื้องหลังของ นักโทษทั้งสาม ที่ตอนนี้นักโทษทั้งสาม มีกุญแจมือ และโซ่ตรวนล่ามที่เท้า นั่งก้มหัวมองต่ำที่พื้นตลอดเวลา
"จากปากคำให้การของคุณม่านหมอก ราชสีหะกรมม์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน" เสียงของผู้กองพันวา ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉัน ที่นั่ง อยู่ไม่ไกลไปจากสามนักโทษเท่าไหร่ เอ่ยดังขึ้น
"เธอให้ปากคำว่า เห็นจ่าตรีธเนศ และจ่าตรีสมเดช สังกัดหน่วยช่างยานยนต์ และเรือยนต์ ร่วมกับจ่าเอกยุทธนา สังกัดหน่วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้เข้าไปในห้องคลังอาวุธในยามวิกาล และเคลื่อนย้าย อาวุธรวม หกสองรายการ โดยมิได้รับคำสั่ง จากผู้บังคับบัญชา ถือว่าเป็นความผิดข้อหาลักทรัพย์สมบัติของกองกำลังทหารเรือ ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ"
ผู้กองพันวากล่าวรายงาน แก่ประธานการสอบสวนและตัดสินบทลงโทษ ที่ปรายตาลงต่ำสบตาฉันเล็กน้อย ก่อนที่จะ มองตรงไปทางเบื้องหน้าอีกครั้ง
"อีกทั้งยัง ทำร้ายและพยายามควบคุม หน่วงเหนี่ยว คุณม่านหมอก ไว้เพื่อเป็นตัวประกันอีกด้วย" สิ้นคำของผู้กองพันวา ฉันเหลือบตาไปมอง จ่าเอกยุทธนา ที่ตอนนี้ใบหน้ามีผ้าปิดแผลผืนใหญ่ แปะอยู่ที่ใบหน้า และคางของฝ่ายชาย เพราะโดนตีเสยเข้าคางและแสกหน้า ด้วยฝีมือฉัน จนคางแตก ดั้งจมูกหัก และในหน้ามีแผลยาว
ซึ่งจ่าเอกยุทธนา ก็ได้ผู้พันหมอ เป็นผู้เย็บแผลให้เขา ถึงแม้ว่าจ่าคนนี้ จะเป็นนักโทษ ที่คิดจะทำร้าย และหน่วงเหนี่ยว ภรรยาของตนก็ตาม แต่ผู้พันหมอ ก็ยังมีจิตวิญญาณ และจรรยาบรรณของหมอ ที่ต้องรักษาคนไข้ และผู้ป่วย ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครตาม หากแต่ในเวลานี้ จ่าเอกยุทธนา ที่ส่งสายตามองฉันนั้น หาได้มองมาอย่างเป็นมิตรนัก
"จากการกระทำทั้งหมดของนายทหารทั้งสาม เข้าข่ายโทษฐานความผิดประพฤติชั่วขั้นร้ายแรง โทษฐานข้อหายักยอกทรัพย์ และลักทรัพย์ของทางราชการ และบทลงโทษก็คือ การถูกปลดออกจากราชการ"
สิ้นเสียงการอ่านรายงาน ของผู้กองพันวา ทำให้หญิงสาวทั้งสาวคน ที่เป็นภรรยา ของอดีตทหารเรือหมาดๆ ทั้งสาม ที่นั่งอยู่แถวหลังสุด ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา จนฉันต้องหันไปมอง
"ซึ่งนับจากนี้ไป กระผมเรืออากาศเอกพันวา ผู้บังคับการระดับสอง หน่วยราชการเกาะหน้า ขอประกาศปลด จ่าเอกยุทธนาจ่าตรีธเนศ และจ่าตรีสมเดช ออกจากราชการ แห่งราชนาวีไทย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
สิ้นเสียงประกาศอันดังกึกก้องของผู้กองพันวา ทำให้ฉันรู้สึกขนลุกถึงรังสีอำมหิต แผ่ซ่านมาโดนตัว จึงหันไปมองนายยุทธนา ที่นั่งจ้องมองฉันอย่างกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ฉันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
"และพรุ่งนี้ในเวลาแปดนาฬิกา จะมีการนำตัวผู้ต้องหาทั้งสาม ไปขึ้นเรือยนต์ เพื่อนำตัวไปยังฐานทัพเรือหน่วยฝั่งตะวันออก เพื่อที่จะส่งตัวเข้าพิจารณาคดี และรับโทษที่ศาลอาญา ในฐานะพลเรือนต่อไป... ครับผม"
ผู้กองพันวา ยืดตัวตรง ตบเท้าเสียงดัง ก่อนที่จะทำวันทยหัตถ์ เคารพผู้บังคับการระดับหนึ่ง หน่วยราชการเกาะหน้า ที่นั่งฟังการรายงานอยู่เงียบๆ จนจบการรายงาน ทำให้เขา ดันตัวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ทำให้นายทหารทุกนายลุกขึ้นยืน ตบเท้าเสียงดัง และทำวันทยหัตถ์กันอย่างพร้อมเพรียง
"คุณทำได้มีมาก" ผู้กองพันวา ตบบ่าฉันเบาๆ เมื่อเขาเอ่ยไปถึงการให้คำ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หลังจากที่ฉันมองตามนักโทษสามคนที่ถูกควบคุมตัว ให้เดินออกไปจากโรงอาหารนั้นช้าๆ
"ถึงขั้นต้องไล่ออกกันเลยหรือคะ" ฉันถามผู้กองพันวา ที่ใบหน้ามองไปรอบๆ โรงอาหาร ที่ตอนนี้ นายทหารทุกคนได้เดินเรียงแถวออกจากโรงอาหารไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อย
"การลักทรัพย์ เป็นการทำผิดกฎระเบียบข้อหารุนแรง ของทางกองทัพเรือครับ" เสียงของผู้พันหมอ ดังขึ้นข้างหลังฉัน ทำให้ฉันหันหลังไปมอง ก่อนที่เขาจะมาหยุดยืนเคียงข้างฉัน และผู้กองพันวา
"ไม่ว่าการลักขโมยของ ของพลเรือน หรือของ ของทางราชการ ถือว่าเป็นความประพฤติผิดที่รุนแรง"
"น่าเสียดายนะคะ ยังหนุ่ม ยังแน่นกันทั้งสามคน เสียดายอนาคตของเขานะคะ"
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรได้อีก หญิงสาวทั้งสาม ที่เป็นภรรยาของนักโทษทั้งสามคนก็เดินตรงเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นปูนตรงหน้าฉัน เธอทั้งสาม เอามือพนมไว้ที่หน้าอก
"คูณนายผู้พันขา.. หนูกราบขอโทษแทนพี่ยุทธด้วยค่ะ" เธอคนนั้นก้มลงกราบที่ปลายเท้าของฉัน ทำให้อีกสองสาวก้มลงกราบพร้อมกัน ทำให้ฉันตกใจเป็นอย่างยิ่ง
"หนูขอโทษที่พี่ยุทธทำแบบนั้นกับคุณนาย แต่คุณนายช่วยพูดกับผู้พันหมอ และผู้กองพันวา ขอให้ทบทวนบทลงโทษด้วยนะคะ อย่าปลดผัวเราทั้งสาม ออกจากราชการเลยนะคะ"
เสียงพูดของเธอผสมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ของหญิงทั้งสาม เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก ทำให้ฉันหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้พันหมอ ที่มิได้มองหญิงทั้งสามเลยด้วยซ้ำ
"ฉัน... เอ่อ..." ฉันมองผู้พันหมออีกครั้ง แต่เขายังนิ่งเฉย หลังตรงคอตั้ง ดวงตามองไปยังเบื้องหน้า อย่างไม่รู้สึกรู้สากับสามสาวที่ร้องไห้ระงมตรงหน้า ซึ่งเป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นเขาในลักษณะแบบนี้มาก่อน
"ฉันเอ่อ คงช่วยอะไรไม่ได้ หรอกจ้ะ เพราะมันต้องเป็นไปตามบทลงโทษ" ฉันตอบเสียงอ่อย
"แต่ถ้าผัวของเราทั้งสาม ต้องออกจากราชการ เราทั้งสามก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อไป แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว" ภรรยาของอดีตจ่าเอกยุทธนาเอ่ยอ้อนวอน จนฉันสงสารแทบขาดใจ
"ผู้กองพันวา" เสียงของผู้พันหมอดังขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อตบเท้าเสียงดังก่อนที่จะยืนตัวตรงพร้อมรับคำสั่ง
"สั่งให้จ่าพร้อย นำนายทหารตรวจเช็กบ้านพักนายทหารเรือ ของนักโทษทั้งสาม และทำการยึดคืนบ้านพักภายในเวลาสามสิบวัน" ผู้บังคับการระดับหนึ่ง เอ่ยสั่งเสียงเข้ม ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างช้าๆ ทำให้หญิงสาวทั้งสาวร้องไห้ระงมหนักขึ้น
"สามสิบวัน... คุณนายขา... ช่วยพูดกับผู้พันหมอให้ด้วยเถิดค่ะ พวกเราไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนจริงๆ"
เสียงอ้อนวอน ประกอบกับการก้มลงกราบที่ปลายเท้าฉัน ทำให้ฉันอึดอัด ไม่รู้จะทำอย่างไร จนต้องก้มลงตัว กล่าวขอโทษขอโพย หญิงทั้งสามคน ก่อนที่จะก้าวตามหลัง.... คุณสามี.. ไปอย่างรวดเร็ว
"คุณจักรคะ" ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคนร่างสูง ที่ก้าวยาวๆ ไปยังรถจี๊ปที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ เขาหันมามองฉันดวงตาแข็งกร้าวเมื่อสักครู่อ่อนแสงลง
"คุณจะมาขอร้องให้ผมใจอ่อนยอมยกโทษให้คนพวกนั้นหรือ" เขาถามฉันก่อนที่จะเปิดประตูให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนที่จะวกเดินกลับไปนั่งลงที่เบาะคนขับ
"คุณรู้ไหมว่าเมื่อคืนผมนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะคิดไปว่า ถ้าผมไปช่วยคุณไม่ทัน ผมก็ไม่แน่ใจว่า พวกมันจะทำอะไรคุณบ้าง" จักรินทร์ระเบิดเสียงออกมา อย่างยากที่จะควบคุมสติของเขา
"เอาละคะ.. ฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว..." ฉันเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ที่กำพวงมาลัยรถแน่น
"ฉันเพียงแค่สงสารครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น เพราะต้องย้ายออกจากเกาะหน้า.. อีกอย่างฉันก็เริ่มคุ้นเคยกับพวกแม่บ้านนายทหาร ทั้งสามคนนั้นด้วย.. ก็อดสงสารพวกเขาไม่ได้"
"แล้วคุณคิดว่าผมไม่สงสารพวกเขาอย่างนั้นหรือ หากแต่ว่า กฎก็ต้องเป็นกฎ ... และความผิดร้ายแรงอย่างนั้น จะให้ผมสั่งขังสิบวัน สามสิบวัน ก็คงเป็นไปไม่ได้ คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่หลาบจำ ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า" คนพูดมีสีหน้าเครียดขึงอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
"เอาละค่ะ... ฉันเข้าใจคุณ"
"คุณนี่ก็แปลก.. ที่ไม่คิดโกรธพวกเขาเลยหรือไง หรือว่า.. ได้ตีหน้านายยุทธนาแหกไปแล้ว ก็พอใจแล้ว" คนพูดเริ่มกลับมาอารมณ์ดีขึ้น
"คุณรู้ไหมว่า เมื่อเช้านี้ตอนที่ผมเข้าออฟฟิศไป มีแต่คนพูดถึงเรื่องที่คุณฟาดหน้านายยุทธนาหน้าแหก ไปทั้งเกาะ"
"ขอโทษนะคะ ฉันนี่ทำให้คุณขายหน้าอีกแล้ว" ฉันมองใบหน้าคม ที่หัวเราะออกมาอย่างขำขัน
"ผมนี่นะขายหน้า... ผมภูมิใจต่างหาก.. ที่เมียผม เก่ง และเท่กว่าใครๆ .."
"ที่ฉันตีหน้านายนั่นแหก ก็เพราะตกใจ คิดว่ามันจะยิงคุณ ไม่ใช่ว่าโกรธแค้นอะไรใคร หรืออยากทำเท่อะไร" ฉันเอ่ยขึ้นเสียงอ่อย ทำให้เขาหัวเราะหึๆ อยู่ในคอ..
"นี่คุณห่วงผมขนาดนี้เลยหรือ" คนพูดเอาดึงมือฉันไปเกาะกุม ก่อนที่จะส่งดวงตาวิบวับมาให้ฉัน
"ก็คือ.. ฉันตกใจด้วย.. แล้วก็... ฉันคงทนไม่ได้ ถ้าเห็นคุณถูกยิงไปต่อหน้าต่อตา"
ฉันถอนหายใจ ก่อนที่จะเอ่ยออกไป ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่สุด เพราะถ้าเมื่อคืนนี้ ฉันเห็นชายตรงหน้าถูกยิงไปต่อหน้าต่อตา ฉันคงทนไม่ได้ และถ้าหากว่า..
... เขาเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา... ฉันจะอยู่อย่างไร... โดยที่ไม่มีเขา..
---------------------------------
เล่ห์รักหัวใจ ตกกระไดพลอยโจน ตอนที่ 20
"จากปากคำให้การของคุณม่านหมอก ราชสีหะกรมม์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน" เสียงของผู้กองพันวา ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉัน ที่นั่ง อยู่ไม่ไกลไปจากสามนักโทษเท่าไหร่ เอ่ยดังขึ้น
"เธอให้ปากคำว่า เห็นจ่าตรีธเนศ และจ่าตรีสมเดช สังกัดหน่วยช่างยานยนต์ และเรือยนต์ ร่วมกับจ่าเอกยุทธนา สังกัดหน่วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้เข้าไปในห้องคลังอาวุธในยามวิกาล และเคลื่อนย้าย อาวุธรวม หกสองรายการ โดยมิได้รับคำสั่ง จากผู้บังคับบัญชา ถือว่าเป็นความผิดข้อหาลักทรัพย์สมบัติของกองกำลังทหารเรือ ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ"
ผู้กองพันวากล่าวรายงาน แก่ประธานการสอบสวนและตัดสินบทลงโทษ ที่ปรายตาลงต่ำสบตาฉันเล็กน้อย ก่อนที่จะ มองตรงไปทางเบื้องหน้าอีกครั้ง
"อีกทั้งยัง ทำร้ายและพยายามควบคุม หน่วงเหนี่ยว คุณม่านหมอก ไว้เพื่อเป็นตัวประกันอีกด้วย" สิ้นคำของผู้กองพันวา ฉันเหลือบตาไปมอง จ่าเอกยุทธนา ที่ตอนนี้ใบหน้ามีผ้าปิดแผลผืนใหญ่ แปะอยู่ที่ใบหน้า และคางของฝ่ายชาย เพราะโดนตีเสยเข้าคางและแสกหน้า ด้วยฝีมือฉัน จนคางแตก ดั้งจมูกหัก และในหน้ามีแผลยาว
ซึ่งจ่าเอกยุทธนา ก็ได้ผู้พันหมอ เป็นผู้เย็บแผลให้เขา ถึงแม้ว่าจ่าคนนี้ จะเป็นนักโทษ ที่คิดจะทำร้าย และหน่วงเหนี่ยว ภรรยาของตนก็ตาม แต่ผู้พันหมอ ก็ยังมีจิตวิญญาณ และจรรยาบรรณของหมอ ที่ต้องรักษาคนไข้ และผู้ป่วย ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครตาม หากแต่ในเวลานี้ จ่าเอกยุทธนา ที่ส่งสายตามองฉันนั้น หาได้มองมาอย่างเป็นมิตรนัก
"จากการกระทำทั้งหมดของนายทหารทั้งสาม เข้าข่ายโทษฐานความผิดประพฤติชั่วขั้นร้ายแรง โทษฐานข้อหายักยอกทรัพย์ และลักทรัพย์ของทางราชการ และบทลงโทษก็คือ การถูกปลดออกจากราชการ"
สิ้นเสียงการอ่านรายงาน ของผู้กองพันวา ทำให้หญิงสาวทั้งสาวคน ที่เป็นภรรยา ของอดีตทหารเรือหมาดๆ ทั้งสาม ที่นั่งอยู่แถวหลังสุด ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา จนฉันต้องหันไปมอง
"ซึ่งนับจากนี้ไป กระผมเรืออากาศเอกพันวา ผู้บังคับการระดับสอง หน่วยราชการเกาะหน้า ขอประกาศปลด จ่าเอกยุทธนาจ่าตรีธเนศ และจ่าตรีสมเดช ออกจากราชการ แห่งราชนาวีไทย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
สิ้นเสียงประกาศอันดังกึกก้องของผู้กองพันวา ทำให้ฉันรู้สึกขนลุกถึงรังสีอำมหิต แผ่ซ่านมาโดนตัว จึงหันไปมองนายยุทธนา ที่นั่งจ้องมองฉันอย่างกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ฉันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
"และพรุ่งนี้ในเวลาแปดนาฬิกา จะมีการนำตัวผู้ต้องหาทั้งสาม ไปขึ้นเรือยนต์ เพื่อนำตัวไปยังฐานทัพเรือหน่วยฝั่งตะวันออก เพื่อที่จะส่งตัวเข้าพิจารณาคดี และรับโทษที่ศาลอาญา ในฐานะพลเรือนต่อไป... ครับผม"
ผู้กองพันวา ยืดตัวตรง ตบเท้าเสียงดัง ก่อนที่จะทำวันทยหัตถ์ เคารพผู้บังคับการระดับหนึ่ง หน่วยราชการเกาะหน้า ที่นั่งฟังการรายงานอยู่เงียบๆ จนจบการรายงาน ทำให้เขา ดันตัวลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ทำให้นายทหารทุกนายลุกขึ้นยืน ตบเท้าเสียงดัง และทำวันทยหัตถ์กันอย่างพร้อมเพรียง
"คุณทำได้มีมาก" ผู้กองพันวา ตบบ่าฉันเบาๆ เมื่อเขาเอ่ยไปถึงการให้คำ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หลังจากที่ฉันมองตามนักโทษสามคนที่ถูกควบคุมตัว ให้เดินออกไปจากโรงอาหารนั้นช้าๆ
"ถึงขั้นต้องไล่ออกกันเลยหรือคะ" ฉันถามผู้กองพันวา ที่ใบหน้ามองไปรอบๆ โรงอาหาร ที่ตอนนี้ นายทหารทุกคนได้เดินเรียงแถวออกจากโรงอาหารไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อย
"การลักทรัพย์ เป็นการทำผิดกฎระเบียบข้อหารุนแรง ของทางกองทัพเรือครับ" เสียงของผู้พันหมอ ดังขึ้นข้างหลังฉัน ทำให้ฉันหันหลังไปมอง ก่อนที่เขาจะมาหยุดยืนเคียงข้างฉัน และผู้กองพันวา
"ไม่ว่าการลักขโมยของ ของพลเรือน หรือของ ของทางราชการ ถือว่าเป็นความประพฤติผิดที่รุนแรง"
"น่าเสียดายนะคะ ยังหนุ่ม ยังแน่นกันทั้งสามคน เสียดายอนาคตของเขานะคะ"
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรได้อีก หญิงสาวทั้งสาม ที่เป็นภรรยาของนักโทษทั้งสามคนก็เดินตรงเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นปูนตรงหน้าฉัน เธอทั้งสาม เอามือพนมไว้ที่หน้าอก
"คูณนายผู้พันขา.. หนูกราบขอโทษแทนพี่ยุทธด้วยค่ะ" เธอคนนั้นก้มลงกราบที่ปลายเท้าของฉัน ทำให้อีกสองสาวก้มลงกราบพร้อมกัน ทำให้ฉันตกใจเป็นอย่างยิ่ง
"หนูขอโทษที่พี่ยุทธทำแบบนั้นกับคุณนาย แต่คุณนายช่วยพูดกับผู้พันหมอ และผู้กองพันวา ขอให้ทบทวนบทลงโทษด้วยนะคะ อย่าปลดผัวเราทั้งสาม ออกจากราชการเลยนะคะ"
เสียงพูดของเธอผสมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ของหญิงทั้งสาม เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก ทำให้ฉันหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้พันหมอ ที่มิได้มองหญิงทั้งสามเลยด้วยซ้ำ
"ฉัน... เอ่อ..." ฉันมองผู้พันหมออีกครั้ง แต่เขายังนิ่งเฉย หลังตรงคอตั้ง ดวงตามองไปยังเบื้องหน้า อย่างไม่รู้สึกรู้สากับสามสาวที่ร้องไห้ระงมตรงหน้า ซึ่งเป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นเขาในลักษณะแบบนี้มาก่อน
"ฉันเอ่อ คงช่วยอะไรไม่ได้ หรอกจ้ะ เพราะมันต้องเป็นไปตามบทลงโทษ" ฉันตอบเสียงอ่อย
"แต่ถ้าผัวของเราทั้งสาม ต้องออกจากราชการ เราทั้งสามก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อไป แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว" ภรรยาของอดีตจ่าเอกยุทธนาเอ่ยอ้อนวอน จนฉันสงสารแทบขาดใจ
"ผู้กองพันวา" เสียงของผู้พันหมอดังขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อตบเท้าเสียงดังก่อนที่จะยืนตัวตรงพร้อมรับคำสั่ง
"สั่งให้จ่าพร้อย นำนายทหารตรวจเช็กบ้านพักนายทหารเรือ ของนักโทษทั้งสาม และทำการยึดคืนบ้านพักภายในเวลาสามสิบวัน" ผู้บังคับการระดับหนึ่ง เอ่ยสั่งเสียงเข้ม ก่อนที่จะก้าวเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างช้าๆ ทำให้หญิงสาวทั้งสาวร้องไห้ระงมหนักขึ้น
"สามสิบวัน... คุณนายขา... ช่วยพูดกับผู้พันหมอให้ด้วยเถิดค่ะ พวกเราไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนจริงๆ"
เสียงอ้อนวอน ประกอบกับการก้มลงกราบที่ปลายเท้าฉัน ทำให้ฉันอึดอัด ไม่รู้จะทำอย่างไร จนต้องก้มลงตัว กล่าวขอโทษขอโพย หญิงทั้งสามคน ก่อนที่จะก้าวตามหลัง.... คุณสามี.. ไปอย่างรวดเร็ว
"คุณจักรคะ" ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคนร่างสูง ที่ก้าวยาวๆ ไปยังรถจี๊ปที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ เขาหันมามองฉันดวงตาแข็งกร้าวเมื่อสักครู่อ่อนแสงลง
"คุณจะมาขอร้องให้ผมใจอ่อนยอมยกโทษให้คนพวกนั้นหรือ" เขาถามฉันก่อนที่จะเปิดประตูให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนที่จะวกเดินกลับไปนั่งลงที่เบาะคนขับ
"คุณรู้ไหมว่าเมื่อคืนผมนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะคิดไปว่า ถ้าผมไปช่วยคุณไม่ทัน ผมก็ไม่แน่ใจว่า พวกมันจะทำอะไรคุณบ้าง" จักรินทร์ระเบิดเสียงออกมา อย่างยากที่จะควบคุมสติของเขา
"เอาละคะ.. ฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว..." ฉันเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ที่กำพวงมาลัยรถแน่น
"ฉันเพียงแค่สงสารครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น เพราะต้องย้ายออกจากเกาะหน้า.. อีกอย่างฉันก็เริ่มคุ้นเคยกับพวกแม่บ้านนายทหาร ทั้งสามคนนั้นด้วย.. ก็อดสงสารพวกเขาไม่ได้"
"แล้วคุณคิดว่าผมไม่สงสารพวกเขาอย่างนั้นหรือ หากแต่ว่า กฎก็ต้องเป็นกฎ ... และความผิดร้ายแรงอย่างนั้น จะให้ผมสั่งขังสิบวัน สามสิบวัน ก็คงเป็นไปไม่ได้ คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่หลาบจำ ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า" คนพูดมีสีหน้าเครียดขึงอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
"เอาละค่ะ... ฉันเข้าใจคุณ"
"คุณนี่ก็แปลก.. ที่ไม่คิดโกรธพวกเขาเลยหรือไง หรือว่า.. ได้ตีหน้านายยุทธนาแหกไปแล้ว ก็พอใจแล้ว" คนพูดเริ่มกลับมาอารมณ์ดีขึ้น
"คุณรู้ไหมว่า เมื่อเช้านี้ตอนที่ผมเข้าออฟฟิศไป มีแต่คนพูดถึงเรื่องที่คุณฟาดหน้านายยุทธนาหน้าแหก ไปทั้งเกาะ"
"ขอโทษนะคะ ฉันนี่ทำให้คุณขายหน้าอีกแล้ว" ฉันมองใบหน้าคม ที่หัวเราะออกมาอย่างขำขัน
"ผมนี่นะขายหน้า... ผมภูมิใจต่างหาก.. ที่เมียผม เก่ง และเท่กว่าใครๆ .."
"ที่ฉันตีหน้านายนั่นแหก ก็เพราะตกใจ คิดว่ามันจะยิงคุณ ไม่ใช่ว่าโกรธแค้นอะไรใคร หรืออยากทำเท่อะไร" ฉันเอ่ยขึ้นเสียงอ่อย ทำให้เขาหัวเราะหึๆ อยู่ในคอ..
"นี่คุณห่วงผมขนาดนี้เลยหรือ" คนพูดเอาดึงมือฉันไปเกาะกุม ก่อนที่จะส่งดวงตาวิบวับมาให้ฉัน
"ก็คือ.. ฉันตกใจด้วย.. แล้วก็... ฉันคงทนไม่ได้ ถ้าเห็นคุณถูกยิงไปต่อหน้าต่อตา"
ฉันถอนหายใจ ก่อนที่จะเอ่ยออกไป ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่สุด เพราะถ้าเมื่อคืนนี้ ฉันเห็นชายตรงหน้าถูกยิงไปต่อหน้าต่อตา ฉันคงทนไม่ได้ และถ้าหากว่า..
... เขาเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา... ฉันจะอยู่อย่างไร... โดยที่ไม่มีเขา..
---------------------------------