JJNY : บุคลากรการแพทย์ รพ.เชียงรายติดโควิด│‘จิราพร’ชวนจับตา แก้รธน.ร่วมCPTPP│อ.เสนอล็อกดาวน์กทม.│จับตากนง.หั่น‘จีดีพี’

ตะลึง! เพจดัง เผย บุคลากรการแพทย์ รพ.เชียงราย ติดโควิดรวด 39 คน ทั้งที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2790562

 
ตะลึง! เพจดัง เผย บุคลากรการแพทย์ รพ.เชียงราย ติดโควิดรวด 39 คน ทั้งที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน เพจเรื่องเล่าจากโรงหมอ โพสต์ข้อความระบุว่า 
 
รพ.เชียงราย… 
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ (ซึ่งน่าจะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม เกิน 2 สัปดาห์แล้วเกือบทั้งหมด) ติดโควิดแล้ว 39 คน…เป็นกำลังใจให้ชาวรพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ และเพื่อนร่วมชะตากรรมบุคลากรการแพทย์ทุกท่านครับ
 
ของที่ดี คือของที่มี…
 
ของที่เรามี กันตายได้แน่นอน…
 
ถ้ายังนิ่งนอนใจ เชื่อมั่นกันต่อ อาจจะได้ของเดิมรอบที่สาม
 
พร้อมภาพแถลงการณ์โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดยนายแพทย์ไชยเวช ธนไพศาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระบุว่า 
สืบเนื่องจากกรณีที่บุคลากรของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ขอเรียนให้ทราบว่าทันทีที่มีการตรวจพบว่ามีการติดเชื้อโรงพยาบาลได้ทำการแยกเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาและทีมสอบสวนโรคได้ดำเนินการสอบสวนหาผู้เกี่ยวข้องและแจ้งให้เข้าสู่กระบวนการโดยเร็วที่สุดเพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์และผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็ว ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2554 เวลา 10.00 น. พบบุคลากรของโรงพยาบาลติดเชื้อทั้งสิ้น 39 คน มีอาการเล็กน้อย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ
 
โรงพยาบาลได้มีการประชุมคณะกรรมการ EOC ของโรงพยาบาลเพื่อกำหนดแนวทางการควบคุมและป้องกันเพื่อมิให้เกิดการแพร่ระบาด โดยกำหนดมาตรการ ดังนี้ 
1. กำหนดให้พื้นที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมเป็นพื้นที่ควบคุมงดรับผู้ป่วย 
2. กำหนดให้ญาติสามารถเฝ้าไข้ได้ 1 คนเน้นย้ำให้เป็นคนเดิมและงดเยี่ยมทุกกรณี 
3. บุคลากรทุกคนจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด 
4. มีการเฝ้าระวังในบุคลากรที่มีอาการไข้ไอเจ็บคอให้หยุดงานทันที 5.โรงพยาบาลจำเป็นต้องมีการปรับการให้บริการลง 50% เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
 
เนื่องจากมีการปรับลดบริการลง 50% จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง แพทย์นัด ยังสามารถเข้ารับบริการได้ ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกท่านมาโรงพยาบาลเท่าที่จำเป็น อาจจะไม่ได้รับความสะดวกในการรับบริการทางโรงพยาบาลขออภัยมา ณ โอกาสนี้ ในกรณีฉุกเฉินยังสามารถรับบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นการควบคุมการระบาดขอให้ทุกท่านที่เข้ามาในพื้นที่โรงพยาบาลสวมหน้ากากอนามัยเว้นระยะห่างปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกันโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด
 
จึงประกาศแจ้งมาเพื่อทราบ และขอขอบคุณประชาชนทุกท่านที่มีความห่วงใยต่อบุคลากรของโรงพยาบาลสิ่งที่จะเป็นขวัญและกำลังใจสำคัญให้โรงพยาบาล ณ เวลานี้ คือ การที่ประชาชนทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง และให้ประชาชนทุกท่านได้รับวัคซีนให้เร็วและมากที่สุด เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เราสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้ “เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
 
https://www.facebook.com/Hospitalstale/posts/4066188223456973
 


‘จิราพร’ ชวน จับตา รบ.จริงใจ แก้รธน. ร่วม CPTPP หรือไม่ ย้ำต้องโปร่งใส เพื่อปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_2790585

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า ในวันที่ 24 มิถุนายน มี 2 วาระใหญ่ของประเทศที่ประชาชนต้องจับตาดูความจริงใจของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด คือ การแก้รัฐธรรมนูญยกที่ 2 ปรากฎว่าประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างที่พรรคพท.เสนอให้แก้ไข มาตรา 256 ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) เพื่อรื้อกติกาเผด็จการและสร้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จึงขอให้ประธานรัฐสภาได้ชี้แจงต่อสมาชิกรัฐสภาและประชาชนถึงเหตุผลการไม่บรรจุร่างด้วย เนื่องจากการยื่นญัตตินี้พรรคพท.ได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาทุกประการ ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีความจริงใจและเห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติจะต้องร่วมปิดสวิตช์ ส.ว. ที่ทำให้เจตนารมณ์ของประชาชนถูกบิดเบือน ตามที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทยได้เสนอในรายมาตรา นอกจากนี้อีกหนึ่งประเด็นใหญ่ที่ถูกข่าวการแก้รัฐธรรมนูญกลบไปคือ กรณีที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาผลการศึกษาความตกลง CPTPP ของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และจะมีมติว่าไทยควรเจรจาเข้าร่วมความตกลงดังกล่าวหรือไม่
 
อย่างไรก็ดี พรรคพท.ได้เคยเสนอแนะต่อรัฐบาลว่า ก่อนที่จะนำผลการศึกษา CPTPP เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อเคาะเป็นนโยบาย ขอให้รัฐบาลได้กำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเปิดเผยผลการศึกษาของภาครัฐที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย รวมถึงข้อมูลจากภาคประชาสังคมจากหลากหลายแหล่ง ให้ประชาชนจากทุกภาคส่วนและทุกภูมิภาคทั่วประเทศได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะประชาชนคือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงต่อความตกลงระหว่างประเทศฉบับนี้ แต่ปรากฎว่าที่ผ่านมา ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบกลับเน้นการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความเห็นกับสื่อมวลชน มีเพียงหน่วยงานภาครัฐ ตัวแทนนักวิชาการเป็นผู้ให้ข้อมูล
 
“การดำเนินการที่ผ่านมาของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และความตกลง CPTPP มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความไม่จริงใจของรัฐบาลในการดำเนินการ ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญถูกเตะถ่วงและเบี่ยงเบนประเด็นทั้งๆ ที่เป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ ในขณะที่การดำเนินการเกี่ยวกับ CPTPP มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส ทำให้ประชาชนแคลงใจในข้อมูลของรัฐบาลมาโดยตลอด หากรัฐบาลมีความจริงใจต่อประชาชนและมั่นใจว่าความตกลง CPTPP มีผลดีมากกว่าผลเสียจริง ก็ขอให้ดำเนินการเปิดเผยผลการศึกษาของกนศ. ร่วมกับข้อมูลจากภาคประชาสังคมให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ก่อนที่จะมีการตัดสินใจว่าควรจะเข้าร่วมการเจรจาความตกลงนี้หรือไม่ จะทำให้ไทยก้าวอย่างรอบคอบและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด” น.ส.จิราพร กล่าว
   

 
อ.นิธิพัฒน์ เสนอล็อกดาวน์ กทม. หลังโควิดนิวไฮ เตียงเริ่มไม่พอรับ
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6469238

รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เป็นข้อเสนอการล็อคดาวน์กรุงเทพอย่างน้อย 7 วัน เพื่อเร่งจัดการปัญหาค้างคา และลดปัญหาใหม่ที่จะพอกพูนเพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้าที่กว่ามาตรเด็ดขาดเพื่อลดการเคลื่อนย้ายของประชาชนจะเห็นผล
   
โดยโพสต์ระบุว่า 
 
“ ดูเหมือนเราจะจนตรอกมีทางเลือกไม่มากแล้ว ลองพิจารณาสถานการณ์โควิดในกทม.ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนี้ ​

 
1. ยอดผู้ป่วยใหม่รายวันไม่ลดลงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปเกินสี่หลัก 

2. อัตราการตรวจพบเชื้อรายใหม่ในการตรวจเชิงรับ คือ ตรวจผู้ที่เข้ารับการตรวจในโรงพยาบาลทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งรัฐและเอกชน สูงกว่า 10% ทั้งๆ ที่แต่ละโรงพยายามตรวจให้น้อยเพราะไม่มีเตียงรับผู้ป่วยถ้าผลเป็นบวก
 
3. มีสัดส่วนผู้ป่วยเด็กมากขึ้นกว่าระลอกก่อนๆ แสดงว่าโรคระบาดซึมลึกเข้าไปในครอบครัวและชุมชน โชคดีว่ากลุ่มนี้อาการไม่รุนแรง แต่สร้างปัญหาการจัดเตรียมเตียงดูแลทั้งในรพ.หลักและรพ.สนามสำหรับเด็กอายุน้อย
 
4. มีสัดส่วนผู้สูงอายุและผู้มีโรคเรื้อรังเสี่ยงมากขึ้น แสดงว่าโรคระบาดซึมลึกเข้าไปในครอบครัวและชุมชนอีกเช่นกัน ทำให้การใช้เตียงในรพ.หลักติดขัด จำนวนเตียงระดับ 2 และ 3 ที่ขยายศักยภาพมาหลายรอบเหลือไม่ถึง 5% ตัวเลขผู้ป่วยอาการรุนแรง ผู้ป่วยใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต กลับมาเพิ่มขึ้นใหม่และอาจทำนิวไฮ
 
ผมได้รับคำถามจากผู้ใหญ่ที่เคารพและจากสื่อมวลชนหลายแขนงว่า แล้วภาคการแพทย์จะทำอย่างไรได้บ้าง ผมตอบว่าถึงตรงนี้เราไม่สามารถเพิ่มเตียงระดับ 2 และ 3 ไปมากกว่านี้ได้แล้ว เพราะติดขัดเรื่องกำลังคน ถ้าปล่อยให้มีผู้ป่วยใหม่ที่จำเป็นต้องอยู่รพ.หลักเพิ่มขึ้นเร็ว ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะต้องนำไปดูแลรักษาในพื้นที่ทั่วไปที่ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับรักษาผู้ป่วยโควิด ทำให้ผู้ป่วยอื่นได้รับการบริการลดกว่ามาตรฐานมาก (เดิมลดบ้างพอรับได้) ทำให้ผู้ป่วยโควิดไม่ได้รับการดูแลเต็มที่เพราะคนและเครื่องมือติดตามไม่พอ และท้ายสุดทำให้บุคลากรและผู้ป่วยอื่นเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล
สำหรับผมแล้วคำตอบสุดท้ายสำหรับวิกฤตโควิดระลอกสี่ คือ การล็อคดาวน์กรุงเทพอย่างน้อย 7 วัน เพื่อเร่งจัดการปัญหาค้างคา และลดปัญหาใหม่ที่จะพอกพูนเพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้าที่กว่ามาตรเด็ดขาดเพื่อลดการเคลื่อนย้ายของประชาชนจะเห็นผล และที่สำคัญถ้าจะทำตามที่เสนอนี้ ต้องห้ามไม่ให้คนกรุงเทพแตกรังออกต่างจังหวัดเหมือนที่เราทำพลาดมาแล้วช่วงสงกรานต์ ​#วิกฤตโควิดระลอกสี่ #ล็อคดาวน์กรุงเทพ

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=3749812405124415&id=100002870789106
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่