อาถรรพ์เบียร์ 3 แก้ว ในงาน Oktoberfest ปี 17 มาถึงที่เหมือนมาไม่ถึง


Don’t Drink more than 3 Glasses
“จำไว้นะไอ้หนู คืนนี้อย่า-เกิน 3 แก้ว”

ถ้าประโยคนี้ออกจากปากชายวัยกลางคนที่เมืองไทย พวกเราคงหันขวับและอาจมีงัดกันสักป๊าป ข้อหาดูหมิ่นไอ้หนุ่มคอทองแดงจากแดนสยาม แต่เมื่อมันออกจากปากชายชราวัยเจ็ดสิบโต๊ะข้างๆ ที่มานั่งกินเบียร์อยู่ในงาน Oktoberfest ต่อเนื่องมากว่า 50 ปี จะรับฟังเอาไว้มันก็คงไม่เสียหาย 
 
แต่ถึงกระนั้นเราก็เถียงแกอยู่ในใจ...
เบียร์ขนาด 1 ลิตรแค่ 3 แก้ว เนี่ยหรอจะทำอะไรเราได้... 

ไม่อยากเกทับเลยว่าอยู่ไทยกินกันเป็นลังๆ เรื่องคอนี่ไม่ต้องพูดถึง แข็งขนาดเข็มสักยันต์ยังเจาะไม่เข้า เรียกว่าจะสิงห์จะช้างจะซ้ายจะขวา 
เราเชื่อว่าใครก็เอาลงยาก 
ปู่ครับ...อย่าว่าพวกผมงั้นงี้เลย มาทั้งทีมันก็ต้องเอาให้สุด งานนี้เต็นท์เบียร์จะมีกี่มีสิบหลังก็ต้องลองยิ้มให้หมด !!!

Oktoberfest เป็นงานที่มีประวัติยาวนานมากว่า 200 ปี โดยครั้งแรกถูกใช้เป็นพื้นที่จัดงานอภิเษกของเจ้าชายลุดวิกและเจ้าหญิงเทเรซ่าเมื่อปี พ.ศ. 2353 ซึ่งมีสักขีพยานชาวมิวนิกมาร่วมเฉลิมฉลองกันนับแสนๆ คน และตั้งแต่วันนั้น พื้นที่แห่งความรักแห่งนี้เลยได้ชื่อว่า ‘Theresienwiese’ อันหมายถึง ‘ทุ่งหญ้าของเทเรซ่า’ ก่อนถูกใช้สำหรับจัดงานรื่นเริงต่างๆของชาวเยอรมันเรื่อยมา 

ความที่สถานที่แห่งนี้เป็นจุดกำเนิดของตำนานรักชวนฝัน มันก็เลยอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า สามวันสองคืนต่อจากนี้ ต้องมีเจ้าหญิงซักคนคอยเจ้าชายอย่างพวกเราอยู่ในงานบ้างล่ะน่า


เพียงก้าวแรกหลังเดินเข้าประตู ผมก็รู้เลยว่า...กูมาถูกที่ ! 

สาวๆ หุ่นเนื้อนมไข่สไตล์ยุโรปในชุดพื้นเมืองวาบหวิว เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม มาพร้อมกลิ่นมอลท์หอมๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ไหนจะบรรยากาศของวันหยุดยาวที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาพักผ่อนดื่มกินบนพื้นที่กว่า 420,000 ตารางเมตร หรือกว่า 5 เท่าของสนามหลวง ทำให้ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจไปซะหมด เราสี่คนสบตากันอย่างรู้ใจ ตั้งใจว่าทริปนี้ต้องบรรลุภารกิจสำคัญให้จงได้....


พวกเราเริ่มจาก 6 โรงเบียร์หลัก…
 
มิวนิก เพล แก้วแรกจาก Spaten ยังสบายๆ แค่ทำเราตื่นเต้นเลือดสูบฉีดอยู่ท่ามกลางสาวๆ ในชุดเดรียนเดิ่ลขึ้นมาบ้าง นาทีนั้น ภาษาดอยช์อาจยังติดขัด พูดได้แค่ ‘สวัสดี’ และ ‘ขอบคุณ’ แต่เมื่อซดแก้วที่สองของ พอล ลาวเนอร์ ต่อด้วยแก้วที่สามจากออกัสตินเนอร์ - โรงเบียร์เก่าแก่สุดของมิวนิก เท่านี้ก็เปลี่ยนให้เรากลายเป็นชาวมิวนิกเต็มตัว เพลิดเพลินไปกับดนตรีพื้นเมืองและบรรยากาศ ที่แม้จะยังปวกเปียกทางภาษา แต่กริยาต้องบอกว่าเริ่มเข้มแข็ง 
 
แก้วที่สี่ แก้วที่ห้า และ.... 
 
รู้ตัวอีกที ก็กอดคอเดินตัวเอียงกันมาถึงหน้าร้านเคบับ ฤทธิ์แอลกอฮอล์เปลี่ยนให้เราทำป๋า ร้องเพลง เฮฮาชวนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้แวะกินด้วยกันแบบกะเปย์ให้หมดตัว นาทีนั้นความสนุกขึ้นถึงขีดสุด อะไรๆ ก็กำลังดูดีไปซะหมด ไหนยังมีจะสาวๆ อีกสองสามคนที่เล็งไว้ตั้งแต่ในงานที่เดินคุยกับพวกเรามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้านสุดท้ายมา...

อีตอนจะจ่ายเงินนี่เอง ที่เพิ่งจะรู้ตัวว่ากระเป๋าตังค์หาย !!!!
 
พวกเราสับเต็มฝีตีนกลับไปที่ร้านเพื่อที่จะพบว่า โต๊ะที่ขึ้นไปยืนเต้นเมื่อกี้ถูกเช็ดจนเอี่ยมเหลือเพียงกลิ่นมอลท์อ่อนๆ โชคดีที่บริกรหนุ่มเยอรมันร่างยักษ์คนนั้นเก็บไว้ให้ เราดำเนินการตามขั้นตอนของทางร้าน 
จนได้กระเป๋ากลับคืนมาก่อนเดินกลับร้านเคบับหวังเดินเกมต่ออย่างย่ามใจ 
 
กว่าจะมาถึง สาวผมทองที่เล็งไว้ก็ไม่อยู่แล้ว...
ถนนครึกครื้นเมื่อครู่กลายเงียบสงัด คุณลุงเชื้อสายเติร์กทำท่าปิดประตูร้านเป็นสัญญาณว่า 
ภารกิจตีเมืองมิวนิกในคืนแรก ล้มพับไม่เป็นท่า...


หนุ่มไทย 4 ชีวิต กอดคอเดินโซซัดโซเซกลับที่พักกันอย่างหมดเรี่ยวแรง เบียร์เยอรมันเล่นเอาหัวหนักอย่างแทบวางไว้บนบ่าไม่อยู่ เป็นความงงๆ เบลอๆ อย่างที่ไม่ค่อยมีสติ หัวถึงหมอนก็ได้แต่นอนลืมตาโพลงในความมืดอย่างเจ็บใจเรื่องสาวเยอรมันที่ตั้งใจจะพามาให้ถึงห้องไม่รู้หายไปตอนไหน
 
บางประโยคคล้ายดังเยาะเย้ยอยู่ในอากาศ... 
 
“จำไว้นะไอ้หนู คืนนี้อย่า-เกิน 3 แก้ว”
 
ปั๊ดโถ่...ปู่ ทำไมไม่พูดให้จบละว่าถ้าดื่มเกิน 3 แก้วจะ มา ‘ไม่ถึง’ มิวนิค 
พวกผมไม่ได้มีโอกาสจะมาได้บ่อยๆ อย่างปู่นะโว้ยยยยย !!!




ขอขอบคุณที่ติดตามจนจบครับ ฝากรูปให้ดูบรรยากาศงานนะครับผมม 






แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่