.
บันทึกหมายเลข 1254.6
บันทึกของคนไข้ทางจิต ชื่อ Psycho G Man
อาการ : ระยะประเมินภาวะ ความเสี่ยง กำลังดำเนินการ
คุณหมอ กำลังพิจารณา มิเกิล โอ เอเลน ที่ 1
…….
สวัสดีครับคุณหมอ
ผมรู้นะว่าหมอกำลังอ่านบันทึกฉบับนี้อยู่ ถ้าไม่รู้สิแปลก เพราะถ้าไม่อ่าน ก็คงไม่รู้ว่า ผมรู้ ลึกล้ำมาก น่า...อย่าทำหน้าเหมือนเพิ่งถูกเมียด่ามาใหม่ ๆ แบบนี้สิครับ ผมแค่ล้อเล่น
วันก่อนผมมีโอกาสได้ไปนั่งคุยกับคุณไรอัน บริเวณสนามหญ้าหน้าตึก ปรากฏว่าเราคุยกันถูกคอเป็นอย่างดี เขาเล่าถึงเรื่องราวแปลก ๆ หลายอย่างให้ฟัง แต่ที่ผมชอบมากที่สุด ก็เรื่องผู้หญิงสองมิตินี่ละครับ นั่นทำให้เรายกประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปรายกันทันที คุยกับคนในสถาบันทางจิตรู้เรื่องกันง่ายกว่าคนภายนอกอีก
คุณไรอันชี้ให้ดูนางพยาบาลกลุ่มหนึ่ง ที่เดินผ่านถนนหน้าตึก แล้วถามขึ้นอย่างมีนัยยะว่า
“คุณคิดว่าสาวพวกนั้น มีกี่มิติ”
ฟังดูเหมือนเป็นคำถามธรรมดาของคนบ้า แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันลึกล้ำมาก สร้างสรรค์จินตนาการให้เจิดจรัส คนธรรมดาที่ไหนถามแบบนี้กัน นี่ต้องคนขั้นเทพ ทำให้ต้องขบคิดอย่างรอบคอบ ก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง ถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ของผม จะอยู่ระดับหิ่งห้อยน้อยใจก็ตาม
“สาว ๆ เส้นโค้งเว้างดงาม มีสามมิติ ถ้ารวมกับมิติของเวลา ก็จะเป็นสี่มิติครับ”
“ไม่ต้องรวมมิติของเวลาก็ได้ครับ จะได้ง่ายขึ้น”
“งั้นก็สามมิติ เป็นคำตอบสุดท้ายครับ”
พอผมตอบ คุณไรอันก็ใช้สายตาคมเข้มจ้องหน้าผมนิ่ง ทำเอาผมเริ่มใจคอไม่ดี สายตาราวกับจะหยั่งลึกลงไปในจิตใจ
“จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ” เขาว่าพลางยิ้มเล็กน้อย ทำให้ผมแอบถอนใจอย่างโล่งอก “แต่ถ้าเราจะมองว่าพวกเธอเป็นภาพสองมิติก็ได้ เพราะเราไม่ได้รับรู้ชัดเจนว่าพวกเธอมีความหนาของร่างกาย สมองต่างหากทำให้เราเชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ว่า พวกเธอมีร่างกายสามมิติ คุณลองนึกถึงท้องฟ้าสิครับ เราเห็นเพียงแสงดวงดาวเรียงรายเหมือนอยู่ในแผ่นกระดาษ ไม่มีความหนา ดวงจันทร์ก็มีบรรดาดวงดาวอยู่ใกล้ ๆ ราวกับจะคุยกันได้ แบบดาวเคียงเดือน เราไม่รับรู้ว่าดวงดาวอยู่ใกล้ไกล ลึกตื้น ขนาดไหน ทั้งที่บางดาวบางกลุ่มบางดวง อาจห่างจากโลกไปนับล้านปีแสง แต่เราก็เชื่อว่าท้องฟ้าเป็นสามมิติ อ้อ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองบ้าขึ้นบ้างหรือยังครับ”
“ก็พอรู้สึกบ้าขึ้นมาบ้างแล้วครับ ค่อยยังชั่ว”
“ดีจัง... ที่คุณรู้สึกบ้า แบบนี้พอคุยกันได้ จะบอกให้นะครับว่า ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาคือ อังเคิลแพลน เขามักไม่เชื่อว่า ภาพที่มองเห็นเป็นเรื่องจริง เขาจึงมักพิสูจน์แรงเสียดทานของพื้นผิวด้วยตัวเอง กับสิ่งที่คิดว่าเป็นสาวภาพหลอนเสมอ โดยเฉพาะกับภาพสาว ๆ ที่เขาต้องการมั่นใจว่าพวกเธอไม่ใช่ภาพหลอนหรือมิราจ ต้องสัมผัสให้แน่ใจ เลยโดนภาพหลอนฝ่ายชาย ทำให้เกิดการดลชนกันแบบไม่ยืดหยุ่น อนุรักษ์โมเมนตัม บริเวณใบหน้าบ่อย ๆ เชียวละครับ”
“ฟังแล้วรู้สึกอยากจะบ้าขึ้นมาอีกเลยครับ” ผมพูดตามความรู้สึกแท้จริง เพราะเหมือนต้องตีความหลายชั้น “ว่าแต่คุณไรอันเหมือนจะชอบเรื่องมิติมากนะผมว่า”
“แน่นอน แน่ยืน และก็แน่นั่งด้วยครับ” คุณไรอันพยักหน้า “อ้อ...พอดีวันนี้ว่าง ผมจะเล่าเรื่องโลกสองมิติให้ฟัง เผื่อคุณอยากเปลี่ยนมิติบ้าง ว่าแต่คุณรู้จักนิยายเรื่องแฟลตแลนต์ไหมครับ”
ผมรีบบอกว่ารู้จักทันที ทั้งที่ไม่เคยอ่าน โธ่ ขนาดคุยกับคนธรรมดา ยังรู้สึกว่าคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วครับ จะให้ไปอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ ชวนทำให้คิดมาก ไม่ต้องบ้าไปกันใหญ่เหรอ แต่ผมก็พอรู้ว่านิยายเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจักรวาลสองมิติ เขียนโดย เอ็ดวิน เอ.แอ็บบอทท์ ตั้งแต่ ปี1884 โน้น สมัยพระเจ้าสามเหาพระนางกึ่งจึ๊ง
ก็อย่างที่คุณหมอรู้ เรามองภาพรวมของโลกสองมิติไม่ยากนัก ถ้าโลกสองมิติทะลึ่งมาอยู่ข้างหน้า เพราะเราอยู่ในมิติที่สูงกว่า มองดูสิ่งมีชีวิตในโลกสองมิติจะง่ายกว่า เช่นเราอาจจะสามารถมองเห็นอวัยวะภายในของพวกเขา โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยที่พวกเขาจะไม่เข้าใจว่า เรามองเห็นได้อย่างไร
คุณไรอันมองหน้าผม แล้วถามขึ้นมาว่า “ผมให้คิดเล่น ๆ นะ ถ้าคุณเอาปลายดินสอแท่งกลม ๆ จิ้มทะลุเข้าไปในโลกของพวกสองมิติ จะเป็นยังไง”
เหมือนจะยาก แต่คำตอบมันง่ายมาก ต่อให้คนไม่บ้าก็ตอบได้ ดังนั้นผมยิ้มอย่างเป็นต่อ ยืดอกตอบอย่างมั่นใจ
“ถ้ามองจากสายตาของเราลงไป จะปรากฏภาพ วงกลมเล็ก ๆ ในโลกสองมิติ จากนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น เพราะว่าปลายปากกาเริ่มจิ้มเข้าไปเรื่อย ๆ ภาพที่ปรากฏในจักรวาลสองมิติ จึงเป็นภาพหน้าตัด ไม่มีความหนา ทีนี้พอทิ่มดินสอลงไป จนผ่านถึงบริเวณตัวดินสอ วงกลมจะมีขนาดคงที่ เพราะเส้นผ่าศูนย์กลางของดินสอมันคงที่ พูดง่าย ๆ ภาพดินสอที่ปรากฏ เป็นเพียงขนาดของภาพวงกลมแบน แต่ในสายตาของชาวสองมิติ เขาจะสัมผัสได้ว่า วงกลมเป็นเพียงเส้นที่โค้งไม่รู้จบ ส่วนจุดดำตรงกลางที่เป็นไส้ดินสอ พวกเขาอาจมองไม่เห็นก็ได้ นอกจากว่าดินสอมันโปร่งใส พอเราดึงแท่งดินสอออก วงกลมประหลาด ก็จะเล็กลงและหายวับไปจากการรับรู้ของพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าหายไปทิศทางใด คงเหมือนผีหลอกสองมิติ”
“ตอบดีมาก” คุณไรอันชม ผมเขินอายเชียวละ คนบ้าก็อายเป็นเหมือนกัน “เอาละ...ผมขอถามต่อว่า ทำไมพวกเขาไม่รู้ว่า วงกลมที่เห็นหายไปทิศทางใด ในเมื่อเราดึงแท่งดินสอขึ้นมา ทิศทางการเคลื่อนที่ของดินสอ ก็ต้องพุ่งออกมาจากโลกสองมิติสิครับ”
“แหม...คุณไรอัน อย่ามาแกล้งทำเป็นบ้าไม่รู้เรื่องหน่อยเลย ก็ชาวโลกสองมิติ เขาไม่รู้ทิศทางการเคลื่อนที่ขึ้นลงของดินสอนี่ครับ พวกเขานึกไม่ออกหรอกว่า ด้านบนด้านล่างยังมีที่ว่างอยู่ ถ้าพวกเขามีตา ก็คงจะอยู่ด้านข้าง มองจากด้านข้างของวงกลม เห็นวงกลมเป็นเส้นสั้นบ้างยาวบ้าง ตามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางวงกลม ต่างจากเส้นตรงธรรมดาตรงที่ว่า พวกเขาสามารถเดินอ้อมวงกลมไปได้ และจะวนกลับมาที่เดิมแบบไม่รู้ตัว เหมือนแมลงที่เดินบนผิวลูกโป่งกลม มันจะวนกลับมาตำแหน่งเดิมได้แบบ งง ๆ ละครับ”
“โอ...คุณนี่ แสนรู้ นอกจากบ้าแล้วยังคิดเก่งขั้นอัจฉริยะเทพมาก น่าทึ่งมากมาย”
คุณไรอันชมอีกแล้ว ทั้งที่เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เขาก็กรุณาชม ผมงี้เขินจนแทบล้มลงไปม้วนต้วนลงกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด ไม่เสียเชิงบ้า คุณหมอควรจะรู้นะครับว่า ในสังคมของคนบ้า การมีใครมาพูดว่าเราบ้า คือการชมยกยอสรรเสริญกันเป็นอย่างมาก น่าชื่นใจเป็นที่สุด แต่ถ้ามีใครมาบอกว่า เราปกติ คือการดูถูกปรามาสกันอย่างมาก
แต่ถึงผมจะบ้าได้น่าประทับใจขนาดไหน ก็พอจะรู้ว่ายังอยู่ในฐานล่างของความบ้าเท่านั้น ยังมีความบ้าเหนือบ้า ถึงระดับปรมาจารย์บ้าสุดยอดคืนสู่สามัญ บ้าไร้เงา บ้าซ่อนบ้า บ้าเงียบ โดยเฉพาะสองพวกหลังสุดนี่น่ากลัว เพราะพวกเขาจะไปแทรกอยู่ในสังคมคนปกติได้อย่างแนบเนียน วันดีคืนดี พวกนี้จะปลดปล่อยพลังบ้าทางลบออกมา จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมแห่งการฆ่าฟันสูญเสียผิดหวัง
ส่วนบ้าแบบพวกเรา (แสดงว่ามีกันมากเกินหนึ่งคน) จัดว่าบ้าแบบน่ารักมีคุณค่าน่าชื่นชม บ้ามีหัวใจ เป็นแบบอย่างอันดีต่อสังคมคนบ้า
คุณไรอันนั่งเงียบไปเหมือนจะคิดอะไรอยู่ เป็นทีให้ผมถามบ้าง เพื่อไม่ให้น้อยหน้า และผมจะได้มีเรื่องมาเล่าให้คุณหมอฟังยังไงละครับ
“อ่า..คุณไรอันครับ สมมุติว่า มีชาวโลกสองมิติอยู่จริง ถ้าพวกเขาหญิงชาย มาเจอกัน รักกัน แต่งงานกัน พวกเขาจะเป็นยังไงครับ”
เป็นคำถามเหมือนลองภูมิ แต่ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องตอบได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคำถามหลุดโลกขนาดไหนก็ตาม ถามได้ก็ต้องมีคำตอบได้
“ผมดีใจนะที่คุณถามคำถามนี้” เขายิ้มตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ผมสุดทึ่งเขามากมาย นิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“ผมจะสมมุติตัวละครขึ้นมาสองคนนะครับ นางสาวมีมี่ หุ่นเธอเป็นทรงสามเหลี่ยมสวย นายมูมู่ เป็นผู้ชายหล่อทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อทั้งสองเจอกันครั้งแรก คงยังไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้กันหรอกครับ แต่พอรู้จัก ถูกนิสัยกัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองจะลดลง ใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อย วันหนึ่งความรักสุกงอมจึงแต่งงานกัน ผมคิดนะว่าความเป็นไปได้ คือ อย่างแรกพวกเขาจะติดกันเป็นสัญลักษณ์การแต่งงาน ข้อสองพวกเขาจะรวมรูปทรงกัน คุณลองนึกดูสิครับว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ใช่แล้วครับ ทั้งสองกลายเป็นครอบครัวใหม่ ที่มีหลายเหลี่ยมหลายมุมมากขึ้น แยกกันไม่ออก”
โอ...ถ้าเป็นโลกมนุษย์ คงสยองมาก ถ้าหนุ่มสาวแต่งงานกันแล้วเกิดรวมร่าง ไม่อยากจะนึกเลยครับ คุณหมอจะลองนึกดูก็ได้นะครับ ผมไม่นึกหรอก แต่ถ้าเป็นในโลกสองมิติ สังคมเป็นอีกอย่าง ผมว่าคงซาบซึ้งตรึงใจมาก ต่างฝ่ายต่างเป็นของกันและกัน อยู่ด้วยกัน ไม่พรากจากกัน ปัญหานอกใจไม่มี แต่อย่างว่าละครับคุณหมอ ผมไม่เคยหายสงสัย
“พอแต่งงานแล้ว เราจะรู้ยังไงว่า เมียดุไหม” ผมถามอีก ด้วยคำถามคลาสสิก
“เราก็ดูจากรูปทรงสิครับ ว่าใครกลัวเมีย หรือเมียดุ อย่างคุณมีมี่กับคุณมูมู่ ถ้าแต่งงานรวมร่างกลายเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม แสดงว่าครอบครัวนี้เมียใหญ่กว่าเหนือกว่า ถ้าแต่งงานแล้วกลายเป็นสี่เหลี่ยม แสดงว่าสามียึดอำนาจเสร็จสรรพ จะให้ดีต้องเป็นส่วนผสมของรูปทรงทั้งคู่ครับ”
“แล้วทั้งมูมู่และมีมี่ แต่งงานกัน จะมีโอกาสที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขึ้นไปอยู่บนตัวอีกฝ่ายได้ไหมครับ” ให้ตายสิ ...เทพสองมิติ ผมถามเพราะความสงสัยจริงแท้ ไม่ใช่ผมสองง่ามสามแง่ คุณหมอก็ห้ามคิดไกลเกินกว่าเหตุ ไม่งั้นมีเจ็บ ผมโล่งใจที่คุณไรอันเข้าใจ เขาตอบว่า
“อย่าลืมสิครับ สองสองมิติไม่มีความหนา มีกว้างยาวเท่านั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขึ้นไปทับข้างบนกันไม่ได้ครับ เพราะมันจะขัดกฏของสองมิติ ที่ไม่ให้มีความหนาหรือความสูง สิ่งมีชีวิตสองมิติมาเจอกัน จึงมีเพียงการชนกัน หรือไม่ก็ละลายรวมร่างกัน หรือไม่ก็ต่างฝ่ายหลบหลีกออกด้านข้าง เท่านั้นครับ กระโดดข้ามกันไม่ได้”
แบบว่าผมฟังแล้วอึ้งไปเลย ไม่เคยเห็นหนังสือหรือที่ไหนพูดถึงเรื่องความรักสองมิติมาก่อน นอกจากนิยาย ๆ บ้า ๆ ของนาย Psycho G ก็แน่ละครับ คงไม่มีใครสนใจมาติดเรื่องพิลึกแบบนี้ เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ต่อสมการฟิสิกส์ แต่กับผมแล้ว คิดว่าเราควรคิดนอกกรอบมิติบ้าง ไหน ๆ ก็ลงทุนแล้ว ก็ต้องไปให้ถึงที่สุด และคิดให้ดี ยังมีอะไรต่อมิอะไรให้คิดมากมาย
“ขอถามอีกข้อนะครับ ถ้าชาวโลกสองมิติสองคนเป็นวงกลมขนาดเท่ากัน จะรู้ยังไงครับว่าไผเป็นไผ ไม่สับสนกัน ว่าแฟนไผเป็นแฟนไผ”
“ถามได้ดีครับ เป็นเรื่องน่าคิดดีเดียว ในเมื่อวงกลมเท่ากัน ความหนาไม่มี ก็เหลือเรื่องของแสงสีครับ เส้นของวงกลมน่าจะต้องมีแสงสีต่างกันออกไปมากมาย ทำให้พวกเขารู้ว่าไผเป็นไผ ไม่แน่นะครับ ถ้าระบบประสาทของพวกเขากว้าง ละเอียดและซับซ้อนพอ อาจแยกแยะความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้”
“อ่า ครับ พอมีครอบครัว พวกเขาคงมีบ้าน บ้านของพวกเขาจะเป็นยังไงครับ”
“บ้านของพวกเขาต้องสร้างมาจากเส้นต่าง ๆ นี่ละครับ แบ่งเป็นห้องด้วยเส้น ประตูหน้าต่างก็เป็นช่องเปิดปิดได้”
"แล้วเราจะรู้ยังไงว่าตรงไหนคือประตู ตรงไหนเป็นหน้าต่างครับ”
.
บันทึกของคนบ้าทั่วไป---2D
.
บันทึกหมายเลข 1254.6
บันทึกของคนไข้ทางจิต ชื่อ Psycho G Man
อาการ : ระยะประเมินภาวะ ความเสี่ยง กำลังดำเนินการ
คุณหมอ กำลังพิจารณา มิเกิล โอ เอเลน ที่ 1
…….
สวัสดีครับคุณหมอ
ผมรู้นะว่าหมอกำลังอ่านบันทึกฉบับนี้อยู่ ถ้าไม่รู้สิแปลก เพราะถ้าไม่อ่าน ก็คงไม่รู้ว่า ผมรู้ ลึกล้ำมาก น่า...อย่าทำหน้าเหมือนเพิ่งถูกเมียด่ามาใหม่ ๆ แบบนี้สิครับ ผมแค่ล้อเล่น
วันก่อนผมมีโอกาสได้ไปนั่งคุยกับคุณไรอัน บริเวณสนามหญ้าหน้าตึก ปรากฏว่าเราคุยกันถูกคอเป็นอย่างดี เขาเล่าถึงเรื่องราวแปลก ๆ หลายอย่างให้ฟัง แต่ที่ผมชอบมากที่สุด ก็เรื่องผู้หญิงสองมิตินี่ละครับ นั่นทำให้เรายกประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปรายกันทันที คุยกับคนในสถาบันทางจิตรู้เรื่องกันง่ายกว่าคนภายนอกอีก
คุณไรอันชี้ให้ดูนางพยาบาลกลุ่มหนึ่ง ที่เดินผ่านถนนหน้าตึก แล้วถามขึ้นอย่างมีนัยยะว่า
“คุณคิดว่าสาวพวกนั้น มีกี่มิติ”
ฟังดูเหมือนเป็นคำถามธรรมดาของคนบ้า แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันลึกล้ำมาก สร้างสรรค์จินตนาการให้เจิดจรัส คนธรรมดาที่ไหนถามแบบนี้กัน นี่ต้องคนขั้นเทพ ทำให้ต้องขบคิดอย่างรอบคอบ ก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง ถึงความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ของผม จะอยู่ระดับหิ่งห้อยน้อยใจก็ตาม
“สาว ๆ เส้นโค้งเว้างดงาม มีสามมิติ ถ้ารวมกับมิติของเวลา ก็จะเป็นสี่มิติครับ”
“ไม่ต้องรวมมิติของเวลาก็ได้ครับ จะได้ง่ายขึ้น”
“งั้นก็สามมิติ เป็นคำตอบสุดท้ายครับ”
พอผมตอบ คุณไรอันก็ใช้สายตาคมเข้มจ้องหน้าผมนิ่ง ทำเอาผมเริ่มใจคอไม่ดี สายตาราวกับจะหยั่งลึกลงไปในจิตใจ
“จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ” เขาว่าพลางยิ้มเล็กน้อย ทำให้ผมแอบถอนใจอย่างโล่งอก “แต่ถ้าเราจะมองว่าพวกเธอเป็นภาพสองมิติก็ได้ เพราะเราไม่ได้รับรู้ชัดเจนว่าพวกเธอมีความหนาของร่างกาย สมองต่างหากทำให้เราเชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ว่า พวกเธอมีร่างกายสามมิติ คุณลองนึกถึงท้องฟ้าสิครับ เราเห็นเพียงแสงดวงดาวเรียงรายเหมือนอยู่ในแผ่นกระดาษ ไม่มีความหนา ดวงจันทร์ก็มีบรรดาดวงดาวอยู่ใกล้ ๆ ราวกับจะคุยกันได้ แบบดาวเคียงเดือน เราไม่รับรู้ว่าดวงดาวอยู่ใกล้ไกล ลึกตื้น ขนาดไหน ทั้งที่บางดาวบางกลุ่มบางดวง อาจห่างจากโลกไปนับล้านปีแสง แต่เราก็เชื่อว่าท้องฟ้าเป็นสามมิติ อ้อ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองบ้าขึ้นบ้างหรือยังครับ”
“ก็พอรู้สึกบ้าขึ้นมาบ้างแล้วครับ ค่อยยังชั่ว”
“ดีจัง... ที่คุณรู้สึกบ้า แบบนี้พอคุยกันได้ จะบอกให้นะครับว่า ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาคือ อังเคิลแพลน เขามักไม่เชื่อว่า ภาพที่มองเห็นเป็นเรื่องจริง เขาจึงมักพิสูจน์แรงเสียดทานของพื้นผิวด้วยตัวเอง กับสิ่งที่คิดว่าเป็นสาวภาพหลอนเสมอ โดยเฉพาะกับภาพสาว ๆ ที่เขาต้องการมั่นใจว่าพวกเธอไม่ใช่ภาพหลอนหรือมิราจ ต้องสัมผัสให้แน่ใจ เลยโดนภาพหลอนฝ่ายชาย ทำให้เกิดการดลชนกันแบบไม่ยืดหยุ่น อนุรักษ์โมเมนตัม บริเวณใบหน้าบ่อย ๆ เชียวละครับ”
“ฟังแล้วรู้สึกอยากจะบ้าขึ้นมาอีกเลยครับ” ผมพูดตามความรู้สึกแท้จริง เพราะเหมือนต้องตีความหลายชั้น “ว่าแต่คุณไรอันเหมือนจะชอบเรื่องมิติมากนะผมว่า”
“แน่นอน แน่ยืน และก็แน่นั่งด้วยครับ” คุณไรอันพยักหน้า “อ้อ...พอดีวันนี้ว่าง ผมจะเล่าเรื่องโลกสองมิติให้ฟัง เผื่อคุณอยากเปลี่ยนมิติบ้าง ว่าแต่คุณรู้จักนิยายเรื่องแฟลตแลนต์ไหมครับ”
ผมรีบบอกว่ารู้จักทันที ทั้งที่ไม่เคยอ่าน โธ่ ขนาดคุยกับคนธรรมดา ยังรู้สึกว่าคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วครับ จะให้ไปอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ ชวนทำให้คิดมาก ไม่ต้องบ้าไปกันใหญ่เหรอ แต่ผมก็พอรู้ว่านิยายเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจักรวาลสองมิติ เขียนโดย เอ็ดวิน เอ.แอ็บบอทท์ ตั้งแต่ ปี1884 โน้น สมัยพระเจ้าสามเหาพระนางกึ่งจึ๊ง
ก็อย่างที่คุณหมอรู้ เรามองภาพรวมของโลกสองมิติไม่ยากนัก ถ้าโลกสองมิติทะลึ่งมาอยู่ข้างหน้า เพราะเราอยู่ในมิติที่สูงกว่า มองดูสิ่งมีชีวิตในโลกสองมิติจะง่ายกว่า เช่นเราอาจจะสามารถมองเห็นอวัยวะภายในของพวกเขา โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยที่พวกเขาจะไม่เข้าใจว่า เรามองเห็นได้อย่างไร
คุณไรอันมองหน้าผม แล้วถามขึ้นมาว่า “ผมให้คิดเล่น ๆ นะ ถ้าคุณเอาปลายดินสอแท่งกลม ๆ จิ้มทะลุเข้าไปในโลกของพวกสองมิติ จะเป็นยังไง”
เหมือนจะยาก แต่คำตอบมันง่ายมาก ต่อให้คนไม่บ้าก็ตอบได้ ดังนั้นผมยิ้มอย่างเป็นต่อ ยืดอกตอบอย่างมั่นใจ
“ถ้ามองจากสายตาของเราลงไป จะปรากฏภาพ วงกลมเล็ก ๆ ในโลกสองมิติ จากนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น เพราะว่าปลายปากกาเริ่มจิ้มเข้าไปเรื่อย ๆ ภาพที่ปรากฏในจักรวาลสองมิติ จึงเป็นภาพหน้าตัด ไม่มีความหนา ทีนี้พอทิ่มดินสอลงไป จนผ่านถึงบริเวณตัวดินสอ วงกลมจะมีขนาดคงที่ เพราะเส้นผ่าศูนย์กลางของดินสอมันคงที่ พูดง่าย ๆ ภาพดินสอที่ปรากฏ เป็นเพียงขนาดของภาพวงกลมแบน แต่ในสายตาของชาวสองมิติ เขาจะสัมผัสได้ว่า วงกลมเป็นเพียงเส้นที่โค้งไม่รู้จบ ส่วนจุดดำตรงกลางที่เป็นไส้ดินสอ พวกเขาอาจมองไม่เห็นก็ได้ นอกจากว่าดินสอมันโปร่งใส พอเราดึงแท่งดินสอออก วงกลมประหลาด ก็จะเล็กลงและหายวับไปจากการรับรู้ของพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าหายไปทิศทางใด คงเหมือนผีหลอกสองมิติ”
“ตอบดีมาก” คุณไรอันชม ผมเขินอายเชียวละ คนบ้าก็อายเป็นเหมือนกัน “เอาละ...ผมขอถามต่อว่า ทำไมพวกเขาไม่รู้ว่า วงกลมที่เห็นหายไปทิศทางใด ในเมื่อเราดึงแท่งดินสอขึ้นมา ทิศทางการเคลื่อนที่ของดินสอ ก็ต้องพุ่งออกมาจากโลกสองมิติสิครับ”
“แหม...คุณไรอัน อย่ามาแกล้งทำเป็นบ้าไม่รู้เรื่องหน่อยเลย ก็ชาวโลกสองมิติ เขาไม่รู้ทิศทางการเคลื่อนที่ขึ้นลงของดินสอนี่ครับ พวกเขานึกไม่ออกหรอกว่า ด้านบนด้านล่างยังมีที่ว่างอยู่ ถ้าพวกเขามีตา ก็คงจะอยู่ด้านข้าง มองจากด้านข้างของวงกลม เห็นวงกลมเป็นเส้นสั้นบ้างยาวบ้าง ตามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางวงกลม ต่างจากเส้นตรงธรรมดาตรงที่ว่า พวกเขาสามารถเดินอ้อมวงกลมไปได้ และจะวนกลับมาที่เดิมแบบไม่รู้ตัว เหมือนแมลงที่เดินบนผิวลูกโป่งกลม มันจะวนกลับมาตำแหน่งเดิมได้แบบ งง ๆ ละครับ”
“โอ...คุณนี่ แสนรู้ นอกจากบ้าแล้วยังคิดเก่งขั้นอัจฉริยะเทพมาก น่าทึ่งมากมาย”
คุณไรอันชมอีกแล้ว ทั้งที่เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เขาก็กรุณาชม ผมงี้เขินจนแทบล้มลงไปม้วนต้วนลงกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด ไม่เสียเชิงบ้า คุณหมอควรจะรู้นะครับว่า ในสังคมของคนบ้า การมีใครมาพูดว่าเราบ้า คือการชมยกยอสรรเสริญกันเป็นอย่างมาก น่าชื่นใจเป็นที่สุด แต่ถ้ามีใครมาบอกว่า เราปกติ คือการดูถูกปรามาสกันอย่างมาก
แต่ถึงผมจะบ้าได้น่าประทับใจขนาดไหน ก็พอจะรู้ว่ายังอยู่ในฐานล่างของความบ้าเท่านั้น ยังมีความบ้าเหนือบ้า ถึงระดับปรมาจารย์บ้าสุดยอดคืนสู่สามัญ บ้าไร้เงา บ้าซ่อนบ้า บ้าเงียบ โดยเฉพาะสองพวกหลังสุดนี่น่ากลัว เพราะพวกเขาจะไปแทรกอยู่ในสังคมคนปกติได้อย่างแนบเนียน วันดีคืนดี พวกนี้จะปลดปล่อยพลังบ้าทางลบออกมา จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมแห่งการฆ่าฟันสูญเสียผิดหวัง
ส่วนบ้าแบบพวกเรา (แสดงว่ามีกันมากเกินหนึ่งคน) จัดว่าบ้าแบบน่ารักมีคุณค่าน่าชื่นชม บ้ามีหัวใจ เป็นแบบอย่างอันดีต่อสังคมคนบ้า
คุณไรอันนั่งเงียบไปเหมือนจะคิดอะไรอยู่ เป็นทีให้ผมถามบ้าง เพื่อไม่ให้น้อยหน้า และผมจะได้มีเรื่องมาเล่าให้คุณหมอฟังยังไงละครับ
“อ่า..คุณไรอันครับ สมมุติว่า มีชาวโลกสองมิติอยู่จริง ถ้าพวกเขาหญิงชาย มาเจอกัน รักกัน แต่งงานกัน พวกเขาจะเป็นยังไงครับ”
เป็นคำถามเหมือนลองภูมิ แต่ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องตอบได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคำถามหลุดโลกขนาดไหนก็ตาม ถามได้ก็ต้องมีคำตอบได้
“ผมดีใจนะที่คุณถามคำถามนี้” เขายิ้มตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ผมสุดทึ่งเขามากมาย นิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“ผมจะสมมุติตัวละครขึ้นมาสองคนนะครับ นางสาวมีมี่ หุ่นเธอเป็นทรงสามเหลี่ยมสวย นายมูมู่ เป็นผู้ชายหล่อทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อทั้งสองเจอกันครั้งแรก คงยังไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้กันหรอกครับ แต่พอรู้จัก ถูกนิสัยกัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองจะลดลง ใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อย วันหนึ่งความรักสุกงอมจึงแต่งงานกัน ผมคิดนะว่าความเป็นไปได้ คือ อย่างแรกพวกเขาจะติดกันเป็นสัญลักษณ์การแต่งงาน ข้อสองพวกเขาจะรวมรูปทรงกัน คุณลองนึกดูสิครับว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ใช่แล้วครับ ทั้งสองกลายเป็นครอบครัวใหม่ ที่มีหลายเหลี่ยมหลายมุมมากขึ้น แยกกันไม่ออก”
โอ...ถ้าเป็นโลกมนุษย์ คงสยองมาก ถ้าหนุ่มสาวแต่งงานกันแล้วเกิดรวมร่าง ไม่อยากจะนึกเลยครับ คุณหมอจะลองนึกดูก็ได้นะครับ ผมไม่นึกหรอก แต่ถ้าเป็นในโลกสองมิติ สังคมเป็นอีกอย่าง ผมว่าคงซาบซึ้งตรึงใจมาก ต่างฝ่ายต่างเป็นของกันและกัน อยู่ด้วยกัน ไม่พรากจากกัน ปัญหานอกใจไม่มี แต่อย่างว่าละครับคุณหมอ ผมไม่เคยหายสงสัย
“พอแต่งงานแล้ว เราจะรู้ยังไงว่า เมียดุไหม” ผมถามอีก ด้วยคำถามคลาสสิก
“เราก็ดูจากรูปทรงสิครับ ว่าใครกลัวเมีย หรือเมียดุ อย่างคุณมีมี่กับคุณมูมู่ ถ้าแต่งงานรวมร่างกลายเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม แสดงว่าครอบครัวนี้เมียใหญ่กว่าเหนือกว่า ถ้าแต่งงานแล้วกลายเป็นสี่เหลี่ยม แสดงว่าสามียึดอำนาจเสร็จสรรพ จะให้ดีต้องเป็นส่วนผสมของรูปทรงทั้งคู่ครับ”
“แล้วทั้งมูมู่และมีมี่ แต่งงานกัน จะมีโอกาสที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขึ้นไปอยู่บนตัวอีกฝ่ายได้ไหมครับ” ให้ตายสิ ...เทพสองมิติ ผมถามเพราะความสงสัยจริงแท้ ไม่ใช่ผมสองง่ามสามแง่ คุณหมอก็ห้ามคิดไกลเกินกว่าเหตุ ไม่งั้นมีเจ็บ ผมโล่งใจที่คุณไรอันเข้าใจ เขาตอบว่า
“อย่าลืมสิครับ สองสองมิติไม่มีความหนา มีกว้างยาวเท่านั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขึ้นไปทับข้างบนกันไม่ได้ครับ เพราะมันจะขัดกฏของสองมิติ ที่ไม่ให้มีความหนาหรือความสูง สิ่งมีชีวิตสองมิติมาเจอกัน จึงมีเพียงการชนกัน หรือไม่ก็ละลายรวมร่างกัน หรือไม่ก็ต่างฝ่ายหลบหลีกออกด้านข้าง เท่านั้นครับ กระโดดข้ามกันไม่ได้”
แบบว่าผมฟังแล้วอึ้งไปเลย ไม่เคยเห็นหนังสือหรือที่ไหนพูดถึงเรื่องความรักสองมิติมาก่อน นอกจากนิยาย ๆ บ้า ๆ ของนาย Psycho G ก็แน่ละครับ คงไม่มีใครสนใจมาติดเรื่องพิลึกแบบนี้ เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ต่อสมการฟิสิกส์ แต่กับผมแล้ว คิดว่าเราควรคิดนอกกรอบมิติบ้าง ไหน ๆ ก็ลงทุนแล้ว ก็ต้องไปให้ถึงที่สุด และคิดให้ดี ยังมีอะไรต่อมิอะไรให้คิดมากมาย
“ขอถามอีกข้อนะครับ ถ้าชาวโลกสองมิติสองคนเป็นวงกลมขนาดเท่ากัน จะรู้ยังไงครับว่าไผเป็นไผ ไม่สับสนกัน ว่าแฟนไผเป็นแฟนไผ”
“ถามได้ดีครับ เป็นเรื่องน่าคิดดีเดียว ในเมื่อวงกลมเท่ากัน ความหนาไม่มี ก็เหลือเรื่องของแสงสีครับ เส้นของวงกลมน่าจะต้องมีแสงสีต่างกันออกไปมากมาย ทำให้พวกเขารู้ว่าไผเป็นไผ ไม่แน่นะครับ ถ้าระบบประสาทของพวกเขากว้าง ละเอียดและซับซ้อนพอ อาจแยกแยะความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้”
“อ่า ครับ พอมีครอบครัว พวกเขาคงมีบ้าน บ้านของพวกเขาจะเป็นยังไงครับ”
“บ้านของพวกเขาต้องสร้างมาจากเส้นต่าง ๆ นี่ละครับ แบ่งเป็นห้องด้วยเส้น ประตูหน้าต่างก็เป็นช่องเปิดปิดได้”
"แล้วเราจะรู้ยังไงว่าตรงไหนคือประตู ตรงไหนเป็นหน้าต่างครับ”
.