พระพุทธเจ้ายังมีกายอยู่ในสถานที่นิพพาน

ธรรมกาย
(สันสกฤต: धर्म काय, ธรฺมกาย, บาลี: धम्मकाय, ธมฺมกาย, อักษรโรมัน : Dharmakāya, จีน: 法身, พินอิน: fǎshēn)
คือพระนามหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในความหมายของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
และคือพระกายหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปรากฏอยู่ในทั้งนิกายเถรวาทและมหายาน
แม้พระพุทธศาสนาจะเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นเวลาเกือบพันปีแล้ว
และแม้ในปัจจุบันประเทศไทยจะได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่
พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก
เพราะประชาชนเกือบทั้งประเทศเป็นพุทธศาสนิกชน
ผู้ให้การทำนุบำรุง ตลอดจนปฏิบัติศาสนธรรม
แต่ดูเหมือนว่าพุทธศาสนิกชนไทย
ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับคำสอนอันเป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนาอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนเกี่ยวกับเรื่อง “ธรรมกาย”
ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มีปรากฏหลักฐานทั้งในพระไตรปิฎก
และคัมภีร์สำคัญๆ ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทของเราหลายแห่ง กล่าวคือ
ในพระไตรปิฎก ๔ แห่ง
ในอรรถกถา ๒๘ แห่ง
ในฎีกา ๗ แห่ง
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ๒ แห่ง
ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกา ๓ แห่ง
ในคัมภีร์มิลินทปัญหา ๑ แห่ง
ในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ๑ แห่ง
ในหนังสือพระสมถวิปัสสนาแบบโบราณ ๑ แห่ง
นอกจากนี้ยังพบที่หลักศิลาจารึก
ที่พบในประเทศไทยอีก ๓ แห่ง
แต่ยังมีบางท่านคิดว่า “ธรรมกาย” เป็นลัทธิใหม่
ดังนั้นเราจึงควรมาศึกษาทำความเข้าใจเรื่อง “ธรรมกาย”
กันให้ถูกต้องจากเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่หาได้ในปัจจุบัน
ธรรมกาย คือ กายแห่งการตรัสรู้ธรรม
มักจะมีผู้ตั้งคำถามเสมอว่า “ธรรมกาย” คืออะไร
พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ผู้ทุ่มเทชีวิตศึกษาพระพุทธศาสนา
ทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติอย่างอุกฤษฎ์
จนกระทั่งเข้าถึง “ธรรมกาย” ในตัวเมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๖๐
ณ อุโบสถวัดโบสถ์บน บางคูเวียง จังหวัดนนทบุรี
หลังจากที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุได้ ๑๒ ปี
พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำได้ให้คำจำกัดความของคำว่า
“ธรรมกาย” ไว้ใน พระธรรมเทศนาของท่านว่า
“ธรรมกาย คือ กายภายในของพระพุทธเจ้า” (จากมรดกธรรม หน้า ๔๑)
พระเดชพระคุณหลวงปู่ให้คำจำกัดความเช่นนี้
จากประสบการณ์การปฏิบัติธรรมจนเข้าถึง ธรรมกาย
ภายในด้วยตนเอง ส่วนหลักฐานที่แสดงว่า
ธรรมกาย คือกายภายในของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาหลายแห่ง ดังนี้

๑. ในคัมภีร์ มงฺคลตฺถทีปนี (ปฐโม ภาโค) ข้อ ๘๘ หน้า ๙๕
มีข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระวักกลิ
พระมหาสาวกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของพราหมณ์ชาวพระนครสาวัตถี
เรียนจบไตรเพทตามลัทธิพราหมณ์ เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
ด้วยความอยากเห็นรูปโฉมของพระบรมศาสดา
ครั้นบวชแล้วก็คอยติดตามดูพระองค์ตลอดเวลา
จนไม่เป็นอันเจริญภาวนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรอเวลา
ให้อินทรีย์ของเธอแก่กล้า ครั้นแล้วก็ตรัสเตือนเธอว่า
กินฺเต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฎเน โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ
ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ โย มํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ ธมฺมํ
หิ วกฺกลิ ปสฺสนฺโต มํ ปสฺสติ มํ ปสฺสนฺโต ธมฺมํ ปสฺสติ
แปลว่า วักกลิจะมีประโยชน์อะไรที่ได้เห็นกายเปื่อยเน่านี้
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม
พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำให้ความเห็นว่า
แท้ที่จริงแล้วพระดำรัสนี้น่าจะหมายความว่า
“ผู้ใดเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็น ธรรมกาย ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นเรา
คือตถาคตนั่นเอง หรือพูดให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นคือ ผู้ใดเห็น ธรรมกาย
ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า” (จากมรดกธรรมหน้า ๔๑)
เหตุที่ให้ความหมายเช่นนี้ ก็เพราะขณะนั้นพระวักกลิก็อยู่ใกล้ๆ
กับพระพุทธองค์ พระวักกลิก็มีดวงตาเป็นปกติ
ไม่ใช่ผู้มีดวงตาพิการ ย่อมจะสามารถมองเห็นกาย
ของพระพุทธองค์ได้ถนัดชัดเจน แต่การที่พระพุทธองค์
ตรัสเช่นนั้นย่อมมีนัยลึกซึ้งอยู่ จึงมีความหมายได้ว่า
กายที่แลเห็นได้ด้วยตาธรรมดานั้น
เป็นแค่เพียงเปลือกนอกของพระสิทธัตถะที่ออกบวช
ซึ่งมิได้อยู่ในความหมายของคำว่า “เรา”
ยิ่งกว่านั้นยังตรัสว่าเป็นกายที่เปื่อยเน่าด้วย
นั่นคือกายพระสิทธัตถะที่ออกบวชเป็นกายที่เปื่อยเน่า
จึงเป็นเพียงกายภายนอกและสันนิษฐานได้ว่า “เรา”
หมายถึงกายภายใน ซึ่งไม่ใช่กายที่เปื่อยเน่าได้
ดังนั้นกายภายในคืออะไรเล่า ก็คือ “ธรรมกาย” นั่นเอง
จะเห็นกายนี้ได้อย่างไร พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำตอบว่าไม่ยาก
ถ้าได้บำเพ็ญภาวนาโดยวางใจได้ถูกส่วนแล้ว
ท่านจะเห็นได้ด้วยตนเองคือ เห็นด้วย “ธรรมจักษุ”
หรือพูดง่ายๆ ว่า ตาธรรมกาย มิใช่ตาธรรมดา
นั่นคือท่านต้องเจริญภาวนาจนบรรลุ ธรรมกาย
ในตนเอง กลายเป็นผู้มี “ธรรมจักษุ”
เสียก่อนและด้วยธรรมจักษุนี้ก็จะเห็น
ธรรมกาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่