สวัสดีค่ะ จากกระทู้ก่อนที่เราเคยพูดถึง NAS มาก่อน ว่ามันคืออุปกรณ์ที่เหมาะกับยุคใหม่มากๆ วันนี้เราก็เลยตั้งใจจะมารีวิว NAS ตัวที่เราใช้อยู่แบบบ้านๆ เรื่องจากเราก็ไม่ใช่คนที่มีความรู้ด้านนี้เฉพาะทาง แต่ซื้อ NAS มาใช้เพราะอยากเก็บข้อมูลของคนในบ้านค่ะ สำหรับใครที่ไม่รู้ว่า NAS คืออะไร ไปดูได้ที่กระทู้เก่าเราได้เลยค่ะ
https://ppantip.com/topic/40721761
เหตุผลที่เราตัดสินใจซื้อ NAS
- อยากเก็บไฟล์ข้อมูลต่างๆ ของคนในบ้าน เพราะเรากับน้องสาวอยู่ต่างประเทศ แต่พ่อแม่อยู่ที่ไทย มักจะมีปัญหาเรื่องการส่งเอกสารข้อมูลส่วนตัวให้กันอยู่เสมอ เช่น เวลาต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน อะไรพวกนี้
- บ้านเราชอบไปเที่ยวแข่งกัน แล้วเอารูปมาอวดกันค่ะ ตอนแรกๆ จะฝากรูปในอัลบั้ม Line แต่หลังๆ มันมีเยอะเข้าๆ เลยคิดว่าซื้อ NAS มาใส่รูปเลยดีกว่า ใส่ได้ตั้งแต่รูปพ่อแม่ยังเป็นวัยรุ่น จนถึงปัจจุบันกันเลยทีเดียว
- การทำงานสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะลืมไฟล์งาน ดึงไฟล์ออกมาใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา อย่างเวลาจะโพสต์รูปวันเด็กลง FB หรือจะขุดรูปเก่าๆ ของเพื่อนมา HBD ก็ย่อมได้ งานนี้ต้องมีคนโดนแกง 5555555
- น้องสาวเรากำลังเรียน ป.โท ค่ะ ช่วงนี้กำลังปั่นตัวจบเลย มี NAS ทำให้น้องเราเก็บข้อมูลในเครื่องได้โดยไม่ต้องใส่ใน Flashdrive หรือ External HDD ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะหาย เพราะถ้าหายทีงานนี้มีร้องไห้แน่ๆ
- แม่เราชอบถ่ายรูปมากค่ะ แม่เราใช้ไอโฟน แต่แม่ใช้คอมไม่เป็น ไม่ถนัดใช้เครื่องมือไอที แต่มันชอบมีปัญหาเรื่องความจุของเครื่อง แม่ต้องจ่ายเงินให้ iCloud ทุกเดือนเพื่อฝากรูปเป็นเวลาหลายปี รวมๆ เงินที่เสียไปคือซื้อ NAS ได้แล้ว สรุปซื้อมาเลยเครื่องเดียว ใช้กันได้ทั้งบ้าน
- เวลาอยู่ข้างนอกบ้าน เมมมือถือเต็มก็ย้ายรูปจากมือถือเข้าไปที่เครื่อง NAS ได้เลย หรือเวลาจะค้นเอารูปเก่าๆ ออกมาใช้ก็ใช้ก็สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต
- ทีวีบ้านเช่าประเทศที่เราอยู่ไม่ใช่ Smart TV ทำให้ซื้อ NAS มาเพื่อให้สามารถเล่นเน็ตบนจอทีวีได้ค่ะ
- เก็บภาพไฟล์กล้องวงจรปิดเวลาไม่อยู่บ้านค่ะ แล้วก็เอาไว้ส่องแมวที่บ้านเวลาเราไปทำงานด้วย
มาต่อกันที่การรีวิว ASUSTOR NIMBUSTOR 2 (AS5202T) กันเลยดีกว่าค่ะ!
แบรนด์ ASUSTOR เขาเป็นแบรนด์ลูกของ ASUS นั่นเอง ชื่อมันเลยคล้ายๆ กัน เรารู้จักแบรนด์นี้จากเพื่อนที่อยู่เยอรมนีเป็นคนแนะนำมาค่ะ เพราะแบรนด์นี้ที่ยุโรปถือว่าดังพอตัว แถมพอมาดูเรื่องสเปกต่างๆ ก็ถือว่าดีกว่าหลายๆ เจ้าในราคาที่ใกล้เคียงกัน
NAS รุ่นนี้มี 2 Bay จำนวน Bay ก็ดูจากว่าเราสามารถใส่ HDD ได้กี่ลูก มีตั้งแต่ 2 Bay, 4 Bay, 8 Bay, 12 Bay แล้วแต่รุ่นกันไป แต่เราใช้งานในบ้าน เอาแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ ถ้าใครทำงานที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเยอะๆ เช่น ช่างภาพ, ออกแบบกราฟฟิก, ตัดต่อวีดีโอ, YouTuber อันนี้จะดูเป็นรุ่นอื่นก็ได้
ด้านหน้าตัวเครื่องจะมีช่องเสียบ USB 3.2 1 พอร์ต ส่วนด้านหลังจะมีช่องเสียบสาย LAN 2.5 GbE 2 พอร์ต, USB 3.2 2 พอร์ต และ HDMI 2.0a 1 พอร์ต
สเปกของ NIMBUSTOR 2
CPU: Intel Celeron J4005 Dual Core 2.0 GHz
ความจุ HDD รับได้สูงสุด 36TB (HDD 2 ลูก ใส่ลูกละไม่เกิน 18TB)
การเลือก HDD นั้นก็ควรเลือกที่ใข้สำหรับ NAS โดยเฉพาะ จะทำให้สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้นานขึ้นค่ะ อย่างของเราก็ใช้ SEAGATE IRONWOLF ความจุ 4TB สองลูก รวมกันเป็น 8TB ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการใช้งานภายในบ้านของเราแล้ว
การใส่ HDD นั้นก็ไม่ยากเลยค่ะ ถอดฝาดึงแคดดี้ออกมา ดึงตัวหนีบด้านข้างออกมาด้วยมือ จากนั้นวาง HDD บนแคดดี้ โดยให้ตัวชิปอ่านข้อมูลมันหันเข้าไปด้านในเครื่อง จากนั้นก็ใส่ตัวหนีบด้านข้างกลับเข้าไปเหมือนเดิม แล้วนำแคดดี้ใส่เข้าไปในเครื่องจนสุด แล้วกดลงเพื่อล็อคค่ะ
การใช้งานเบื้องต้นต้องใช้กับคอมพิวเตอร์ โหลดโปรแกรมชื่อ "ASUSTOR Control Center" ลงในคอมไว้ จากนั้นเปิดโปรแกรมเข้ามา สแกนหา NAS ของเรา จากนั้นก็ล็อกอินเพื่อเข้าใช้งาน
ASUSTOR Data Master (ADM) หรือก็คือระบบปฎิบัติการของ ASUSTOR ที่มีหน้าที่ไว้โหลดโปรแกรมต่างๆ ข้างในมีโปรแกรมขื่อ App Central ไว้ให้เราดาวน์โหลดโปรแกรมอื่นๆ มาใช้ให้ตรงกับความต้องการของเราได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมสำหรับธุรกิจ ทำเว็บไซต์ ฯลฯ
APP แนะนำ
Photo Gallery 3 - ใช้สำหรับอัปโหลดรูปภาพ สามารถสร้างโฟลเดอร์ได้เหมือนใช้งานบนคอมพิวเตอร์
LooksGood - ใช้อัปโหลดไฟล์วีดีโอ และเล่นวีดีโอที่เก็บไว้ในเครื่อง NAS
iTunes Server - ใช้อัปโหลดไฟล์เพลง และเล่นเพลงที่เก็บไว้ในเครื่อง NAS
Surveillance Center - ใช้งานเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดเพื่อดูและบันทึกภาพ
จุดเด่นของ NIMBUSTOR 2
1. ASUSTOR Portal
อย่างที่เราบอกไปว่าบ้านเช่าที่ต่างประเทศของเราไม่ใช่ Smart TV แล้วการจะเช่าเคเบิลก็ไม่ค่อยคุ้ม เพราะเป็นภาษาต่างชาติด้วย ทำให้เราตัดสินใจซื้อรุ่นนี้ เพราะเขามีช่องต่อ HDMI ที่สามารถต่อเครื่อง NAS เข้ากับจอคอมพิวเตอร์ หรือทีวีได้ จากนั้นเราก็สามารถที่จะเล่นเน็ตบนหน้าจอทีวีได้ สามารถโหลดแอปพลิเคชันต่างๆ หรือเซฟ web browser ลงตรงหน้าแรกเพื่อที่จะใช้งานได้เลย อย่างช่วงนี้เราติดเล่นเกม Just Dance Now ก็คือเล่นผ่านหน้าจอทีวีได้เหมือนกัน
แล้วยังสามารถใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันบนมือถือ "AiRemote" เพื่อที่จะใช้งานได้เหมือนกับเมาส์ ไว้ควบคุมกับทีวี หรือจะใช้เมาส์ หรือคีย์บอร์ดเสียบช่องเสียบ USB ที่ตัวเครื่องก็ได้ แต่ใช้มือถือก็สะดวกดี มีแป้นพิมพ์ในตัวค่ะ
2. ASUSTOR Live
อันนี้เป็นโปรแกรมสำหรับการ Streaming ที่ช่วยให้สามารถสตรีมพร้อมกันได้หลาย platform ไม่ว่าจะเป็น Twitch, YouTube, Facebook, Instagram, Restream หรือแพล็ตฟอร์มใดก็ตามที่ตามที่รองรับ RTMP ซึ่งตัวเราก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในการเล่นเกมมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นเซียนอะไรมากหรอก ใจจริงเคยพูดกับน้องสาวเล่นๆ ว่าสักวันเรามาลองสตรีมเกมกันดูบ้างดีมั้ย นี่ก็เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจเลือกตัวนี้มา แล้วก็ไม่ใช่แค่เกมเท่านั้น แต่พวกคนที่ทำงาน Live สดต่างๆ ก็น่าจะชื่นชอบตัวนี้ด้วยเหมือนกันค่ะ
3. การรับประกัน 3 ปี
ถือว่านานกว่าเจ้าอื่นๆ เลยค่ะ มันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราก็ใช้ตัดสินใจในการซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง ถึงแม้จะมีคนบอกว่า NAS มันไม่เสียง่ายๆ แต่เรื่องแบบนี้ยังไงก็กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ
-----------------------------------------------------------------------------------
สำหรับการรีวิว ASUSTOR NIMBUSTOR 2 (AS5202T) ของเราก็มีเพียงเท่านี้ค่ะ มันคือการรีวิวครั้งแรกของเราเลย ซึ่งข้อมูลอาจจะไม่ได้แน่นมาก เพราะเราก็ไม่ได้ถนัด หรือทำงานสายนี้เลย แค่มารีวิวจากการใช้งานเอง แล้วก็อยากแชร์สิ่งดีๆ ให้กับคนอื่น จริงๆ NAS มันยังมีรายละเอียดอื่นๆ เยอะกว่านี้มาก และการใช้งานก็สามารถทำได้หลากหลายกว่านี้เยอะเลยค่ะ ถ้ามีคนสนใจจริงๆ ครั้งหน้าเราอาจจะมารีวิวเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับ NAS เพิ่มให้ด้วย
หากใครมีอะไรอยากจะแนะนำเพิ่มเติมก็บอกมาได้เลยนะคะ เราจะยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ
[CR] [CR] รีวิว ASUSTOR NIMBUSTOR 2 (AS5202T) NAS ที่ใช้งานได้หลากหลาย
เหตุผลที่เราตัดสินใจซื้อ NAS
- อยากเก็บไฟล์ข้อมูลต่างๆ ของคนในบ้าน เพราะเรากับน้องสาวอยู่ต่างประเทศ แต่พ่อแม่อยู่ที่ไทย มักจะมีปัญหาเรื่องการส่งเอกสารข้อมูลส่วนตัวให้กันอยู่เสมอ เช่น เวลาต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน อะไรพวกนี้
- บ้านเราชอบไปเที่ยวแข่งกัน แล้วเอารูปมาอวดกันค่ะ ตอนแรกๆ จะฝากรูปในอัลบั้ม Line แต่หลังๆ มันมีเยอะเข้าๆ เลยคิดว่าซื้อ NAS มาใส่รูปเลยดีกว่า ใส่ได้ตั้งแต่รูปพ่อแม่ยังเป็นวัยรุ่น จนถึงปัจจุบันกันเลยทีเดียว
- การทำงานสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะลืมไฟล์งาน ดึงไฟล์ออกมาใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา อย่างเวลาจะโพสต์รูปวันเด็กลง FB หรือจะขุดรูปเก่าๆ ของเพื่อนมา HBD ก็ย่อมได้ งานนี้ต้องมีคนโดนแกง 5555555
- น้องสาวเรากำลังเรียน ป.โท ค่ะ ช่วงนี้กำลังปั่นตัวจบเลย มี NAS ทำให้น้องเราเก็บข้อมูลในเครื่องได้โดยไม่ต้องใส่ใน Flashdrive หรือ External HDD ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะหาย เพราะถ้าหายทีงานนี้มีร้องไห้แน่ๆ
- แม่เราชอบถ่ายรูปมากค่ะ แม่เราใช้ไอโฟน แต่แม่ใช้คอมไม่เป็น ไม่ถนัดใช้เครื่องมือไอที แต่มันชอบมีปัญหาเรื่องความจุของเครื่อง แม่ต้องจ่ายเงินให้ iCloud ทุกเดือนเพื่อฝากรูปเป็นเวลาหลายปี รวมๆ เงินที่เสียไปคือซื้อ NAS ได้แล้ว สรุปซื้อมาเลยเครื่องเดียว ใช้กันได้ทั้งบ้าน
- เวลาอยู่ข้างนอกบ้าน เมมมือถือเต็มก็ย้ายรูปจากมือถือเข้าไปที่เครื่อง NAS ได้เลย หรือเวลาจะค้นเอารูปเก่าๆ ออกมาใช้ก็ใช้ก็สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต
- ทีวีบ้านเช่าประเทศที่เราอยู่ไม่ใช่ Smart TV ทำให้ซื้อ NAS มาเพื่อให้สามารถเล่นเน็ตบนจอทีวีได้ค่ะ
- เก็บภาพไฟล์กล้องวงจรปิดเวลาไม่อยู่บ้านค่ะ แล้วก็เอาไว้ส่องแมวที่บ้านเวลาเราไปทำงานด้วย
แบรนด์ ASUSTOR เขาเป็นแบรนด์ลูกของ ASUS นั่นเอง ชื่อมันเลยคล้ายๆ กัน เรารู้จักแบรนด์นี้จากเพื่อนที่อยู่เยอรมนีเป็นคนแนะนำมาค่ะ เพราะแบรนด์นี้ที่ยุโรปถือว่าดังพอตัว แถมพอมาดูเรื่องสเปกต่างๆ ก็ถือว่าดีกว่าหลายๆ เจ้าในราคาที่ใกล้เคียงกัน
NAS รุ่นนี้มี 2 Bay จำนวน Bay ก็ดูจากว่าเราสามารถใส่ HDD ได้กี่ลูก มีตั้งแต่ 2 Bay, 4 Bay, 8 Bay, 12 Bay แล้วแต่รุ่นกันไป แต่เราใช้งานในบ้าน เอาแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ ถ้าใครทำงานที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเยอะๆ เช่น ช่างภาพ, ออกแบบกราฟฟิก, ตัดต่อวีดีโอ, YouTuber อันนี้จะดูเป็นรุ่นอื่นก็ได้
ด้านหน้าตัวเครื่องจะมีช่องเสียบ USB 3.2 1 พอร์ต ส่วนด้านหลังจะมีช่องเสียบสาย LAN 2.5 GbE 2 พอร์ต, USB 3.2 2 พอร์ต และ HDMI 2.0a 1 พอร์ต
สเปกของ NIMBUSTOR 2
CPU: Intel Celeron J4005 Dual Core 2.0 GHz
ความจุ HDD รับได้สูงสุด 36TB (HDD 2 ลูก ใส่ลูกละไม่เกิน 18TB)
การเลือก HDD นั้นก็ควรเลือกที่ใข้สำหรับ NAS โดยเฉพาะ จะทำให้สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้นานขึ้นค่ะ อย่างของเราก็ใช้ SEAGATE IRONWOLF ความจุ 4TB สองลูก รวมกันเป็น 8TB ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการใช้งานภายในบ้านของเราแล้ว
1. ASUSTOR Portal
อย่างที่เราบอกไปว่าบ้านเช่าที่ต่างประเทศของเราไม่ใช่ Smart TV แล้วการจะเช่าเคเบิลก็ไม่ค่อยคุ้ม เพราะเป็นภาษาต่างชาติด้วย ทำให้เราตัดสินใจซื้อรุ่นนี้ เพราะเขามีช่องต่อ HDMI ที่สามารถต่อเครื่อง NAS เข้ากับจอคอมพิวเตอร์ หรือทีวีได้ จากนั้นเราก็สามารถที่จะเล่นเน็ตบนหน้าจอทีวีได้ สามารถโหลดแอปพลิเคชันต่างๆ หรือเซฟ web browser ลงตรงหน้าแรกเพื่อที่จะใช้งานได้เลย อย่างช่วงนี้เราติดเล่นเกม Just Dance Now ก็คือเล่นผ่านหน้าจอทีวีได้เหมือนกัน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้