ตามด้านบนเลยครับ ช่วงวันที่ 3 มิ.ย. ที่มีเตะกับอินโด ผลเสมอแบบไม่น่าเสมอทำผมนอนไม่หลับครั้งนึงแล้ว เช้ามาง่วงมาก เลยคิดว่า หรืออาจเป็นเพราะเรารอเชียร์หว่า?? (อาถรรพ์เชียร์ทีมไหน ทีมนั้นตายหมด) เมื่อคืนเลยตั้งใจไม่ดูถ่ายทอดสดกะว่าถ้าผมไม่อยู่เชียร์ บางทีอาจจะเกิดปาฏิหารย์ ชนะได้ แต่เหมือนว่าเลือดรักชาติ มันปลุกขึ้นมากลางดึก ตื่นมาเปิดทีวีดู เหลือ 5 นาทีสุดท้าย โดนไป3-1ละ สุดท้ายก็แพ้ตามคาด คราวนี้เป็นเหมือนคืนก่อนเลยตี4กว่าจะหลับได้ (อาการนี้ไม่รู้ใครเป็นเหมือนผมบ้าง T_T)
ดูบอลทีมชาติช่วงนี้ความรู้สึกมันเศร้าจริงๆครับ ผมดูบอลมาตั้งแต่ยังเด็ก ดูทั้งบอลต่างประเทศและไทย ฟุตบอลต่างประเทศจะสนุกแค่ไหน แต่บอลทีมชาติ นี่แหละทำให้ผมอินที่สุดแล้ว และตลอดช่วงที่ผมดูบอลทีมชาติมา ช่วงที่สนุกและน่าลุ้นที่สุด คือ ช่วงที่พี่ซิโก้คุมทีมชาติครับ ผมจำได้ว่า เลิกงานกลับมา ถ้ามีบอลไทย ผมจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยเวลาเลย เวลาไทยยิงเข้า แม้จะไม่ได้ไปสนาม แต่ผมจะได้ยินเสียงเฮพร้อมกัน จากเกือบทุกบ้าน ช่วงนั้มันสนุกและคึกคักจริงๆครับ
ตอนนั้นขอบอกตามตรงเลยครับ ว่าผมภูมิใจมากๆ ที่บอลไทยเราได้ชื่อว่า
King of Asean และ จริงๆ แล้วโดยพื้นฐานตอนนั้น ผมพอใจแล้วครับ กับศักยภาพความพร้อม และผลงานที่พี่ซิโก้ทำให้เราได้แชมป์ในย่านอาเซียนมากมาย และเข้ารอบผลงานเอเชียนคัพ ,เข้ารอบ 4 ทีมเอเชียนเกมส์ , เข้ารอบ 12 ทีมฟุตบอลโลก พูดตรงๆเลยว่า การที่เราแพ้ทีมระดับเอเชีย 5-0 หรือ 6-0 หรือมีสะดุดแพ้ทีมเล็กบ้าง (เพราะฟุตบอลเป็นลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้) บอกตามตรง ตกรอบ 12 ทีมคัดเลือกบอลโลก ผมไม่เคยโกรธพี่ซิโก้เลยครับ เพราะกว่าญี่ปุ่น จากทีมที่เมื่อหลายสิบปีก่อนจะพัฒนาจากทีมที่ด้อยกว่าไทย จนเข้ารอบฟุตบอลโลกครั้งแรก ก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน ตอนนั้น ใครๆ ในย่านอาเซียนก็กลัวเราครับ ไม่มีใครกล้ารุก กล้าบุก เพราะกลัวสไตล์บอลเข้าทำสวนกัลับของเรา ติกีตาก้า ทีเด็ดของเราที่กดหลายๆทีมอยู่
แต่ตอนนี้ครับ
King Of Asean ที่เราเคยภูมิใจ กลายเป็นของเวียดนามซะแล้ว และต่อไป อย่าว่าแต่เวียดนามเลยครับ ทีมอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น อินโด, มาเลยเซีย , สิงคโปร์ หรือแม้เต่เมียนม่าร์ ก็จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับเราบรรยากาศการเชียร์ก็ค่อยๆหงอยลง หลายคนอาจจะเลิกติดตามไปเลย และไม่รู้ว่า อีกกี่ปี บรรยากาศความคึกคักของการเชียร์บอลแบบนั้นจะกลับมาอีก
ผมคิดว่าทุกๆคน จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าใครจะชอบ หรือไม่ชอบพี่ซิโก้ ผมคนนึงครับ ที่ยอมรับว่าแกเก่งและเป็นบุคลากรที่มีความสามารถมากๆ ที่ทำให้เกิดกระแสบอลไทยฟีเว่อร์ได้ขนาดนั้น แม้พี่ซิโก้แกจะคุมทีมตกรอบฟุตบอลโลก อย่างที่บอกครับ ผมไม่ได้โกรธแกเลยที่แพ้ทีมระดับนั้น ซึ่งตอนนั้นผมเข้าใจความผิดหวังของทุกคนครับ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ผิดหวังมากบอกเลยครับ ช่วงนั้นผมไม่ได้คัดค้านเรื่องการเปลี่ยนโค้ชนะ คิดว่าถ้าเปลี่ยนโค้ชได้โค้ชจากต่างชาติ แล้วผลงานดีขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดีมาก
แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยคือ หลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร หรือพวกเราแฟนบอลด้วยกันเองต่างไปกดดน โทษโค้ช และนักฟุตบอล ซึ่งผมมองว่าเค้าพยามยามเต็มที่แล้ว ในความสามารถ ,ศักยภาพ ,ทรัพยากร ทีมีอยู่ในตอนนั้น ผมคิดว่าการที่เราไปกดดันโค้ชคนไทยที่มีศักยภาพ , อายุยังไม่มาก ต่อว่าเค้าเสียๆหายๆ เป็นใครๆ ก็ท้อครับ เหมือบริษัทเอกชนที่มีผู้บริหารหนุ่มไฟแรงทำงานประสบความสำเร็จมาตลอด แต่พอวันนึงทำงานพลาด ก็โดนผู้ใหญ่ในบริษัท ,ผู้มีอำนาจ,เพื่อนร่วมงานกดดันจนต้องออกจากงาน และเกิดอะไรขึ้นครับ เค้าย้ายไปอยู่บริษัทคู่แข่งครับ ไปพัฒนาให้คู่แข่ง เหมือนพี่ซิโก้ ไปอยู่เวียดนาม ทำทีมฮองอันยาลายจนแข็งแกร่งป้อนนักเตะเข้าสู่ทีมชาติเวียดนาม ทำให้เวียดนามแกร่งขึ้นไปอีก
สิ่งที่ผมอยากให้ทำตอนนั้นครับ อย่างที่บอก ผมไม่ได้คัดค้านการเปลี่ยนโค้ช แต่สิ่งที่เราควรทำ คือ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งหรือหน้าที่ให้เหมาะสมกับศักยภาพของเค้าในขณะนั้น อาจให้ไปคุม U-23 หรือ ทีมเยาวชน หรือเป็นผู้ช่วยโค้ช เพื่อป้อนและนักเตะที่จะเป็นกำลังหลักในอนาคต ให้เรียนรู้เทคนิคไอเดียและความคิด จากโค้ชที่มีประสบการณ์อย่าง ราเยวัช หรือ อาจารย์นิชิโนะ โค้ชหนุ่มที่มีความสามารถ ผมว่าเราควรดูแล และพัฒนามากกว่าขับออกไปนะครับจนถึวันนึงที่เค้ามีความพร้อม อาจไม่ได้กลับมาเป็นโค้ช แต่อาจจะเป็นผู้บริหารด้านเทคนิคที่จะมีส่วนทำให้ฟุตบอลไทยพัฒนาไประดับโลกก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่กลายเป็นสมองไหลให้กับทีมคู่แข่ง ผมไม่รู้เรื่องการเมืองการบริหารภายในสมาคม หรืออะไรนะ แต่ เพื่อเป้าหมายในอนาคต เราควรเก็บและให้ความสำคัญ ให้กำลังใจ และพัฒนาคนที่มีความสามารถ ประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆนะครับ ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจลูกหนังที่จะมีโค้ชเก่งๆระดับโลกมาให้เราเลือกใช้ได้ตลอด
หยุดเถอะครับ การกล่าวโทษกันไปมา มันไม่มีประโยชน์ครับ มีแต่ทำให้เกิดความสูญเสีย เราควรหาวิธีแก้ไขปัญหาและติดตามผลอย่างเป็นระบบ เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้วเค้าทำกัน เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่วงการกีฬาครับ มันลามไปทุกวงการเลยครับ เพื่อให้ภาพรวมพัฒนาได้ต่อไป
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ เป็นเสียงเล็กๆที่ฝากไว้จากใจครับ
คิดถึงบรรยากาศดูบอลไทย เชียร์บอลไทย สมัย "ซิโก้ฟีเว่อร์" (ความรู้สึกจากใจอย่าว่าผมอยู่ฝ่ายไหนเลยนะครับ)
ดูบอลทีมชาติช่วงนี้ความรู้สึกมันเศร้าจริงๆครับ ผมดูบอลมาตั้งแต่ยังเด็ก ดูทั้งบอลต่างประเทศและไทย ฟุตบอลต่างประเทศจะสนุกแค่ไหน แต่บอลทีมชาติ นี่แหละทำให้ผมอินที่สุดแล้ว และตลอดช่วงที่ผมดูบอลทีมชาติมา ช่วงที่สนุกและน่าลุ้นที่สุด คือ ช่วงที่พี่ซิโก้คุมทีมชาติครับ ผมจำได้ว่า เลิกงานกลับมา ถ้ามีบอลไทย ผมจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยเวลาเลย เวลาไทยยิงเข้า แม้จะไม่ได้ไปสนาม แต่ผมจะได้ยินเสียงเฮพร้อมกัน จากเกือบทุกบ้าน ช่วงนั้มันสนุกและคึกคักจริงๆครับ
ตอนนั้นขอบอกตามตรงเลยครับ ว่าผมภูมิใจมากๆ ที่บอลไทยเราได้ชื่อว่า King of Asean และ จริงๆ แล้วโดยพื้นฐานตอนนั้น ผมพอใจแล้วครับ กับศักยภาพความพร้อม และผลงานที่พี่ซิโก้ทำให้เราได้แชมป์ในย่านอาเซียนมากมาย และเข้ารอบผลงานเอเชียนคัพ ,เข้ารอบ 4 ทีมเอเชียนเกมส์ , เข้ารอบ 12 ทีมฟุตบอลโลก พูดตรงๆเลยว่า การที่เราแพ้ทีมระดับเอเชีย 5-0 หรือ 6-0 หรือมีสะดุดแพ้ทีมเล็กบ้าง (เพราะฟุตบอลเป็นลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้) บอกตามตรง ตกรอบ 12 ทีมคัดเลือกบอลโลก ผมไม่เคยโกรธพี่ซิโก้เลยครับ เพราะกว่าญี่ปุ่น จากทีมที่เมื่อหลายสิบปีก่อนจะพัฒนาจากทีมที่ด้อยกว่าไทย จนเข้ารอบฟุตบอลโลกครั้งแรก ก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน ตอนนั้น ใครๆ ในย่านอาเซียนก็กลัวเราครับ ไม่มีใครกล้ารุก กล้าบุก เพราะกลัวสไตล์บอลเข้าทำสวนกัลับของเรา ติกีตาก้า ทีเด็ดของเราที่กดหลายๆทีมอยู่
แต่ตอนนี้ครับ King Of Asean ที่เราเคยภูมิใจ กลายเป็นของเวียดนามซะแล้ว และต่อไป อย่าว่าแต่เวียดนามเลยครับ ทีมอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น อินโด, มาเลยเซีย , สิงคโปร์ หรือแม้เต่เมียนม่าร์ ก็จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับเราบรรยากาศการเชียร์ก็ค่อยๆหงอยลง หลายคนอาจจะเลิกติดตามไปเลย และไม่รู้ว่า อีกกี่ปี บรรยากาศความคึกคักของการเชียร์บอลแบบนั้นจะกลับมาอีก
ผมคิดว่าทุกๆคน จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าใครจะชอบ หรือไม่ชอบพี่ซิโก้ ผมคนนึงครับ ที่ยอมรับว่าแกเก่งและเป็นบุคลากรที่มีความสามารถมากๆ ที่ทำให้เกิดกระแสบอลไทยฟีเว่อร์ได้ขนาดนั้น แม้พี่ซิโก้แกจะคุมทีมตกรอบฟุตบอลโลก อย่างที่บอกครับ ผมไม่ได้โกรธแกเลยที่แพ้ทีมระดับนั้น ซึ่งตอนนั้นผมเข้าใจความผิดหวังของทุกคนครับ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ผิดหวังมากบอกเลยครับ ช่วงนั้นผมไม่ได้คัดค้านเรื่องการเปลี่ยนโค้ชนะ คิดว่าถ้าเปลี่ยนโค้ชได้โค้ชจากต่างชาติ แล้วผลงานดีขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดีมาก
แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยคือ หลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร หรือพวกเราแฟนบอลด้วยกันเองต่างไปกดดน โทษโค้ช และนักฟุตบอล ซึ่งผมมองว่าเค้าพยามยามเต็มที่แล้ว ในความสามารถ ,ศักยภาพ ,ทรัพยากร ทีมีอยู่ในตอนนั้น ผมคิดว่าการที่เราไปกดดันโค้ชคนไทยที่มีศักยภาพ , อายุยังไม่มาก ต่อว่าเค้าเสียๆหายๆ เป็นใครๆ ก็ท้อครับ เหมือบริษัทเอกชนที่มีผู้บริหารหนุ่มไฟแรงทำงานประสบความสำเร็จมาตลอด แต่พอวันนึงทำงานพลาด ก็โดนผู้ใหญ่ในบริษัท ,ผู้มีอำนาจ,เพื่อนร่วมงานกดดันจนต้องออกจากงาน และเกิดอะไรขึ้นครับ เค้าย้ายไปอยู่บริษัทคู่แข่งครับ ไปพัฒนาให้คู่แข่ง เหมือนพี่ซิโก้ ไปอยู่เวียดนาม ทำทีมฮองอันยาลายจนแข็งแกร่งป้อนนักเตะเข้าสู่ทีมชาติเวียดนาม ทำให้เวียดนามแกร่งขึ้นไปอีก
สิ่งที่ผมอยากให้ทำตอนนั้นครับ อย่างที่บอก ผมไม่ได้คัดค้านการเปลี่ยนโค้ช แต่สิ่งที่เราควรทำ คือ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งหรือหน้าที่ให้เหมาะสมกับศักยภาพของเค้าในขณะนั้น อาจให้ไปคุม U-23 หรือ ทีมเยาวชน หรือเป็นผู้ช่วยโค้ช เพื่อป้อนและนักเตะที่จะเป็นกำลังหลักในอนาคต ให้เรียนรู้เทคนิคไอเดียและความคิด จากโค้ชที่มีประสบการณ์อย่าง ราเยวัช หรือ อาจารย์นิชิโนะ โค้ชหนุ่มที่มีความสามารถ ผมว่าเราควรดูแล และพัฒนามากกว่าขับออกไปนะครับจนถึวันนึงที่เค้ามีความพร้อม อาจไม่ได้กลับมาเป็นโค้ช แต่อาจจะเป็นผู้บริหารด้านเทคนิคที่จะมีส่วนทำให้ฟุตบอลไทยพัฒนาไประดับโลกก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่กลายเป็นสมองไหลให้กับทีมคู่แข่ง ผมไม่รู้เรื่องการเมืองการบริหารภายในสมาคม หรืออะไรนะ แต่ เพื่อเป้าหมายในอนาคต เราควรเก็บและให้ความสำคัญ ให้กำลังใจ และพัฒนาคนที่มีความสามารถ ประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆนะครับ ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจลูกหนังที่จะมีโค้ชเก่งๆระดับโลกมาให้เราเลือกใช้ได้ตลอด
หยุดเถอะครับ การกล่าวโทษกันไปมา มันไม่มีประโยชน์ครับ มีแต่ทำให้เกิดความสูญเสีย เราควรหาวิธีแก้ไขปัญหาและติดตามผลอย่างเป็นระบบ เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้วเค้าทำกัน เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่วงการกีฬาครับ มันลามไปทุกวงการเลยครับ เพื่อให้ภาพรวมพัฒนาได้ต่อไป
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ เป็นเสียงเล็กๆที่ฝากไว้จากใจครับ