On the Train
1
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเวลาเจ็ดโมงสามสิบห้าประกอบกับท้องฟ้าขะหมุกขะมัวในช่วงต้นเดือนธันวาคม ฉันแทบไม่อยากตื่นเลย ยิ่งอากาศในกรุงเทพวันนี้ก็หนาวจนฉันไม่เปิดแอร์ ฉันทำในสิ่งตรงข้ามเปิดหน้าต่างเต็มที่ รับลมหนาวลมแรกในเดือนธันวาคม ไม่ใช่หรอกมั้ง ลมหนาวแรกของปีนี้พัดผ่านผ้าม่านบาง ๆ ให้เคลื่อนไหว ฉันขยับตัวลุกขึ้น ก้าวขาลงจากเตียง ลุกเดินไปสูดรับลมหนาวตรงระเบียงให้ร่างกายภายใต้ชุดนอนบาง ๆ ได้ปะทะกันก่อนที่จะนั่งลงช้า ๆ ริมระเบียงนั้น หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ วิวของโค้งน้ำเจ้าพระยาเมื่อมองจากด้านบนในวันนี้ก็ไม่ต่างจากทุกครั้ง เรือด่วน เรือข้ามฟาก เรือหางยาวแล่นบนผืนน้ำอย่างเดิม ตึกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำก็ยังและหญิงวัยกลางคนก็ยังคงเอาชุดชั้นในมาตากริมระเบียงเหมือนเดิม
“เค้ก”
“อีเค้ก” เสียงตะโกนเรียกชื่อทำฉันสะดุ้ง
“เมิงจะสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นอีกนานไหมเนี่ย กุหนาว” เสียงของพายสะลืมสะลือเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน “ปิดหน้าต่างหน่อย”
“เออ” ฉันครางตอบพร้อมดับบุหรี่ไว้กับจานรองแก้วก่อนจะเดินกลับเข้าห้องพร้อมปิดหน้าต่าง
“เมิงจะตื่นรึยังพาย” ฉันนั่งลงขอบเตียง “วันนี้นำเสนองานคาบเช้า”
“ขอเวลากุห้านาที” พายพูดจบแล้วก็นอนต่อ แต่ผ่านไปไม่นานพายก็ตื่น
“ไม่นอนแm่งละ” เธอเลิกผ้าห่มออก พายใส่กางเกงขาสั้นนอนเหมือนเดิม เธอเดินเข้าห้องน้ำ ฉันเดินตามไป พายกำลังรวบผมแล้วมัดด้วยยาง
“กุลืมถาม เมิงขอที่บ้านรึยังว่ามานอนห้องกุ” ฉันถามขณะที่พายกำลังหยิบแปรงมาสีฟัน
“หึ” พายส่ายหน้า ฉันชายตามองไปยังขวดเบียร์ที่วางกองอยู่ข้างนอก เราสองคนกินเบียร์ลีโอรวมกันแปดขวด พายกินคนเดียวหกขวดตั้งแต่สองทุ่ม ดื่มต่างน้ำ
“แต่ช่างเหอะ ช่วงนี้พ่อกับแม่กุก็ไม่ค่อยว่าง” บ้านของพายทำธุรกิจให้เช่าตู้จ่ายน้ำมัน พ่อของพายจะออกไปตรวจงานต่างจังหวัดบ่อย เขารับกิจการต่อจากเจ้านายเก่าที่ตายไปซึ่งไม่มีลูกหลานมาสืบต่อ หน้าที่ทั้งหมดตามพินัยกรรมจึงตกอยู่ที่พ่อของพายซึ่งทำงานรับใช้เขามาตั้งแต่ก่อนพายเกิดและเป็นคนที่เขาไว้ใจ ความเป็นจริงพ่อของพายเป็นคนเชียงตุงที่จบปริญญาจากในเมืองแต่เดินทางมาหางานทำในไทยเพราะเชียงตุงเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก โอกาสหางานก็ยาก เพราะคนเชียงตุงเป็นคนไทขึน ไม่ใช่คนพม่า เขาจึงพูดไทยได้ดี ฝึกอ่านเขียนภาษาไทยไม่นานก็เข้าที่ ช่วงแรกรับงานอยู่ที่เชียงรายจนมาเจอกับแม่ของเธอซึ่งเป็นคนอำเภอแม่จัน หลังจากนั้นก็ทำงานดีจนย้ายเข้ามากรุงเทพตอนที่พายอยู่มัธยมพอดี ทั้งหมดนี้พายเป็นคนเล่าให้ฉันฟังเมื่อคืน เรื่องของพายอาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันอาจประหลาดสำหรับฉัน พายเป็นคนหนึ่งที่ฉันตั้งคำถามถึงเธอบ่อยครั้งในใจ พายรู้จักฉันดี เธอรับฟังเรื่องราวของฉันเสมือนเครื่องบันทึกเสียง แต่กลับกันฉันรู้สึกว่าฉันกลายเป็นเพียงวิทยุเครื่องหนึ่งของเธอซึ่งเปิดไว้ตลอดเวลา เธอเก็บงำ ซ่อนเร้นบางสิ่งภายในเรือนร่างของเธอ ที่ผ่านมาฉันรู้แค่ว่าพ่อของพายมาจากเชียงตุง เรื่องราวของพ่อเธอเมื่อคืนจึงทำให้ฉันรู้สึกพิเศษ
“เมิงกลับไปบ่อยไหมวะ” ฉันถาม
“บ่อยนะ ก็ช่วงปิดเทอมใหญ่” เสียงของพายดูอู้อี้เนื่องจากแปรงสีฟัน
“ต้นไม้เยอะไหมวะ”
“อื้อ” เธอพยักหน้า “อากาศหนาวนะตอนหน้าหนาว กุถึงชอบที่นั่น แต่ปิดเทอมใหญ่ร้อน
” เธอบ้วนปาก
“แล้วที่นั่นมันมีไรวะ เมื่อคืนเมิงพูดอยู่ แต่อยู่ดี ๆ ก็หลับไป” ฉันสงสัย
“อ๋อ”
“เออ ทำไมอ่ะ” พายหันหน้ามาหาฉันพลางมองหน้า ฉันทำอะไรไม่ถูกเหมือนเธอถามแบบนี้
“ก็” ฉันมองต่ำ “เมื่อคืนเมิงพูดแล้วก็หลับไป ว่าที่บ้านย่ามีอะไรอยู่สักอย่าง”
“มีทางรถไฟเพิ่งเปิดใหม่ ระยะทางแปดสิบกว่าโล” พายเดินออกจากห้องน้ำ กลับไปนอนต่อ
“พาย นี่มันจะแปดโมงแล้ว เดี๋ยวเราไปพรีเซ็นต์ไม่ทัน” ฉันหงุดหงิดกับอาการเมาของพายมาก เธอดื่มหนักทั้งที่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นมีนำเสนองาน
“เค้ก กุไปไม่ไหว” เสียงของพายงัวเงียเหลือเกิน เธออยากนอนต่อเต็มแก่
“เมิงต้องไปกับกุEพาย” ฉันไม่สนใจ “เมิงค่อยกลับมานอนตอนบ่ายก็ได้” ฉันมองดูพายที่หลับตาฟัง ปอยผมของเธอปิดแก้ม ปลายผมยื่นเลยคางไปหน่อย ปากก็รูปทรงดี ใบหน้าของพายไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
ก็ได้ เมิงจะเอาแบบนี้หรอ ฉันคิดในใจ “เมิงโกหกใช่ไหม”
พายเบิกดวงตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยืนคำถามนี้ จริง ๆ แล้วน้ำเสียงของฉันไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไรเลย ฉันถามพายด้วยความรู้สึกที่เรียบนิ่งแต่ฉันรู้ว่าพายจะพ่ายแพ้กับคำโกหกของเธอ เราอยู่ด้วยกันมาพอสมควรจนรู้จังหวะของแต่ละคนดี และในจังหวะนี้ พายต้องตอบอะไรสักอย่าง
“มาที่บ้านกุดิ แล้วกุจะบอก”
ฉันนิ่งเงียบไปสักพัก
“กุจะไปทำไมวะ” เธอแสร้งไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด
“พาย อีกห้านาทีถ้าเมิงไม่ตื่นกุจะแต่งตัว ไม่รอเมิงแล้วนะ” ฉันหยิบบุหรี่ขึ้นมาพร้อมจุดไฟสูบอีกครั้ง คราวนี้ฉันนั่งสูบในห้อง ตรงปลายตีนพาย ควันลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ฉันตั้งใจจะให้ควันบุหรี่ปลุกเธอแทนเสียงของฉัน
“กุขอไปดูเมิงแต่งตัวได้’เปล่า” พายพลิกตัวนอนหงายเพื่อให้สายตาของเธอมองเห็นฉันง่ายขึ้นก่อนลุกขึ้นนั่ง สวมแว่นกลมให้สอดรับกับดวงตาชั้นเดียวทรงหงส์ร้อง กำลังเพ่งมอง “ในห้องน้ำ”
ฉันยกบุหรี่ขึ้นสูบอีกรอบ “เมิงยังชอบกุอีกหรือ”
พายไม่ตอบ
“แล้วที่บ้านเมิงมีอะไรวะ”
“เค้ก”
“พาย เมิงบอกกุหน่อยดิบ้านเมิงมีอะไร”
“เค้ก”
“พาย”
“เค้ก!” เสียงของพี่รุตดังขึ้นตัดหน้าฉัน หน้าของพี่รุตหยุดอยู่ตรงหน้า
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าสูบบุหรี่ในห้องนอน” พี่รุตหยิบบุหรี่ที่ฉันคีบไว้ออกจากมือ ฉันได้สติจึงตกใจเล็กน้อย
“ขอโทษค่ะ” ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ฉันอยากบอกเขาแบบนั้น แต่ความผิดมันเกิดขึ้นแล้ว พี่รุตออกไปดับบุหรี่ข้างนอก เขานั่งอยู่ริมระเบียง ฉันเลยลุกออกไประเบียงบ้าง นั่งลงริมขอบระเบียง อากาศยังเย็นอยู่แม้ว่าแสงแดดจะเริ่มส่องลงมาบ้าง พี่รุตไม่ได้มองหน้าฉัน เขามองไปตรง ๆ เหม่อลอยกับสิ่งข้างหน้า แม้ฉันจะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้ทำให้เขาอึดอัดใจแค่ไหนก็ตาม ฉันเขยิบตัวเข้าไปใกล้ ๆ คว้ามือซ้ายของเขาไว้แนบกับแก้มฉัน เป็นอีกครั้งที่ฉันร้องไห้
“พี่ขอโทษนะเค้ก” ฉันส่ายหน้า
“พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” ฉันว่า “หนูผิดเอง”
"วันนี้หยุดงานใช่ไหม” พี่รุตหันมามองหน้าฉัน
“ค่ะ” ฉันพยักหน้า
“เดี๋ยวพี่ไปด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่” ฉันส่ายหน้า “พี่ไปทำงานเถอะ” เป็นหน้าที่ของฉันเอง ฉันอยากบอกอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูด
“ไม่เป็นไรเลย” พี่รุตย้ำอีกครั้ง “เค้กไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ สายแล้ว”
ฉันใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงทำธุระส่วนตัว ก่อนจะแต่งหน้าบาง ๆ และเลือกหยิบเสื้อผ้าง่าย ๆ อย่างเสื้อสีดำ กางเกงขายาวสีขาว ใส่คู่กับรองเท้าส้นสูง ฉีดน้ำหอมง่าย ๆ อย่างเ
บอร์เบอรี เฮอ ออ เดอ เพอฟูม สะพายกระเป๋าข้าง พี่รุตรออยู่ลอบบี้ข้างล่างแล้ว
แม้ว่ารถจะติดแค่ไหนแต่พี่รุตไม่เคยบ่น กว่าจะออกจากเขตเมืองจนถึงแปดริ้วได้ก็ใช้เวลาเกินชั่วโมง ฉันกับพายชอบทำบุญที่วัดนี้บ่อยเพราะวัดนี้เป็นวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน คนยังไม่พลุกพล่านอีกด้วย เธอชอบบรรยากาศที่นี่เช่นกัน เธอเคยบอกฉันว่าวัดนี้เงียบสงบและบรรยากาศริมแม่น้ำบางปะกงในตอนกลางวันก็สวยเหลือเกิน
ฉันเตรียมชุดสังฆทานมาจากห้องเรียบร้อยก่อนถวายแด่พระสงฆ์พร้อมกรวดน้ำ
“เค้ก เธอจะแวะบ้านไหม” พี่รุตถามหลังจากขับรถออกจากวัด บ้านเกิดของฉันอยู่ห่างจากวัดนี้แค่ห้ากิโลเมตร
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเพิ่งมาเมื่อเดือนที่แล้ว”
“’งั้นเดี๋ยวพี่พาไปกินข้าว”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้า จากนั้นพี่รุตพาฉันไปกินข้าวในอำเภอเมืองก่อนจะขับรถกลับแต่ฉันขอพี่รุตเดินเล่นที่ห้างก่อน ส่วนพี่รุตต้องไปทำธุระต่อ ฉันเดินห้างประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับคอนโด ซื้ออาหารกลับมากินเองที่ห้อง ระหว่างทางที่นั่งรถ ฉันกลับคิดถึงพายอีกแล้ว คิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ฉันพอจะนึกได้ เรื่องที่นาน ๆ ทีจะวนกลับมา หกปีแล้วที่ฉันจากเธอหรือเธอจากฉันกันแน่ ฉันไม่รู้แต่ก็ไม่ตัดสินใจว่าใครจะจากใคร เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสาม หากนับเวลาแล้ว เราเป็นเพื่อนกันมาแค่สองปี เวลานี้อาจดูเหมือนน้อย แต่สำหรับฉันแล้ว นั่นคือเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพายเหมือนเริ่มจากเศษอุกกาบาต เมื่อเริ่มพูดคุย ฉันก็สนิทใจกับเธอ เธอรวบรวมเศษอุกกาบาตนั้น สร้างโลกให้ฉันได้พักพิง แต่ไม่มีใครสร้างโลกอันสงบสุขโดยไม่เรียกร้องสิ่งใด เฉกเช่นสันติภาพที่เกิดขึ้นหลังผ่านพ้นความรุนแรง เธอชอบฉัน
ตอนเธอบอกแบบนั้น ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูก แม้ฉันจะรู้ว่าสิ่งที่เธอรู้สึกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ฉันเองที่รู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้จริง ๆ พอรู้ตัวอีกที ฉันก็พลั้งปากบอกปฏิเสธ
เธอไม่ได้บอกชอบฉันแค่ครั้งเดียว นับแต่ปีหนึ่งเทอมสอง เธอบอกชอบฉันประมาณสามรอบได้ แต่เธอก็พยายามไม่ล่วงละเมิดตัวฉัน แม้ว่าตัวเราจะอยู่ใกล้กัน
หลังสอบปลายภาคเสร็จ ฉัน พายและเพื่อนคนอื่น ๆ กินเหล้าที่ร้านตามปกติก่อนที่เราทั้งสองจะแยกตัวออกมากินเหล้ากันต่อที่ห้องของพายในเวลาตีสองกว่า ๆ พวกเราเมาได้ที่ หน้าแดง กลิ่นเหล้าออกเนื้อตัวปนกับกลิ่นบุหรี่ที่เราเพิ่งสูบหมดไปซองที่สี่ของคืนนี้ก่อนดวงตะวันจะฉายแสงในอีกสามชั่วโมงและก่อนที่พวกเราจะหมดสติเพราะฤทธิ์เหล้าจริง ๆ มันมาแล้ว ความรู้สึกที่กระทบในใจฉันที่ฉันจะต้องถามพายอย่างจริงจัง
“หยุดสองเดือนเมิงจะทำไรอ่ะ” ใบหน้าของพายดูประมวลผลกับคำถาม หลังของเธอพิงผนังห้อง สายตาของพายไม่จับจุดต่อสิ่งใด ใบหน้าของพายเชิดตรงไปยังตึกฝั่งตรงข้าม
“กุจะกลับไปนอนกับพี่รุต”
“เฮ้ย กุล้อเล่น” พายหัวเราะร่า เธอเอามือดันต้นแขนฉันที่นั่งข้าง ๆ “กุบอกแล้วไงว่ากุเลิกกับเค้าแล้ว กุไม่เหมือนเดิมแล้ว”
"กุยกพี่รุตให้ก็ได้นะ ถ้าต้องการ กุยอมยกให้คนเดียวเลย” พายพูดทีเล่นทีจริง
“ไร้สาระ” ฉันว่า “เมิงจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็เรื่องของ เมิงจะเลิกกับใครก็เรื่องของเมิง ตอนนี้พี่รุตก็แค่แฟนเก่าเมิง เค้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของเค้า เมิงกับเค้าก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว เค้าจะไปชอบใครเมิงก็บงการใครไม่ได้”
“แต่เมิงก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าชอบเค้า ใช่มั้ย” เมื่อฉันหันมาอีกที เธอก็คาบบุหรี่อยู่ในปากแล้ว
“เมิงเมาจริง ๆ แล้ว” ฉันว่า
“กุไม่ได้เมา เมื่อไหร่จะยอมรับสักทีว่าเมิงชอบเค้า”
“พาย!” ฉันตะโกนชื่อเธอดังลั่น
“อือ ๆ กุจบก็ได้” ประโยคนี้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในเวลานั้น ความรู้สึกในใจของฉันมันร้อนรุ่มจนอยากจะกระโดดให้หัวจมอยู่ในแม่น้ำ
“ไว้รอให้กุตายก่อนเมิงก็มาบอกกุก็ได้”
เราต่างคนต่างหันหน้าไปคนละด้าน ปล่อยให้ความร้อนของฤทธิ์แอลกอฮอล์ได้หลอมละลายทั้งกายและวิญญาณ พายพยุงตัวเองกลับเข้าไปในห้อง ไม่นานนัก ท่อนอินโทรของเพลง
วู้ดสต็อค ก็เริ่มขึ้นผ่านลำโพงที่ต่อจากเครื่องคอม พายกลับมานั่งที่เดิมพร้อมบุหรี่มวนใหม่และเมื่อถึงท่อนฮุก พวกเราร้องด้วยกัน
(มีต่อ)
On the Train (ออน เดอะ เทรน) (1)
1
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเวลาเจ็ดโมงสามสิบห้าประกอบกับท้องฟ้าขะหมุกขะมัวในช่วงต้นเดือนธันวาคม ฉันแทบไม่อยากตื่นเลย ยิ่งอากาศในกรุงเทพวันนี้ก็หนาวจนฉันไม่เปิดแอร์ ฉันทำในสิ่งตรงข้ามเปิดหน้าต่างเต็มที่ รับลมหนาวลมแรกในเดือนธันวาคม ไม่ใช่หรอกมั้ง ลมหนาวแรกของปีนี้พัดผ่านผ้าม่านบาง ๆ ให้เคลื่อนไหว ฉันขยับตัวลุกขึ้น ก้าวขาลงจากเตียง ลุกเดินไปสูดรับลมหนาวตรงระเบียงให้ร่างกายภายใต้ชุดนอนบาง ๆ ได้ปะทะกันก่อนที่จะนั่งลงช้า ๆ ริมระเบียงนั้น หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ วิวของโค้งน้ำเจ้าพระยาเมื่อมองจากด้านบนในวันนี้ก็ไม่ต่างจากทุกครั้ง เรือด่วน เรือข้ามฟาก เรือหางยาวแล่นบนผืนน้ำอย่างเดิม ตึกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำก็ยังและหญิงวัยกลางคนก็ยังคงเอาชุดชั้นในมาตากริมระเบียงเหมือนเดิม
“เค้ก”
“อีเค้ก” เสียงตะโกนเรียกชื่อทำฉันสะดุ้ง
“เมิงจะสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นอีกนานไหมเนี่ย กุหนาว” เสียงของพายสะลืมสะลือเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน “ปิดหน้าต่างหน่อย”
“เออ” ฉันครางตอบพร้อมดับบุหรี่ไว้กับจานรองแก้วก่อนจะเดินกลับเข้าห้องพร้อมปิดหน้าต่าง
“เมิงจะตื่นรึยังพาย” ฉันนั่งลงขอบเตียง “วันนี้นำเสนองานคาบเช้า”
“ขอเวลากุห้านาที” พายพูดจบแล้วก็นอนต่อ แต่ผ่านไปไม่นานพายก็ตื่น
“ไม่นอนแm่งละ” เธอเลิกผ้าห่มออก พายใส่กางเกงขาสั้นนอนเหมือนเดิม เธอเดินเข้าห้องน้ำ ฉันเดินตามไป พายกำลังรวบผมแล้วมัดด้วยยาง
“กุลืมถาม เมิงขอที่บ้านรึยังว่ามานอนห้องกุ” ฉันถามขณะที่พายกำลังหยิบแปรงมาสีฟัน
“หึ” พายส่ายหน้า ฉันชายตามองไปยังขวดเบียร์ที่วางกองอยู่ข้างนอก เราสองคนกินเบียร์ลีโอรวมกันแปดขวด พายกินคนเดียวหกขวดตั้งแต่สองทุ่ม ดื่มต่างน้ำ
“แต่ช่างเหอะ ช่วงนี้พ่อกับแม่กุก็ไม่ค่อยว่าง” บ้านของพายทำธุรกิจให้เช่าตู้จ่ายน้ำมัน พ่อของพายจะออกไปตรวจงานต่างจังหวัดบ่อย เขารับกิจการต่อจากเจ้านายเก่าที่ตายไปซึ่งไม่มีลูกหลานมาสืบต่อ หน้าที่ทั้งหมดตามพินัยกรรมจึงตกอยู่ที่พ่อของพายซึ่งทำงานรับใช้เขามาตั้งแต่ก่อนพายเกิดและเป็นคนที่เขาไว้ใจ ความเป็นจริงพ่อของพายเป็นคนเชียงตุงที่จบปริญญาจากในเมืองแต่เดินทางมาหางานทำในไทยเพราะเชียงตุงเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก โอกาสหางานก็ยาก เพราะคนเชียงตุงเป็นคนไทขึน ไม่ใช่คนพม่า เขาจึงพูดไทยได้ดี ฝึกอ่านเขียนภาษาไทยไม่นานก็เข้าที่ ช่วงแรกรับงานอยู่ที่เชียงรายจนมาเจอกับแม่ของเธอซึ่งเป็นคนอำเภอแม่จัน หลังจากนั้นก็ทำงานดีจนย้ายเข้ามากรุงเทพตอนที่พายอยู่มัธยมพอดี ทั้งหมดนี้พายเป็นคนเล่าให้ฉันฟังเมื่อคืน เรื่องของพายอาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันอาจประหลาดสำหรับฉัน พายเป็นคนหนึ่งที่ฉันตั้งคำถามถึงเธอบ่อยครั้งในใจ พายรู้จักฉันดี เธอรับฟังเรื่องราวของฉันเสมือนเครื่องบันทึกเสียง แต่กลับกันฉันรู้สึกว่าฉันกลายเป็นเพียงวิทยุเครื่องหนึ่งของเธอซึ่งเปิดไว้ตลอดเวลา เธอเก็บงำ ซ่อนเร้นบางสิ่งภายในเรือนร่างของเธอ ที่ผ่านมาฉันรู้แค่ว่าพ่อของพายมาจากเชียงตุง เรื่องราวของพ่อเธอเมื่อคืนจึงทำให้ฉันรู้สึกพิเศษ
“เมิงกลับไปบ่อยไหมวะ” ฉันถาม
“บ่อยนะ ก็ช่วงปิดเทอมใหญ่” เสียงของพายดูอู้อี้เนื่องจากแปรงสีฟัน
“ต้นไม้เยอะไหมวะ”
“อื้อ” เธอพยักหน้า “อากาศหนาวนะตอนหน้าหนาว กุถึงชอบที่นั่น แต่ปิดเทอมใหญ่ร้อน” เธอบ้วนปาก
“แล้วที่นั่นมันมีไรวะ เมื่อคืนเมิงพูดอยู่ แต่อยู่ดี ๆ ก็หลับไป” ฉันสงสัย
“อ๋อ”
“เออ ทำไมอ่ะ” พายหันหน้ามาหาฉันพลางมองหน้า ฉันทำอะไรไม่ถูกเหมือนเธอถามแบบนี้
“ก็” ฉันมองต่ำ “เมื่อคืนเมิงพูดแล้วก็หลับไป ว่าที่บ้านย่ามีอะไรอยู่สักอย่าง”
“มีทางรถไฟเพิ่งเปิดใหม่ ระยะทางแปดสิบกว่าโล” พายเดินออกจากห้องน้ำ กลับไปนอนต่อ
“พาย นี่มันจะแปดโมงแล้ว เดี๋ยวเราไปพรีเซ็นต์ไม่ทัน” ฉันหงุดหงิดกับอาการเมาของพายมาก เธอดื่มหนักทั้งที่รู้ว่าวันรุ่งขึ้นมีนำเสนองาน
“เค้ก กุไปไม่ไหว” เสียงของพายงัวเงียเหลือเกิน เธออยากนอนต่อเต็มแก่
“เมิงต้องไปกับกุEพาย” ฉันไม่สนใจ “เมิงค่อยกลับมานอนตอนบ่ายก็ได้” ฉันมองดูพายที่หลับตาฟัง ปอยผมของเธอปิดแก้ม ปลายผมยื่นเลยคางไปหน่อย ปากก็รูปทรงดี ใบหน้าของพายไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
ก็ได้ เมิงจะเอาแบบนี้หรอ ฉันคิดในใจ “เมิงโกหกใช่ไหม”
พายเบิกดวงตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยืนคำถามนี้ จริง ๆ แล้วน้ำเสียงของฉันไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไรเลย ฉันถามพายด้วยความรู้สึกที่เรียบนิ่งแต่ฉันรู้ว่าพายจะพ่ายแพ้กับคำโกหกของเธอ เราอยู่ด้วยกันมาพอสมควรจนรู้จังหวะของแต่ละคนดี และในจังหวะนี้ พายต้องตอบอะไรสักอย่าง
“มาที่บ้านกุดิ แล้วกุจะบอก”
ฉันนิ่งเงียบไปสักพัก
“กุจะไปทำไมวะ” เธอแสร้งไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด
“พาย อีกห้านาทีถ้าเมิงไม่ตื่นกุจะแต่งตัว ไม่รอเมิงแล้วนะ” ฉันหยิบบุหรี่ขึ้นมาพร้อมจุดไฟสูบอีกครั้ง คราวนี้ฉันนั่งสูบในห้อง ตรงปลายตีนพาย ควันลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ฉันตั้งใจจะให้ควันบุหรี่ปลุกเธอแทนเสียงของฉัน
“กุขอไปดูเมิงแต่งตัวได้’เปล่า” พายพลิกตัวนอนหงายเพื่อให้สายตาของเธอมองเห็นฉันง่ายขึ้นก่อนลุกขึ้นนั่ง สวมแว่นกลมให้สอดรับกับดวงตาชั้นเดียวทรงหงส์ร้อง กำลังเพ่งมอง “ในห้องน้ำ”
ฉันยกบุหรี่ขึ้นสูบอีกรอบ “เมิงยังชอบกุอีกหรือ”
พายไม่ตอบ
“แล้วที่บ้านเมิงมีอะไรวะ”
“เค้ก”
“พาย เมิงบอกกุหน่อยดิบ้านเมิงมีอะไร”
“เค้ก”
“พาย”
“เค้ก!” เสียงของพี่รุตดังขึ้นตัดหน้าฉัน หน้าของพี่รุตหยุดอยู่ตรงหน้า
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าสูบบุหรี่ในห้องนอน” พี่รุตหยิบบุหรี่ที่ฉันคีบไว้ออกจากมือ ฉันได้สติจึงตกใจเล็กน้อย
“ขอโทษค่ะ” ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ฉันอยากบอกเขาแบบนั้น แต่ความผิดมันเกิดขึ้นแล้ว พี่รุตออกไปดับบุหรี่ข้างนอก เขานั่งอยู่ริมระเบียง ฉันเลยลุกออกไประเบียงบ้าง นั่งลงริมขอบระเบียง อากาศยังเย็นอยู่แม้ว่าแสงแดดจะเริ่มส่องลงมาบ้าง พี่รุตไม่ได้มองหน้าฉัน เขามองไปตรง ๆ เหม่อลอยกับสิ่งข้างหน้า แม้ฉันจะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้ทำให้เขาอึดอัดใจแค่ไหนก็ตาม ฉันเขยิบตัวเข้าไปใกล้ ๆ คว้ามือซ้ายของเขาไว้แนบกับแก้มฉัน เป็นอีกครั้งที่ฉันร้องไห้
“พี่ขอโทษนะเค้ก” ฉันส่ายหน้า
“พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” ฉันว่า “หนูผิดเอง”
"วันนี้หยุดงานใช่ไหม” พี่รุตหันมามองหน้าฉัน
“ค่ะ” ฉันพยักหน้า
“เดี๋ยวพี่ไปด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่” ฉันส่ายหน้า “พี่ไปทำงานเถอะ” เป็นหน้าที่ของฉันเอง ฉันอยากบอกอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูด
“ไม่เป็นไรเลย” พี่รุตย้ำอีกครั้ง “เค้กไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ สายแล้ว”
ฉันใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงทำธุระส่วนตัว ก่อนจะแต่งหน้าบาง ๆ และเลือกหยิบเสื้อผ้าง่าย ๆ อย่างเสื้อสีดำ กางเกงขายาวสีขาว ใส่คู่กับรองเท้าส้นสูง ฉีดน้ำหอมง่าย ๆ อย่างเบอร์เบอรี เฮอ ออ เดอ เพอฟูม สะพายกระเป๋าข้าง พี่รุตรออยู่ลอบบี้ข้างล่างแล้ว
แม้ว่ารถจะติดแค่ไหนแต่พี่รุตไม่เคยบ่น กว่าจะออกจากเขตเมืองจนถึงแปดริ้วได้ก็ใช้เวลาเกินชั่วโมง ฉันกับพายชอบทำบุญที่วัดนี้บ่อยเพราะวัดนี้เป็นวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน คนยังไม่พลุกพล่านอีกด้วย เธอชอบบรรยากาศที่นี่เช่นกัน เธอเคยบอกฉันว่าวัดนี้เงียบสงบและบรรยากาศริมแม่น้ำบางปะกงในตอนกลางวันก็สวยเหลือเกิน
ฉันเตรียมชุดสังฆทานมาจากห้องเรียบร้อยก่อนถวายแด่พระสงฆ์พร้อมกรวดน้ำ
“เค้ก เธอจะแวะบ้านไหม” พี่รุตถามหลังจากขับรถออกจากวัด บ้านเกิดของฉันอยู่ห่างจากวัดนี้แค่ห้ากิโลเมตร
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเพิ่งมาเมื่อเดือนที่แล้ว”
“’งั้นเดี๋ยวพี่พาไปกินข้าว”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้า จากนั้นพี่รุตพาฉันไปกินข้าวในอำเภอเมืองก่อนจะขับรถกลับแต่ฉันขอพี่รุตเดินเล่นที่ห้างก่อน ส่วนพี่รุตต้องไปทำธุระต่อ ฉันเดินห้างประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเรียกแท็กซี่กลับคอนโด ซื้ออาหารกลับมากินเองที่ห้อง ระหว่างทางที่นั่งรถ ฉันกลับคิดถึงพายอีกแล้ว คิดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ฉันพอจะนึกได้ เรื่องที่นาน ๆ ทีจะวนกลับมา หกปีแล้วที่ฉันจากเธอหรือเธอจากฉันกันแน่ ฉันไม่รู้แต่ก็ไม่ตัดสินใจว่าใครจะจากใคร เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสาม หากนับเวลาแล้ว เราเป็นเพื่อนกันมาแค่สองปี เวลานี้อาจดูเหมือนน้อย แต่สำหรับฉันแล้ว นั่นคือเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพายเหมือนเริ่มจากเศษอุกกาบาต เมื่อเริ่มพูดคุย ฉันก็สนิทใจกับเธอ เธอรวบรวมเศษอุกกาบาตนั้น สร้างโลกให้ฉันได้พักพิง แต่ไม่มีใครสร้างโลกอันสงบสุขโดยไม่เรียกร้องสิ่งใด เฉกเช่นสันติภาพที่เกิดขึ้นหลังผ่านพ้นความรุนแรง เธอชอบฉัน
ตอนเธอบอกแบบนั้น ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูก แม้ฉันจะรู้ว่าสิ่งที่เธอรู้สึกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ฉันเองที่รู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้จริง ๆ พอรู้ตัวอีกที ฉันก็พลั้งปากบอกปฏิเสธ
เธอไม่ได้บอกชอบฉันแค่ครั้งเดียว นับแต่ปีหนึ่งเทอมสอง เธอบอกชอบฉันประมาณสามรอบได้ แต่เธอก็พยายามไม่ล่วงละเมิดตัวฉัน แม้ว่าตัวเราจะอยู่ใกล้กัน
หลังสอบปลายภาคเสร็จ ฉัน พายและเพื่อนคนอื่น ๆ กินเหล้าที่ร้านตามปกติก่อนที่เราทั้งสองจะแยกตัวออกมากินเหล้ากันต่อที่ห้องของพายในเวลาตีสองกว่า ๆ พวกเราเมาได้ที่ หน้าแดง กลิ่นเหล้าออกเนื้อตัวปนกับกลิ่นบุหรี่ที่เราเพิ่งสูบหมดไปซองที่สี่ของคืนนี้ก่อนดวงตะวันจะฉายแสงในอีกสามชั่วโมงและก่อนที่พวกเราจะหมดสติเพราะฤทธิ์เหล้าจริง ๆ มันมาแล้ว ความรู้สึกที่กระทบในใจฉันที่ฉันจะต้องถามพายอย่างจริงจัง
“หยุดสองเดือนเมิงจะทำไรอ่ะ” ใบหน้าของพายดูประมวลผลกับคำถาม หลังของเธอพิงผนังห้อง สายตาของพายไม่จับจุดต่อสิ่งใด ใบหน้าของพายเชิดตรงไปยังตึกฝั่งตรงข้าม
“กุจะกลับไปนอนกับพี่รุต”
“เฮ้ย กุล้อเล่น” พายหัวเราะร่า เธอเอามือดันต้นแขนฉันที่นั่งข้าง ๆ “กุบอกแล้วไงว่ากุเลิกกับเค้าแล้ว กุไม่เหมือนเดิมแล้ว”
"กุยกพี่รุตให้ก็ได้นะ ถ้าต้องการ กุยอมยกให้คนเดียวเลย” พายพูดทีเล่นทีจริง
“ไร้สาระ” ฉันว่า “เมิงจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็เรื่องของ เมิงจะเลิกกับใครก็เรื่องของเมิง ตอนนี้พี่รุตก็แค่แฟนเก่าเมิง เค้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของเค้า เมิงกับเค้าก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว เค้าจะไปชอบใครเมิงก็บงการใครไม่ได้”
“แต่เมิงก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าชอบเค้า ใช่มั้ย” เมื่อฉันหันมาอีกที เธอก็คาบบุหรี่อยู่ในปากแล้ว
“เมิงเมาจริง ๆ แล้ว” ฉันว่า
“กุไม่ได้เมา เมื่อไหร่จะยอมรับสักทีว่าเมิงชอบเค้า”
“พาย!” ฉันตะโกนชื่อเธอดังลั่น
“อือ ๆ กุจบก็ได้” ประโยคนี้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในเวลานั้น ความรู้สึกในใจของฉันมันร้อนรุ่มจนอยากจะกระโดดให้หัวจมอยู่ในแม่น้ำ
“ไว้รอให้กุตายก่อนเมิงก็มาบอกกุก็ได้”
เราต่างคนต่างหันหน้าไปคนละด้าน ปล่อยให้ความร้อนของฤทธิ์แอลกอฮอล์ได้หลอมละลายทั้งกายและวิญญาณ พายพยุงตัวเองกลับเข้าไปในห้อง ไม่นานนัก ท่อนอินโทรของเพลง วู้ดสต็อค ก็เริ่มขึ้นผ่านลำโพงที่ต่อจากเครื่องคอม พายกลับมานั่งที่เดิมพร้อมบุหรี่มวนใหม่และเมื่อถึงท่อนฮุก พวกเราร้องด้วยกัน
(มีต่อ)