สามีเป็นหมอ ทิ้งเราไปตั้งแต่ลูกได้ 6 เดือน... ไปหาที่บ้านโดนพ่อแม่สามีไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ทำอย่างไรดีคะ....

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตออกตัวก่อนว่ายืมไอดีของรุ่นน้องมา เราและสามีจดทะเบียนกันถูกต้องตามกฏหมายนะคะและขออนุญาตระบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นและความทุกข์ใจทั้งหมดนะคะ...ดิฉันไปหาคุณหมอจิตแพทย์แล้วเรียบร้อยค่ะ แต่ตอนนี้สภาพจิตใจแย่มากและอยากได้รับความเห็นจากเพื่อนๆว่าควรทำอย่างไรดี
 
เรากับแฟนตกลงแต่งงานกัน หลังจากคบกัน 1 ปี ฝ่ายชายเป็นคนมาขอแต่งงาน และมีลูกกันหลังแต่งงานทันที (ไม่ได้พลาดท้อง) ด้วยความที่การทำงานและชีวิตของเราทั้งคู่ไปในทิศทางที่มั่นคงแล้ว แต่สุดท้าย พอลูกอายุได้ครบ 6 เดือน สามีก็ทิ้งไป บล็อกไลน์ บล็อกเฟส ลบไอจี โทรไม่รับ ไปหาที่บ้านก็โดนพ่อสามีไล่ออกมา ไม่ยอมให้เข้าบ้านแม้กระทั่งหลาน
 
ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปตอนที่รู้จักกันตั้งแต่เริ่ม เราทั้งคู่รู้จักกันผ่านทางเพื่อนค่ะ
เนื่องจากดิฉันเป็นเจ้าของกิจการและไม่ค่อยมีเวลาไปพบเจอใคร (เราค่อนข้างโปรไฟล์ดีค่ะ หน้าตาดี มีฐานะ ขับรถยุโรป)  และแฟน(คุณหมอ)ก็เพิ่งเข้ามากรุงเทพฯไม่นาน เขาเป็นคนติดเหล้ามาก และ เรียนต่อไม่จบ..จึงต้องใช้เส้นย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อขอทุนเรียนต่ออีกครั้ง
 
วันแรกที่แฟนทักมาทางไลน์ก็ชวนไปทานข้าวแต่เราก็ไม่ได้ไปเพราะติดงานเขาทำที่ท่าเหมือนมาทานข้าวแถวบ้านเราทั้งที่อยู่ห่างกันคนละมุมของกรุงเทพฯ เราเลยใจอ่อนค่ะ
 
หลังจากที่ได้เจอกัน ทุกวันหลังจากแฟนออกเวรก็จะรีบขับรถมารอเราหน้าบริษัททุกวัน..พาไปทานข้าว ดูหนัง 
ตอนแรกๆก็เลี้ยง แค่ประมาณ 2 อาทิตย์ จนมีอยู่วันนึงเขาด่าเราว่า เขาไม่เคยเลี้ยงผู้หญิง ไม่เคยเจอผู้หญิงนิสัยแบบนี้เลย 
เราเลยตกลงกับเขาว่าเราจะหารกับเขาตลอด จะได้ไม่เป็นปัญหากันค่ะ
ตอนนั้นเวลาเขาเจอเพื่อนเรา เขาก็จะบอกว่า เขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้..คนนี้คือแม่ของลูก
ตอนนั้นเป็นเหมือนฝันเลยค่ะ แฟนออกเวรเสร็จก็ขับรถมารับไปทานข้าว ดูหนัง แล้วก็ขับรถมาส่งทุกวัน
บางวันที่เราอยากไปดื่ม เขาก็จะไปดื่มด้วยและขับรถมาส่งเราแบบนี้ทุกครั้ง (ตอนนั้นเราก็ดื่มพอตัว เลยรู้สึกว่าเรา 2 คน เข้ากันได้ ไลฟ์สไตล์เหมือนกันเพราะเขาเองก็ดื่ม)
 
จนพอเริ่มรู้จักกันมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าดื่มเหล้ากันทุกวัน บางวันที่เขาขับรถกลับไม่ไหวเราก็เรียก U drink I drive ไปส่งเขา บางวันก็จองโรงแรม 5 ดาวให้เขานอนคืนละหลักหมื่น ซึ่งเราเป็นคนจ่ายให้ (ที่เล่าตรงนี้เพราะเขารู้สึกว่าเรารวยค่ะ เรามารู้ทีหลังตอนเขาโกรธแล้วพูดว่า เราไปหลอกเขา) 
 
จนวันนึงเราตกลงเป็นแฟนกัน และเราตกลงกับสามีตั้งแต่ก่อนหมั้นว่า ..เรามีคุณแม่ที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก (คุณพ่อหย่ากับคุณแม่ตอนเราอยู่ประถมค่ะ) ดังนั้นเราจึงต้องขอให้สามีย้ายเข้าบ้านเรา และเงินที่สามีหาได้ ให้เราเป็นคนเก็บและเราจะเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งตัวสามีตอบตกลงและหลังจากนั้นเขาก็มาขอเราหมั้น.. วันนั้นคุณแม่สามีพูดกับเราว่า ลูกเขายังเด็กอยู่เลย...เราก็รู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ หลังจากนั้นสามีก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเรา 
 
มันมีเหตุการณ์หนึ่งก่อนที่เราจะอยู่ด้วยกัน
สามีอยู่หอที่โรงพยาบาล สามีจะมาบ่นให้ฟังเสมอว่า ทะเลาะกับพยาบาล ทะเลาะกับเภสัชบ้าง คนนั้นกวน...เขา คนนั้นมีปัญหาอย่างนู้นอย่างนี้  ไม่อยากทำงานอยู่ที่นี้เลย.. 
เราเลยเสนอให้เขาย้ายมาทำโรงพยาบาลแถวบ้านเราและย้ายเข้ามาอยู่บ้านเราเลย พอสามีย้ายมาก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิมกับที่ทำงานใหม่ และเขาก็มักจะดื่มเหล้าสูบบุหรี่ตอนกลางคืนกับเราทุกคืน (ตอนนั้นคือคุณแม่เราสปอยมาก เอาบัตรเครดิตให้เขาไปรูดซื้อไวน์ ซื้อเหล้าเวลาเขาอยากดื่ม ดื่มไวน์ทุกวัน ตกเดือนละ 60,000+) 
 
พอตอนเช้าสามีเราก็จะตื่นไปทำงานไม่ไหว ไปสายจน ผอ.ที่โรงพยาบาลเรียกคุย หักเงินเดือน
เรายอมรับว่าเราก็ผิดเองที่ก็ดื่มกับเขาไปด้วย กลายเป็นทั้งคู่เหลวเลยค่ะคือ เราก็ไปทำงานสาย สามีก็ไปโรงพยาบาล 10:00-12:00 น. ทั้งที่จริงๆต้องเข้า 8:00-9:00 น.
เป็นอย่างนี้นานๆเข้า คุณแม่เราก็เริ่มด่าสิคะ ..เริ่มว่า เริ่มบ่น ว่าทำไมไม่เลิกกินเหล้าแล้วไปทำงาน จนวันนึงคุณแม่เราก็โมโหโทรไปเล่าให้พ่อแม่สามีฟัง..คุณพ่อคุณแม่สามีก็ดูเหมือนจะเข้าใจนะคะ เขาบอกว่าเขาจะบอกลูกชายเขาให้.. (แต่ตอนที่เราไปอยู่ที่บ้านสามีตอนเราท้อง แม่สามีด่าคุณแม่เราว่า ชอบโทรไปด่าลูกชายเขา..ใครจะไปชอบใครคนโทรมาด่าลูกตัวเอง ลูกเขาผิดอะไรนักหนาหรอ..เขาไม่อยากจะคุยเลย)
 
เข้าเรื่องต่อนะคะ แหะๆลากออกนอกทะเลเลย
สามีเราก็มีปัญหาเวลาไปทำงานทุกวันก็จะมานั่งเล่าให้คุณแม่เราฟัง.. จนวันหนึ่งคุณแม่เราเลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวคุณแม่จะส่งไปเรียน สกิน..แล้วเปิดคลินิกเสริมความงามให้ สามีจะได้ตื่นสายได้ไม่ต้องไปโดนกดดันที่โรงพยาบาล 
แล้วให้เราออกไปทำมาหากินกับสามี
 
ตอนนั้นคุณแม่เราจะส่งให้สามีไปเรียนสกิน 1 คอร์สก่อน ตกคอร์สละ  80,000-100,000 บาท
แต่สามีก็ไม่ยอมค่ะ บอกจะเรียนให้ครบเลย คุณแม่เราก็ถามแล้วถามอีกว่า ลองก่อนมั้ย ถ้าไม่ชอบก็จะได้ไม่ต้องทำต่อ แต่สามีเราก็ยืนยันค่ะ คุณแม่เราเลยส่งให้เรียน ตอนนั้นส่งสามีเรียน หมดไปเกือบล้านค่ะ
พอเรียนจบคุณแม่เราก็ไปลงทุนเปิดคลินิกให้ ค่าที่แพงมากๆ เป็นที่ทำเลดี ติดถนนใหญ่ย่านคนรวยค่ะ
ลงทุนไป 7 หลักค่ะ 
ซึ่งช่วงนั้นจ่ายมัดจำค่าเช่าที่ไปแล้ว (เป็นที่ที่สามีเราอยากได้ ตอนนั้นเราตามสามีหมดเลยค่ะ)
 
แต่สุดท้ายสามีเราบอกว่าทำไมไม่ให้เขาไปทำคลินิกอื่นก่อนเพื่อหาประสบการณ์ ซึ่งเราก็บอกว่าเขาทำได้นะ เขาแค่ไม่มั่นใจในตัวเอง (มันกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เขาด่าเราทุกวันค่ะหลังจากเหตุการณ์นี้ เพราะว่าเราไม่เชื่อที่เขาตัดสินใจ)
ช่วงนั้นสามีเราก็กลับบ้านไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่สามีฟังค่ะ...เราไม่รู้ว่าเล่าอะไร
แต่คุณแม่สามีโทรมาบอกว่า หาหมอแทนได้เลยนะคะ ไม่ให้หมอไปทำแล้ว เขายังไม่มีประสบการณ์นะคะ
ตอนนั้นคุณแม่เราก็เลยโมโหว่า ทำไมถึงปัดความรับผิดชอบแบบนี้.. คุณแม่ถามหมอแล้วว่าจะทำคลินิกมั้ย? หมอก็บอกว่าจะทำ... ตามใจหมดทุกอย่าง
 
ตอนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเลยค่ะ จนสุดท้ายคุณแม่เลยให้ฝั่งสามีช่วยลงทุนมาประมาณ 20% ค่ะ
 
ขอเล่าในช่วงเวลาที่เราอยู่กับสามีที่บ้านของคุณแม่เราค่ะ
หลังจากที่สามีเราและเราเริ่มดื่มไวน์กันจนเมา ไม่ไปทำงาน เละเทะ คุณแม่เราก็เริ่มด่าทุกวันค่ะ ด่าเช้า ด่าเย็น บางทีก็โทรไปหาคุณแม่สามี ด่าสามีให้คุณแม่เขาฟังว่าขี้เหล้านะ นู้นนี้นั้น ทะเลาะอะไรกันก็จะโทรไปเล่า
 ..ตอนนั้นเราเข้าข้างสามีค่ะ ว่าทำไมคุณแม่ด่าเขาตลอดเลย..ทะเลาะกันทุกวัน จนพอแต่งงานเราก็ท้องค่ะ หลังจากเราท้องคุณแม่เราก็ยังบ่นเหมือนเดิมค่ะ จนเราท้องได้ 4 เดือนทะเลาะกันหนักมากและเราปกป้องสามีค่ะ 
เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านสามี (ตอนนั้นเปิดคลินิกแล้วค่ะ)
 
ในช่วงเวลาที่เราย้ายไปบ้านสามี 
คุณแม่สามีจะพูดกับเราเสมอว่า เขาอยากให้ลูกไปทำงานราชการนะ ไม่อยากให้เปิดคลินิก อนาคตลูกเขายังอีกไกล 
และช่วงโควิท สามีก็ไม่ไปทำงานที่โรงพยาบาลเลย 1 เดือนเต็มๆ (ซึ่งปกติเขาก็จะรับอาทิตย์ละ 3-5 วัน)
 ทั้งทีเราเห็นกรุ๊ปไลน์หมอว่ามีงานเข้ามาตลอดแต่สามีเราไม่รับ บอกว่ามันรับไม่ทัน บางทีก็บอกว่าไม่มีงาน
แต่เราก็ไม่ได้ว่าเขานะคะ เราก็อยู่แบบนั้นไป ดูซีรีย์ ทำกับข้าวทานกับสามี (ช่วงโควิทพอดีคลินิกปิดทำการค่ะ)
 
และพอเข้าเดือนที่ 2 ที่อยู่บ้านสามี 
เราเริ่มเครียดค่ะ คลินิกปิด..เงินไม่มี..สามีไม่ไปทำงาน..แล้วจะเอาเงินจากไหนคลอดลูก .. ค่าเสื้อผ้าลูกอีก นู้นนี้นั้น
(อาจจะเป็นเพราะเราท้องด้วยค่ะ ความกังวลมันมีมากๆๆ สามีก็ไม่ให้คำตอบเป็นเดือนค่ะ จนเขาคงทนความกดดันจากเราไม่ไหว เขาก็ไปขอคุณพ่อคุณแม่ให้ซัพพอร์ทตรงนี้ค่ะ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เราก็พูดเสมอว่าเราควรทำงานเอง หาเงินกันเอง)
 
 
ตลอดระยะเวลาที่อยู่บ้านสามี เราก็จะทะเลาะกันเป็นธรรมดาของแฟนกันค่ะ เรื่องเล็กๆน้อยๆ งอนบ้างน้อยใจบ้าง
แต่ทุกครั้ง สามีเราก็จะไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ..บางทีทะเลาะกัน 4-5 ทุ่ม สามีก็ขึ้นไปปลุกคุณพ่อคุณแม่มาแล้วก็บอกว่าเราเป็นคนผิด พูดแบบนั้นแบบนี้...ซึ่งแรกๆเราก็บอกสามีค่ะว่า ไม่ควรจะไปบอกคุณพ่อคุณแม่นะคะ..เพราะเป็นเรื่องของเราสองคน เราทะเลาะกันเราก็เคลียร์กันได้ แต่ถ้าเธอไปบอกคุณพ่อคุณแม่เธอ ท่านก็จะมองเราไม่ดีนะคะ
แต่แล้วมันก็ไม่เป็นผลค่ะ ทุกครั้งทีทะเลาะกัน สามีก็จะทำแบบเดิมทุกครั้ง บางทีก็ใส่ร้ายเราเหมือนจะให้เราผิดค่ะ ซึ่งเราก็ยอมไม่เถียงค่ะ อยู่เฉยๆแล้วก็ขอโทษเขาค่ะ 
 
จนวันที่เราคลอดลูก
สามีเราดีมากๆมาคอยดูตอนเราคลอด นอนเฝ้าไม่ห่างไปไหน พอกลับมาบ้านสามี สามีก็ลงไปนอนกับลูกเลยค่ะ ปล่อยให้เราปั๊มนมทุก 3 ชม. ทำอย่างเดียว เราไม่ต้องทำอะไรเลย ประมาณ 1 เดือนค่ะ หลังจากนั้นก็ดูลูกเต็มตัว
และช่วงเย็นแม่สามีจะมาเอาลูกเราไปช่วยเลี้ยงค่ะ + กับ คุณแม่เราก็จะเทียวมาช่วยเลี้ยงบางวันค่ะ
ตอนนั้นลูกเราได้ 1 เดือนก็มีปัญหาเกิดขึ้นค่ะ
คือเรากังวลมาก แม่สามีจะทำนู้นทำนี้คือเป็นความเชื่อของคนเถ้าคนแก่นะคะ ซึ่งบางอย่างมันไม่ถูกหลัก เราก็จะรีบไปบอกสามีค่ะว่า อันนั้นไม่ได้นะ อันนั้นบอกคุณแม่เธอด้วยว่าทำไม่ได้ คือสามีเราไม่เคยพูดอะไรเลยค่ะทั้งๆที่เป็นหมอ แล้วรู้ว่าสิ่งที่คุณแม่สามีทำมันไม่ควรจะทำกับเด็กอายุแรกเกิด
 
กลายเป็นช่วงเดือนที่ 2 สามีเราเริ่มพูดกับแม่สามีว่า “เนี้ยทะเลาะกันอีกละนะเพราะแม่อ่ะ แฟนผมบอกอย่าทำแบบนี้”
หลังจากนั้นเราก็โดนเลยค่ะ ..ชีวิตเหมือนละครหลังข่าว ฮือๆๆ เราก็อดทนค่ะ
 
....เมื่อถึงจุดแตกหักกับคุณแม่สามี....
ตอนนั้นลูกเรายัง 2-3 เดือนค่ะ คุณแม่สามีชอบปลุกลูกเราให้ตื่นตลอด เพราะเพื่อนคุณแม่เยอะมากๆ 
จนวันนึงเราจะไปทำงานกับสามี แต่ลูกยังไม่ได้อาบน้ำค่ะ เราก็บอกสามีว่า ถ้าลูกหลับอยู่ไม่ต้องปลุกนะคะ สามีก็เข้าไปในห้องแล้วก็ออกมาบอกเราว่าลูกหลับอยู่ สักพัก..คุณแม่สามีก็อุ้มลูกเราออกมาค่ะ 
เราก็เลยแอบบอกกับสามี อารมณ์งอนนางค่ะว่า เค้าบอกแล้วไม่ให้ปลุก ..แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ 
สามีหันไปบอกคุณแม่สามีว่า “ทะเลาะกันเลยก็บอกแล้วว่าไม่ให้ปลุก” เท่านั้นละจ้าาาาาา
คุณแม่สามีหันมาด่าเราใหญ่เลยค่ะ “แม่ก็อยากตามใจลูกแม่..จะอะไรนักหนา แม่ก็ต้องปลุกมั้ยก็ลูกแม่บอกจะอาบน้ำ”
สามีเราก็หันมาใส่เรายับเลยค่ะ เหตุการณ์นั้นเราก็เล่าให้คุณแม่เราฟัง แล้วเราก็คุยกับสามีดีๆว่าเราขอย้ายกลับบ้านเรานะคะ สามีก็เลยยอมย้ายมาค่ะ
 
เมื่อเราย้ายกลับมาอยู่บ้านเราอีกครั้ง....
จากทุนเดิมที่สามีเราเกลียดคุณแม่เรา..กลับมาครั้งนี้บรรยากาศก็อึมครึมค่ะ
แต่ทุกคนอยู่กันด้วยอาจจะเพราะเด็กชายน่ารักตัวน้อยๆที่ออกมาเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้ยิ้ม
จนมีอยู่วันนึง เราไปทำงานที่คลินิกกับสามีค่ะไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่บ่ายจนเกือบ 4 ทุ่มแล้วเราต้องปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมงอีก มาถึงบ้านเราก็ไปล้างขวดนมค่ะเพราะไม่อยากให้สามีเหนื่อย ออกมาจากห้องน้ำคือสามีนั่งทานข้าวอิ่มคนเดียวสบายใจ
เราก็เลยโมโหค่ะ ก็ทะเลาะกันแล้วมันมีฉากที่เรากำลังจะเดินออกจากห้องแล้วคุณแม่เราเห็น เขาก็เข้าไปจับแขนสามีค่ะ 
แล้วถามว่าทำไมทำยังงี้ สามีก็ผลักแบบดันให้หลุดนะคะ แต่คุณแม่เรากระเดนกระแทกเตียงเลย..
หลังจากนั้นก็คุณแม่ก็เลยต่อยสามีไปค่ะ (นิสัยคุณแม่เราเป็นคนห้าวมากๆค่ะ) 
เราก็เข้าไปดันสามีเพราะสามีตัวสูง 180+ กลัวเขาทำร้ายคุณแม่เรา
จนตอนนั้นก็แบบเรื่องใหญ่โตเลยค่ะ เราก็เลยบอกให้สามีเรากลับบ้านไปก่อน ขอให้คุณแม่เราใจเย็นก่อนเพราะสิ่งที่เธอทำมันก็ไม่ถูก (แต่ทุกวันนี้เขาก็ด่าเราว่าเราไม่ปกป้องเขาค่ะ)

>>>มีต่อนะคะ<<
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ยังไม่อ่านตอนต่อไป ขอตอบเลยแล้วกันว่ามีสามีเป็นลูกแหง่
ไม่เอาไหนอย่างนี้อย่าให้มาเป็นพ่อของลูกคุณเลยครับ

ถึงขนาดลูกไม่เอา ปู่ย่าไม่เอา ทำเรื่องหย่าให้เรียบร้อย
จ้างทนายให้ลูกอยู่ในความปกครองของคุณแต่ผู้เดียว
ไม่ต้องไแเรียกร้องอะไรกับคนแบบนี้หรอกครับ

คุณก็ตัดอกตัดใจทำตัวให้เป็นคุณแม่ที่สตรอง
พร้อมเลี้ยงลูกให้ดีนะครับ
ความคิดเห็นที่ 9
สามีกะหลั่วๆแบบนี้ ดีแล้วที่มันทิ้งไป ปล่อยไปเลย
อย่าไปตามง้อตามมันกลับมาให้มาเป็นภาระแม่คุณอีก
ที่แม่ช่วยส่งเรียน เปิดคลีนิคให้ เพราะแม่รักคุณ รู้ไม๊คะ
กลัวลูกเขยกะหลั่ว จะพาลูกสาวไปลำบาก
เงินก็ให้ บ้านก็ให้อยู่ แล้วดูสามีคุณ รวมถึงตัวคุณด้วย ตอบแทนแม่สิ

อย่าให้คำว่า "หมอ" มาบังตา หมอก็คนธรรมดา มีดีมีเลว
ผู้ชายคนนี้ลางไม่ดีตั้งแต่ก่อนแต่งแล้ว ทั้งดื่มเหล้าหนัก ตื่นสายไม่เอาการเอางาน
ใช้เงินเมียเป็นเบี้ยแบบนั้น แต่ๆๆ จขกท ก็ยังหน้ามืดตามัว ไปคว้ามาเป็น ผ. จนได้
โอ้ยยย คุณหาเงินได้เยอะขนาดนอน รร. คืนละหมื่นได้ขนาดนั้น ทำไมๆๆ ไม่หาผู้ชายดีๆคะ หรือถ้ามันไม่มี ผช ก็อยู่โสดสวยๆ ใช้เงินซื้อความสุขไปยังจะดีกว่า เอาคนแบบนั้นมาทำ ผ.
เป็นภาระแม่ เป็นภาระชีวิตเข้าไปอีก

เอาเถอะ .. ก็ผ่านมาจนมีลูกกันแล้ว ตอนนี้ก็ตาสว่างได้แล้วค่ะ
ถ้ามันทิ้งไปก็ปล่อยเลย บุญนักหนาแล้วที่มันไปเอง ไม่ต้องไล่
ทำบุญบ้านเลยค่ะ เสริมสิริมงคล
แล้วจากนี้ จขกท ก็กลับมาทำงานหาเงินเลี้ยงลูกเอง สวยๆเถอะค่ะ
ความคิดเห็นที่ 43
ไม่เชื่อครับ

ไม่เชื่อตั้งแต่ประโยคที่ว่ายืมล้อกอินคนอื่นมาแล้ว
ความคิดเห็นที่ 17
อ่านแค่ช่วงแรกๆก็คิดเลยว่า ก็ศีลเสมอกันทั้งคู่อะ แทนที่รุ้ว่าอีกฝ่ายต้องทำงานแต่เช้าก็ชวนกันดื่มหนักจนเหลวเป๋วทั้งคู่ ผู้ชายก็ลูกแหง่โดนสปอยเต็มที่ มาเจอบ้านเจ้าของกะทู้สปอยหนักอีก ต้องทุ่มอะไรเบอร์นันคะ

เจ้าของกะทู้ลองย้อนกลับไปอ่านที่ตัวเองพิมพ์นะคะ อ่านวนหลายๆรอบว่าสิ่งที่คุณพิมพ์มาคุณยังโอเคกับมันจริงๆเหรอ บ้านเจ้าของกะทู้ก็มีฐานะ เด็กคนเดียวเราว่าเลี้ยงได้ไม่ลำบากเลย อย่าต้องเลี้ยงเด็กโข่งไม่รู้จักโตอีกคนเลยค่ะ อันนี้อะลำบากแน่

พ่อเด็กไม่ได้มีวุฒิภาวะ​อะไรเลย จะเอาอะไรไปสอนลูก แค่รับผิดชอบตัวเองให้ตื่นไปทำงานยังไม่ได้เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่