สวัสดีค่ะ ขออนุญาตออกตัวก่อนว่ายืมไอดีของรุ่นน้องมา เราและสามีจดทะเบียนกันถูกต้องตามกฏหมายนะคะและขออนุญาตระบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นและความทุกข์ใจทั้งหมดนะคะ...ดิฉันไปหาคุณหมอจิตแพทย์แล้วเรียบร้อยค่ะ แต่ตอนนี้สภาพจิตใจแย่มากและอยากได้รับความเห็นจากเพื่อนๆว่าควรทำอย่างไรดี
เรากับแฟนตกลงแต่งงานกัน หลังจากคบกัน 1 ปี ฝ่ายชายเป็นคนมาขอแต่งงาน และมีลูกกันหลังแต่งงานทันที (ไม่ได้พลาดท้อง) ด้วยความที่การทำงานและชีวิตของเราทั้งคู่ไปในทิศทางที่มั่นคงแล้ว แต่สุดท้าย พอลูกอายุได้ครบ 6 เดือน สามีก็ทิ้งไป บล็อกไลน์ บล็อกเฟส ลบไอจี โทรไม่รับ ไปหาที่บ้านก็โดนพ่อสามีไล่ออกมา ไม่ยอมให้เข้าบ้านแม้กระทั่งหลาน
ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปตอนที่รู้จักกันตั้งแต่เริ่ม เราทั้งคู่รู้จักกันผ่านทางเพื่อนค่ะ
เนื่องจากดิฉันเป็นเจ้าของกิจการและไม่ค่อยมีเวลาไปพบเจอใคร (เราค่อนข้างโปรไฟล์ดีค่ะ หน้าตาดี มีฐานะ ขับรถยุโรป) และแฟน(คุณหมอ)ก็เพิ่งเข้ามากรุงเทพฯไม่นาน เขาเป็นคนติดเหล้ามาก และ เรียนต่อไม่จบ..จึงต้องใช้เส้นย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อขอทุนเรียนต่ออีกครั้ง
วันแรกที่แฟนทักมาทางไลน์ก็ชวนไปทานข้าวแต่เราก็ไม่ได้ไปเพราะติดงานเขาทำที่ท่าเหมือนมาทานข้าวแถวบ้านเราทั้งที่อยู่ห่างกันคนละมุมของกรุงเทพฯ เราเลยใจอ่อนค่ะ
หลังจากที่ได้เจอกัน ทุกวันหลังจากแฟนออกเวรก็จะรีบขับรถมารอเราหน้าบริษัททุกวัน..พาไปทานข้าว ดูหนัง
ตอนแรกๆก็เลี้ยง แค่ประมาณ 2 อาทิตย์ จนมีอยู่วันนึงเขาด่าเราว่า เขาไม่เคยเลี้ยงผู้หญิง ไม่เคยเจอผู้หญิงนิสัยแบบนี้เลย
เราเลยตกลงกับเขาว่าเราจะหารกับเขาตลอด จะได้ไม่เป็นปัญหากันค่ะ
ตอนนั้นเวลาเขาเจอเพื่อนเรา เขาก็จะบอกว่า เขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้..คนนี้คือแม่ของลูก
ตอนนั้นเป็นเหมือนฝันเลยค่ะ แฟนออกเวรเสร็จก็ขับรถมารับไปทานข้าว ดูหนัง แล้วก็ขับรถมาส่งทุกวัน
บางวันที่เราอยากไปดื่ม เขาก็จะไปดื่มด้วยและขับรถมาส่งเราแบบนี้ทุกครั้ง (ตอนนั้นเราก็ดื่มพอตัว เลยรู้สึกว่าเรา 2 คน เข้ากันได้ ไลฟ์สไตล์เหมือนกันเพราะเขาเองก็ดื่ม)
จนพอเริ่มรู้จักกันมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าดื่มเหล้ากันทุกวัน บางวันที่เขาขับรถกลับไม่ไหวเราก็เรียก U drink I drive ไปส่งเขา บางวันก็จองโรงแรม 5 ดาวให้เขานอนคืนละหลักหมื่น ซึ่งเราเป็นคนจ่ายให้ (ที่เล่าตรงนี้เพราะเขารู้สึกว่าเรารวยค่ะ เรามารู้ทีหลังตอนเขาโกรธแล้วพูดว่า เราไปหลอกเขา)
จนวันนึงเราตกลงเป็นแฟนกัน และเราตกลงกับสามีตั้งแต่ก่อนหมั้นว่า ..เรามีคุณแม่ที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก (คุณพ่อหย่ากับคุณแม่ตอนเราอยู่ประถมค่ะ) ดังนั้นเราจึงต้องขอให้สามีย้ายเข้าบ้านเรา และเงินที่สามีหาได้ ให้เราเป็นคนเก็บและเราจะเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งตัวสามีตอบตกลงและหลังจากนั้นเขาก็มาขอเราหมั้น.. วันนั้นคุณแม่สามีพูดกับเราว่า ลูกเขายังเด็กอยู่เลย...เราก็รู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ หลังจากนั้นสามีก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเรา
มันมีเหตุการณ์หนึ่งก่อนที่เราจะอยู่ด้วยกัน
สามีอยู่หอที่โรงพยาบาล สามีจะมาบ่นให้ฟังเสมอว่า ทะเลาะกับพยาบาล ทะเลาะกับเภสัชบ้าง คนนั้นกวน...เขา คนนั้นมีปัญหาอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่อยากทำงานอยู่ที่นี้เลย..
เราเลยเสนอให้เขาย้ายมาทำโรงพยาบาลแถวบ้านเราและย้ายเข้ามาอยู่บ้านเราเลย พอสามีย้ายมาก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิมกับที่ทำงานใหม่ และเขาก็มักจะดื่มเหล้าสูบบุหรี่ตอนกลางคืนกับเราทุกคืน (ตอนนั้นคือคุณแม่เราสปอยมาก เอาบัตรเครดิตให้เขาไปรูดซื้อไวน์ ซื้อเหล้าเวลาเขาอยากดื่ม ดื่มไวน์ทุกวัน ตกเดือนละ 60,000+)
พอตอนเช้าสามีเราก็จะตื่นไปทำงานไม่ไหว ไปสายจน ผอ.ที่โรงพยาบาลเรียกคุย หักเงินเดือน
เรายอมรับว่าเราก็ผิดเองที่ก็ดื่มกับเขาไปด้วย กลายเป็นทั้งคู่เหลวเลยค่ะคือ เราก็ไปทำงานสาย สามีก็ไปโรงพยาบาล 10:00-12:00 น. ทั้งที่จริงๆต้องเข้า 8:00-9:00 น.
เป็นอย่างนี้นานๆเข้า คุณแม่เราก็เริ่มด่าสิคะ ..เริ่มว่า เริ่มบ่น ว่าทำไมไม่เลิกกินเหล้าแล้วไปทำงาน จนวันนึงคุณแม่เราก็โมโหโทรไปเล่าให้พ่อแม่สามีฟัง..คุณพ่อคุณแม่สามีก็ดูเหมือนจะเข้าใจนะคะ เขาบอกว่าเขาจะบอกลูกชายเขาให้.. (แต่ตอนที่เราไปอยู่ที่บ้านสามีตอนเราท้อง แม่สามีด่าคุณแม่เราว่า ชอบโทรไปด่าลูกชายเขา..ใครจะไปชอบใครคนโทรมาด่าลูกตัวเอง ลูกเขาผิดอะไรนักหนาหรอ..เขาไม่อยากจะคุยเลย)
เข้าเรื่องต่อนะคะ แหะๆลากออกนอกทะเลเลย
สามีเราก็มีปัญหาเวลาไปทำงานทุกวันก็จะมานั่งเล่าให้คุณแม่เราฟัง.. จนวันหนึ่งคุณแม่เราเลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวคุณแม่จะส่งไปเรียน สกิน..แล้วเปิดคลินิกเสริมความงามให้ สามีจะได้ตื่นสายได้ไม่ต้องไปโดนกดดันที่โรงพยาบาล
แล้วให้เราออกไปทำมาหากินกับสามี
ตอนนั้นคุณแม่เราจะส่งให้สามีไปเรียนสกิน 1 คอร์สก่อน ตกคอร์สละ 80,000-100,000 บาท
แต่สามีก็ไม่ยอมค่ะ บอกจะเรียนให้ครบเลย คุณแม่เราก็ถามแล้วถามอีกว่า ลองก่อนมั้ย ถ้าไม่ชอบก็จะได้ไม่ต้องทำต่อ แต่สามีเราก็ยืนยันค่ะ คุณแม่เราเลยส่งให้เรียน ตอนนั้นส่งสามีเรียน หมดไปเกือบล้านค่ะ
พอเรียนจบคุณแม่เราก็ไปลงทุนเปิดคลินิกให้ ค่าที่แพงมากๆ เป็นที่ทำเลดี ติดถนนใหญ่ย่านคนรวยค่ะ
ลงทุนไป 7 หลักค่ะ
ซึ่งช่วงนั้นจ่ายมัดจำค่าเช่าที่ไปแล้ว (เป็นที่ที่สามีเราอยากได้ ตอนนั้นเราตามสามีหมดเลยค่ะ)
แต่สุดท้ายสามีเราบอกว่าทำไมไม่ให้เขาไปทำคลินิกอื่นก่อนเพื่อหาประสบการณ์ ซึ่งเราก็บอกว่าเขาทำได้นะ เขาแค่ไม่มั่นใจในตัวเอง (มันกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เขาด่าเราทุกวันค่ะหลังจากเหตุการณ์นี้ เพราะว่าเราไม่เชื่อที่เขาตัดสินใจ)
ช่วงนั้นสามีเราก็กลับบ้านไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่สามีฟังค่ะ...เราไม่รู้ว่าเล่าอะไร
แต่คุณแม่สามีโทรมาบอกว่า หาหมอแทนได้เลยนะคะ ไม่ให้หมอไปทำแล้ว เขายังไม่มีประสบการณ์นะคะ
ตอนนั้นคุณแม่เราก็เลยโมโหว่า ทำไมถึงปัดความรับผิดชอบแบบนี้.. คุณแม่ถามหมอแล้วว่าจะทำคลินิกมั้ย? หมอก็บอกว่าจะทำ... ตามใจหมดทุกอย่าง
ตอนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเลยค่ะ จนสุดท้ายคุณแม่เลยให้ฝั่งสามีช่วยลงทุนมาประมาณ 20% ค่ะ
ขอเล่าในช่วงเวลาที่เราอยู่กับสามีที่บ้านของคุณแม่เราค่ะ
หลังจากที่สามีเราและเราเริ่มดื่มไวน์กันจนเมา ไม่ไปทำงาน เละเทะ คุณแม่เราก็เริ่มด่าทุกวันค่ะ ด่าเช้า ด่าเย็น บางทีก็โทรไปหาคุณแม่สามี ด่าสามีให้คุณแม่เขาฟังว่าขี้เหล้านะ นู้นนี้นั้น ทะเลาะอะไรกันก็จะโทรไปเล่า
..ตอนนั้นเราเข้าข้างสามีค่ะ ว่าทำไมคุณแม่ด่าเขาตลอดเลย..ทะเลาะกันทุกวัน จนพอแต่งงานเราก็ท้องค่ะ หลังจากเราท้องคุณแม่เราก็ยังบ่นเหมือนเดิมค่ะ จนเราท้องได้ 4 เดือนทะเลาะกันหนักมากและเราปกป้องสามีค่ะ
เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านสามี (ตอนนั้นเปิดคลินิกแล้วค่ะ)
ในช่วงเวลาที่เราย้ายไปบ้านสามี
คุณแม่สามีจะพูดกับเราเสมอว่า เขาอยากให้ลูกไปทำงานราชการนะ ไม่อยากให้เปิดคลินิก อนาคตลูกเขายังอีกไกล
และช่วงโควิท สามีก็ไม่ไปทำงานที่โรงพยาบาลเลย 1 เดือนเต็มๆ (ซึ่งปกติเขาก็จะรับอาทิตย์ละ 3-5 วัน)
ทั้งทีเราเห็นกรุ๊ปไลน์หมอว่ามีงานเข้ามาตลอดแต่สามีเราไม่รับ บอกว่ามันรับไม่ทัน บางทีก็บอกว่าไม่มีงาน
แต่เราก็ไม่ได้ว่าเขานะคะ เราก็อยู่แบบนั้นไป ดูซีรีย์ ทำกับข้าวทานกับสามี (ช่วงโควิทพอดีคลินิกปิดทำการค่ะ)
และพอเข้าเดือนที่ 2 ที่อยู่บ้านสามี
เราเริ่มเครียดค่ะ คลินิกปิด..เงินไม่มี..สามีไม่ไปทำงาน..แล้วจะเอาเงินจากไหนคลอดลูก .. ค่าเสื้อผ้าลูกอีก นู้นนี้นั้น
(อาจจะเป็นเพราะเราท้องด้วยค่ะ ความกังวลมันมีมากๆๆ สามีก็ไม่ให้คำตอบเป็นเดือนค่ะ จนเขาคงทนความกดดันจากเราไม่ไหว เขาก็ไปขอคุณพ่อคุณแม่ให้ซัพพอร์ทตรงนี้ค่ะ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เราก็พูดเสมอว่าเราควรทำงานเอง หาเงินกันเอง)
ตลอดระยะเวลาที่อยู่บ้านสามี เราก็จะทะเลาะกันเป็นธรรมดาของแฟนกันค่ะ เรื่องเล็กๆน้อยๆ งอนบ้างน้อยใจบ้าง
แต่ทุกครั้ง สามีเราก็จะไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ..บางทีทะเลาะกัน 4-5 ทุ่ม สามีก็ขึ้นไปปลุกคุณพ่อคุณแม่มาแล้วก็บอกว่าเราเป็นคนผิด พูดแบบนั้นแบบนี้...ซึ่งแรกๆเราก็บอกสามีค่ะว่า ไม่ควรจะไปบอกคุณพ่อคุณแม่นะคะ..เพราะเป็นเรื่องของเราสองคน เราทะเลาะกันเราก็เคลียร์กันได้ แต่ถ้าเธอไปบอกคุณพ่อคุณแม่เธอ ท่านก็จะมองเราไม่ดีนะคะ
แต่แล้วมันก็ไม่เป็นผลค่ะ ทุกครั้งทีทะเลาะกัน สามีก็จะทำแบบเดิมทุกครั้ง บางทีก็ใส่ร้ายเราเหมือนจะให้เราผิดค่ะ ซึ่งเราก็ยอมไม่เถียงค่ะ อยู่เฉยๆแล้วก็ขอโทษเขาค่ะ
จนวันที่เราคลอดลูก
สามีเราดีมากๆมาคอยดูตอนเราคลอด นอนเฝ้าไม่ห่างไปไหน พอกลับมาบ้านสามี สามีก็ลงไปนอนกับลูกเลยค่ะ ปล่อยให้เราปั๊มนมทุก 3 ชม. ทำอย่างเดียว เราไม่ต้องทำอะไรเลย ประมาณ 1 เดือนค่ะ หลังจากนั้นก็ดูลูกเต็มตัว
และช่วงเย็นแม่สามีจะมาเอาลูกเราไปช่วยเลี้ยงค่ะ + กับ คุณแม่เราก็จะเทียวมาช่วยเลี้ยงบางวันค่ะ
ตอนนั้นลูกเราได้ 1 เดือนก็มีปัญหาเกิดขึ้นค่ะ
คือเรากังวลมาก แม่สามีจะทำนู้นทำนี้คือเป็นความเชื่อของคนเถ้าคนแก่นะคะ ซึ่งบางอย่างมันไม่ถูกหลัก เราก็จะรีบไปบอกสามีค่ะว่า อันนั้นไม่ได้นะ อันนั้นบอกคุณแม่เธอด้วยว่าทำไม่ได้ คือสามีเราไม่เคยพูดอะไรเลยค่ะทั้งๆที่เป็นหมอ แล้วรู้ว่าสิ่งที่คุณแม่สามีทำมันไม่ควรจะทำกับเด็กอายุแรกเกิด
กลายเป็นช่วงเดือนที่ 2 สามีเราเริ่มพูดกับแม่สามีว่า “เนี้ยทะเลาะกันอีกละนะเพราะแม่อ่ะ แฟนผมบอกอย่าทำแบบนี้”
หลังจากนั้นเราก็โดนเลยค่ะ ..ชีวิตเหมือนละครหลังข่าว ฮือๆๆ เราก็อดทนค่ะ
....เมื่อถึงจุดแตกหักกับคุณแม่สามี....
ตอนนั้นลูกเรายัง 2-3 เดือนค่ะ คุณแม่สามีชอบปลุกลูกเราให้ตื่นตลอด เพราะเพื่อนคุณแม่เยอะมากๆ
จนวันนึงเราจะไปทำงานกับสามี แต่ลูกยังไม่ได้อาบน้ำค่ะ เราก็บอกสามีว่า ถ้าลูกหลับอยู่ไม่ต้องปลุกนะคะ สามีก็เข้าไปในห้องแล้วก็ออกมาบอกเราว่าลูกหลับอยู่ สักพัก..คุณแม่สามีก็อุ้มลูกเราออกมาค่ะ
เราก็เลยแอบบอกกับสามี อารมณ์งอนนางค่ะว่า เค้าบอกแล้วไม่ให้ปลุก ..แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ
สามีหันไปบอกคุณแม่สามีว่า “ทะเลาะกันเลยก็บอกแล้วว่าไม่ให้ปลุก” เท่านั้นละจ้าาาาาา
คุณแม่สามีหันมาด่าเราใหญ่เลยค่ะ “แม่ก็อยากตามใจลูกแม่..จะอะไรนักหนา แม่ก็ต้องปลุกมั้ยก็ลูกแม่บอกจะอาบน้ำ”
สามีเราก็หันมาใส่เรายับเลยค่ะ เหตุการณ์นั้นเราก็เล่าให้คุณแม่เราฟัง แล้วเราก็คุยกับสามีดีๆว่าเราขอย้ายกลับบ้านเรานะคะ สามีก็เลยยอมย้ายมาค่ะ
เมื่อเราย้ายกลับมาอยู่บ้านเราอีกครั้ง....
จากทุนเดิมที่สามีเราเกลียดคุณแม่เรา..กลับมาครั้งนี้บรรยากาศก็อึมครึมค่ะ
แต่ทุกคนอยู่กันด้วยอาจจะเพราะเด็กชายน่ารักตัวน้อยๆที่ออกมาเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้ยิ้ม
จนมีอยู่วันนึง เราไปทำงานที่คลินิกกับสามีค่ะไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่บ่ายจนเกือบ 4 ทุ่มแล้วเราต้องปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมงอีก มาถึงบ้านเราก็ไปล้างขวดนมค่ะเพราะไม่อยากให้สามีเหนื่อย ออกมาจากห้องน้ำคือสามีนั่งทานข้าวอิ่มคนเดียวสบายใจ
เราก็เลยโมโหค่ะ ก็ทะเลาะกันแล้วมันมีฉากที่เรากำลังจะเดินออกจากห้องแล้วคุณแม่เราเห็น เขาก็เข้าไปจับแขนสามีค่ะ
แล้วถามว่าทำไมทำยังงี้ สามีก็ผลักแบบดันให้หลุดนะคะ แต่คุณแม่เรากระเดนกระแทกเตียงเลย..
หลังจากนั้นก็คุณแม่ก็เลยต่อยสามีไปค่ะ (นิสัยคุณแม่เราเป็นคนห้าวมากๆค่ะ)
เราก็เข้าไปดันสามีเพราะสามีตัวสูง 180+ กลัวเขาทำร้ายคุณแม่เรา
จนตอนนั้นก็แบบเรื่องใหญ่โตเลยค่ะ เราก็เลยบอกให้สามีเรากลับบ้านไปก่อน ขอให้คุณแม่เราใจเย็นก่อนเพราะสิ่งที่เธอทำมันก็ไม่ถูก (แต่ทุกวันนี้เขาก็ด่าเราว่าเราไม่ปกป้องเขาค่ะ)
>>>มีต่อนะคะ<<
สามีเป็นหมอ ทิ้งเราไปตั้งแต่ลูกได้ 6 เดือน... ไปหาที่บ้านโดนพ่อแม่สามีไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ทำอย่างไรดีคะ....
เรากับแฟนตกลงแต่งงานกัน หลังจากคบกัน 1 ปี ฝ่ายชายเป็นคนมาขอแต่งงาน และมีลูกกันหลังแต่งงานทันที (ไม่ได้พลาดท้อง) ด้วยความที่การทำงานและชีวิตของเราทั้งคู่ไปในทิศทางที่มั่นคงแล้ว แต่สุดท้าย พอลูกอายุได้ครบ 6 เดือน สามีก็ทิ้งไป บล็อกไลน์ บล็อกเฟส ลบไอจี โทรไม่รับ ไปหาที่บ้านก็โดนพ่อสามีไล่ออกมา ไม่ยอมให้เข้าบ้านแม้กระทั่งหลาน
ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปตอนที่รู้จักกันตั้งแต่เริ่ม เราทั้งคู่รู้จักกันผ่านทางเพื่อนค่ะ
เนื่องจากดิฉันเป็นเจ้าของกิจการและไม่ค่อยมีเวลาไปพบเจอใคร (เราค่อนข้างโปรไฟล์ดีค่ะ หน้าตาดี มีฐานะ ขับรถยุโรป) และแฟน(คุณหมอ)ก็เพิ่งเข้ามากรุงเทพฯไม่นาน เขาเป็นคนติดเหล้ามาก และ เรียนต่อไม่จบ..จึงต้องใช้เส้นย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อขอทุนเรียนต่ออีกครั้ง
วันแรกที่แฟนทักมาทางไลน์ก็ชวนไปทานข้าวแต่เราก็ไม่ได้ไปเพราะติดงานเขาทำที่ท่าเหมือนมาทานข้าวแถวบ้านเราทั้งที่อยู่ห่างกันคนละมุมของกรุงเทพฯ เราเลยใจอ่อนค่ะ
หลังจากที่ได้เจอกัน ทุกวันหลังจากแฟนออกเวรก็จะรีบขับรถมารอเราหน้าบริษัททุกวัน..พาไปทานข้าว ดูหนัง
ตอนแรกๆก็เลี้ยง แค่ประมาณ 2 อาทิตย์ จนมีอยู่วันนึงเขาด่าเราว่า เขาไม่เคยเลี้ยงผู้หญิง ไม่เคยเจอผู้หญิงนิสัยแบบนี้เลย
เราเลยตกลงกับเขาว่าเราจะหารกับเขาตลอด จะได้ไม่เป็นปัญหากันค่ะ
ตอนนั้นเวลาเขาเจอเพื่อนเรา เขาก็จะบอกว่า เขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้..คนนี้คือแม่ของลูก
ตอนนั้นเป็นเหมือนฝันเลยค่ะ แฟนออกเวรเสร็จก็ขับรถมารับไปทานข้าว ดูหนัง แล้วก็ขับรถมาส่งทุกวัน
บางวันที่เราอยากไปดื่ม เขาก็จะไปดื่มด้วยและขับรถมาส่งเราแบบนี้ทุกครั้ง (ตอนนั้นเราก็ดื่มพอตัว เลยรู้สึกว่าเรา 2 คน เข้ากันได้ ไลฟ์สไตล์เหมือนกันเพราะเขาเองก็ดื่ม)
จนพอเริ่มรู้จักกันมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าดื่มเหล้ากันทุกวัน บางวันที่เขาขับรถกลับไม่ไหวเราก็เรียก U drink I drive ไปส่งเขา บางวันก็จองโรงแรม 5 ดาวให้เขานอนคืนละหลักหมื่น ซึ่งเราเป็นคนจ่ายให้ (ที่เล่าตรงนี้เพราะเขารู้สึกว่าเรารวยค่ะ เรามารู้ทีหลังตอนเขาโกรธแล้วพูดว่า เราไปหลอกเขา)
จนวันนึงเราตกลงเป็นแฟนกัน และเราตกลงกับสามีตั้งแต่ก่อนหมั้นว่า ..เรามีคุณแม่ที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก (คุณพ่อหย่ากับคุณแม่ตอนเราอยู่ประถมค่ะ) ดังนั้นเราจึงต้องขอให้สามีย้ายเข้าบ้านเรา และเงินที่สามีหาได้ ให้เราเป็นคนเก็บและเราจะเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งตัวสามีตอบตกลงและหลังจากนั้นเขาก็มาขอเราหมั้น.. วันนั้นคุณแม่สามีพูดกับเราว่า ลูกเขายังเด็กอยู่เลย...เราก็รู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ หลังจากนั้นสามีก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเรา
มันมีเหตุการณ์หนึ่งก่อนที่เราจะอยู่ด้วยกัน
สามีอยู่หอที่โรงพยาบาล สามีจะมาบ่นให้ฟังเสมอว่า ทะเลาะกับพยาบาล ทะเลาะกับเภสัชบ้าง คนนั้นกวน...เขา คนนั้นมีปัญหาอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่อยากทำงานอยู่ที่นี้เลย..
เราเลยเสนอให้เขาย้ายมาทำโรงพยาบาลแถวบ้านเราและย้ายเข้ามาอยู่บ้านเราเลย พอสามีย้ายมาก็ยังมีปัญหาเหมือนเดิมกับที่ทำงานใหม่ และเขาก็มักจะดื่มเหล้าสูบบุหรี่ตอนกลางคืนกับเราทุกคืน (ตอนนั้นคือคุณแม่เราสปอยมาก เอาบัตรเครดิตให้เขาไปรูดซื้อไวน์ ซื้อเหล้าเวลาเขาอยากดื่ม ดื่มไวน์ทุกวัน ตกเดือนละ 60,000+)
พอตอนเช้าสามีเราก็จะตื่นไปทำงานไม่ไหว ไปสายจน ผอ.ที่โรงพยาบาลเรียกคุย หักเงินเดือน
เรายอมรับว่าเราก็ผิดเองที่ก็ดื่มกับเขาไปด้วย กลายเป็นทั้งคู่เหลวเลยค่ะคือ เราก็ไปทำงานสาย สามีก็ไปโรงพยาบาล 10:00-12:00 น. ทั้งที่จริงๆต้องเข้า 8:00-9:00 น.
เป็นอย่างนี้นานๆเข้า คุณแม่เราก็เริ่มด่าสิคะ ..เริ่มว่า เริ่มบ่น ว่าทำไมไม่เลิกกินเหล้าแล้วไปทำงาน จนวันนึงคุณแม่เราก็โมโหโทรไปเล่าให้พ่อแม่สามีฟัง..คุณพ่อคุณแม่สามีก็ดูเหมือนจะเข้าใจนะคะ เขาบอกว่าเขาจะบอกลูกชายเขาให้.. (แต่ตอนที่เราไปอยู่ที่บ้านสามีตอนเราท้อง แม่สามีด่าคุณแม่เราว่า ชอบโทรไปด่าลูกชายเขา..ใครจะไปชอบใครคนโทรมาด่าลูกตัวเอง ลูกเขาผิดอะไรนักหนาหรอ..เขาไม่อยากจะคุยเลย)
เข้าเรื่องต่อนะคะ แหะๆลากออกนอกทะเลเลย
สามีเราก็มีปัญหาเวลาไปทำงานทุกวันก็จะมานั่งเล่าให้คุณแม่เราฟัง.. จนวันหนึ่งคุณแม่เราเลยบอกว่า งั้นเดี๋ยวคุณแม่จะส่งไปเรียน สกิน..แล้วเปิดคลินิกเสริมความงามให้ สามีจะได้ตื่นสายได้ไม่ต้องไปโดนกดดันที่โรงพยาบาล
แล้วให้เราออกไปทำมาหากินกับสามี
ตอนนั้นคุณแม่เราจะส่งให้สามีไปเรียนสกิน 1 คอร์สก่อน ตกคอร์สละ 80,000-100,000 บาท
แต่สามีก็ไม่ยอมค่ะ บอกจะเรียนให้ครบเลย คุณแม่เราก็ถามแล้วถามอีกว่า ลองก่อนมั้ย ถ้าไม่ชอบก็จะได้ไม่ต้องทำต่อ แต่สามีเราก็ยืนยันค่ะ คุณแม่เราเลยส่งให้เรียน ตอนนั้นส่งสามีเรียน หมดไปเกือบล้านค่ะ
พอเรียนจบคุณแม่เราก็ไปลงทุนเปิดคลินิกให้ ค่าที่แพงมากๆ เป็นที่ทำเลดี ติดถนนใหญ่ย่านคนรวยค่ะ
ลงทุนไป 7 หลักค่ะ
ซึ่งช่วงนั้นจ่ายมัดจำค่าเช่าที่ไปแล้ว (เป็นที่ที่สามีเราอยากได้ ตอนนั้นเราตามสามีหมดเลยค่ะ)
แต่สุดท้ายสามีเราบอกว่าทำไมไม่ให้เขาไปทำคลินิกอื่นก่อนเพื่อหาประสบการณ์ ซึ่งเราก็บอกว่าเขาทำได้นะ เขาแค่ไม่มั่นใจในตัวเอง (มันกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เขาด่าเราทุกวันค่ะหลังจากเหตุการณ์นี้ เพราะว่าเราไม่เชื่อที่เขาตัดสินใจ)
ช่วงนั้นสามีเราก็กลับบ้านไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่สามีฟังค่ะ...เราไม่รู้ว่าเล่าอะไร
แต่คุณแม่สามีโทรมาบอกว่า หาหมอแทนได้เลยนะคะ ไม่ให้หมอไปทำแล้ว เขายังไม่มีประสบการณ์นะคะ
ตอนนั้นคุณแม่เราก็เลยโมโหว่า ทำไมถึงปัดความรับผิดชอบแบบนี้.. คุณแม่ถามหมอแล้วว่าจะทำคลินิกมั้ย? หมอก็บอกว่าจะทำ... ตามใจหมดทุกอย่าง
ตอนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเลยค่ะ จนสุดท้ายคุณแม่เลยให้ฝั่งสามีช่วยลงทุนมาประมาณ 20% ค่ะ
ขอเล่าในช่วงเวลาที่เราอยู่กับสามีที่บ้านของคุณแม่เราค่ะ
หลังจากที่สามีเราและเราเริ่มดื่มไวน์กันจนเมา ไม่ไปทำงาน เละเทะ คุณแม่เราก็เริ่มด่าทุกวันค่ะ ด่าเช้า ด่าเย็น บางทีก็โทรไปหาคุณแม่สามี ด่าสามีให้คุณแม่เขาฟังว่าขี้เหล้านะ นู้นนี้นั้น ทะเลาะอะไรกันก็จะโทรไปเล่า
..ตอนนั้นเราเข้าข้างสามีค่ะ ว่าทำไมคุณแม่ด่าเขาตลอดเลย..ทะเลาะกันทุกวัน จนพอแต่งงานเราก็ท้องค่ะ หลังจากเราท้องคุณแม่เราก็ยังบ่นเหมือนเดิมค่ะ จนเราท้องได้ 4 เดือนทะเลาะกันหนักมากและเราปกป้องสามีค่ะ
เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านสามี (ตอนนั้นเปิดคลินิกแล้วค่ะ)
ในช่วงเวลาที่เราย้ายไปบ้านสามี
คุณแม่สามีจะพูดกับเราเสมอว่า เขาอยากให้ลูกไปทำงานราชการนะ ไม่อยากให้เปิดคลินิก อนาคตลูกเขายังอีกไกล
และช่วงโควิท สามีก็ไม่ไปทำงานที่โรงพยาบาลเลย 1 เดือนเต็มๆ (ซึ่งปกติเขาก็จะรับอาทิตย์ละ 3-5 วัน)
ทั้งทีเราเห็นกรุ๊ปไลน์หมอว่ามีงานเข้ามาตลอดแต่สามีเราไม่รับ บอกว่ามันรับไม่ทัน บางทีก็บอกว่าไม่มีงาน
แต่เราก็ไม่ได้ว่าเขานะคะ เราก็อยู่แบบนั้นไป ดูซีรีย์ ทำกับข้าวทานกับสามี (ช่วงโควิทพอดีคลินิกปิดทำการค่ะ)
และพอเข้าเดือนที่ 2 ที่อยู่บ้านสามี
เราเริ่มเครียดค่ะ คลินิกปิด..เงินไม่มี..สามีไม่ไปทำงาน..แล้วจะเอาเงินจากไหนคลอดลูก .. ค่าเสื้อผ้าลูกอีก นู้นนี้นั้น
(อาจจะเป็นเพราะเราท้องด้วยค่ะ ความกังวลมันมีมากๆๆ สามีก็ไม่ให้คำตอบเป็นเดือนค่ะ จนเขาคงทนความกดดันจากเราไม่ไหว เขาก็ไปขอคุณพ่อคุณแม่ให้ซัพพอร์ทตรงนี้ค่ะ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่เราก็พูดเสมอว่าเราควรทำงานเอง หาเงินกันเอง)
ตลอดระยะเวลาที่อยู่บ้านสามี เราก็จะทะเลาะกันเป็นธรรมดาของแฟนกันค่ะ เรื่องเล็กๆน้อยๆ งอนบ้างน้อยใจบ้าง
แต่ทุกครั้ง สามีเราก็จะไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ..บางทีทะเลาะกัน 4-5 ทุ่ม สามีก็ขึ้นไปปลุกคุณพ่อคุณแม่มาแล้วก็บอกว่าเราเป็นคนผิด พูดแบบนั้นแบบนี้...ซึ่งแรกๆเราก็บอกสามีค่ะว่า ไม่ควรจะไปบอกคุณพ่อคุณแม่นะคะ..เพราะเป็นเรื่องของเราสองคน เราทะเลาะกันเราก็เคลียร์กันได้ แต่ถ้าเธอไปบอกคุณพ่อคุณแม่เธอ ท่านก็จะมองเราไม่ดีนะคะ
แต่แล้วมันก็ไม่เป็นผลค่ะ ทุกครั้งทีทะเลาะกัน สามีก็จะทำแบบเดิมทุกครั้ง บางทีก็ใส่ร้ายเราเหมือนจะให้เราผิดค่ะ ซึ่งเราก็ยอมไม่เถียงค่ะ อยู่เฉยๆแล้วก็ขอโทษเขาค่ะ
จนวันที่เราคลอดลูก
สามีเราดีมากๆมาคอยดูตอนเราคลอด นอนเฝ้าไม่ห่างไปไหน พอกลับมาบ้านสามี สามีก็ลงไปนอนกับลูกเลยค่ะ ปล่อยให้เราปั๊มนมทุก 3 ชม. ทำอย่างเดียว เราไม่ต้องทำอะไรเลย ประมาณ 1 เดือนค่ะ หลังจากนั้นก็ดูลูกเต็มตัว
และช่วงเย็นแม่สามีจะมาเอาลูกเราไปช่วยเลี้ยงค่ะ + กับ คุณแม่เราก็จะเทียวมาช่วยเลี้ยงบางวันค่ะ
ตอนนั้นลูกเราได้ 1 เดือนก็มีปัญหาเกิดขึ้นค่ะ
คือเรากังวลมาก แม่สามีจะทำนู้นทำนี้คือเป็นความเชื่อของคนเถ้าคนแก่นะคะ ซึ่งบางอย่างมันไม่ถูกหลัก เราก็จะรีบไปบอกสามีค่ะว่า อันนั้นไม่ได้นะ อันนั้นบอกคุณแม่เธอด้วยว่าทำไม่ได้ คือสามีเราไม่เคยพูดอะไรเลยค่ะทั้งๆที่เป็นหมอ แล้วรู้ว่าสิ่งที่คุณแม่สามีทำมันไม่ควรจะทำกับเด็กอายุแรกเกิด
กลายเป็นช่วงเดือนที่ 2 สามีเราเริ่มพูดกับแม่สามีว่า “เนี้ยทะเลาะกันอีกละนะเพราะแม่อ่ะ แฟนผมบอกอย่าทำแบบนี้”
หลังจากนั้นเราก็โดนเลยค่ะ ..ชีวิตเหมือนละครหลังข่าว ฮือๆๆ เราก็อดทนค่ะ
....เมื่อถึงจุดแตกหักกับคุณแม่สามี....
ตอนนั้นลูกเรายัง 2-3 เดือนค่ะ คุณแม่สามีชอบปลุกลูกเราให้ตื่นตลอด เพราะเพื่อนคุณแม่เยอะมากๆ
จนวันนึงเราจะไปทำงานกับสามี แต่ลูกยังไม่ได้อาบน้ำค่ะ เราก็บอกสามีว่า ถ้าลูกหลับอยู่ไม่ต้องปลุกนะคะ สามีก็เข้าไปในห้องแล้วก็ออกมาบอกเราว่าลูกหลับอยู่ สักพัก..คุณแม่สามีก็อุ้มลูกเราออกมาค่ะ
เราก็เลยแอบบอกกับสามี อารมณ์งอนนางค่ะว่า เค้าบอกแล้วไม่ให้ปลุก ..แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ
สามีหันไปบอกคุณแม่สามีว่า “ทะเลาะกันเลยก็บอกแล้วว่าไม่ให้ปลุก” เท่านั้นละจ้าาาาาา
คุณแม่สามีหันมาด่าเราใหญ่เลยค่ะ “แม่ก็อยากตามใจลูกแม่..จะอะไรนักหนา แม่ก็ต้องปลุกมั้ยก็ลูกแม่บอกจะอาบน้ำ”
สามีเราก็หันมาใส่เรายับเลยค่ะ เหตุการณ์นั้นเราก็เล่าให้คุณแม่เราฟัง แล้วเราก็คุยกับสามีดีๆว่าเราขอย้ายกลับบ้านเรานะคะ สามีก็เลยยอมย้ายมาค่ะ
เมื่อเราย้ายกลับมาอยู่บ้านเราอีกครั้ง....
จากทุนเดิมที่สามีเราเกลียดคุณแม่เรา..กลับมาครั้งนี้บรรยากาศก็อึมครึมค่ะ
แต่ทุกคนอยู่กันด้วยอาจจะเพราะเด็กชายน่ารักตัวน้อยๆที่ออกมาเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้ยิ้ม
จนมีอยู่วันนึง เราไปทำงานที่คลินิกกับสามีค่ะไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่บ่ายจนเกือบ 4 ทุ่มแล้วเราต้องปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมงอีก มาถึงบ้านเราก็ไปล้างขวดนมค่ะเพราะไม่อยากให้สามีเหนื่อย ออกมาจากห้องน้ำคือสามีนั่งทานข้าวอิ่มคนเดียวสบายใจ
เราก็เลยโมโหค่ะ ก็ทะเลาะกันแล้วมันมีฉากที่เรากำลังจะเดินออกจากห้องแล้วคุณแม่เราเห็น เขาก็เข้าไปจับแขนสามีค่ะ
แล้วถามว่าทำไมทำยังงี้ สามีก็ผลักแบบดันให้หลุดนะคะ แต่คุณแม่เรากระเดนกระแทกเตียงเลย..
หลังจากนั้นก็คุณแม่ก็เลยต่อยสามีไปค่ะ (นิสัยคุณแม่เราเป็นคนห้าวมากๆค่ะ)
เราก็เข้าไปดันสามีเพราะสามีตัวสูง 180+ กลัวเขาทำร้ายคุณแม่เรา
จนตอนนั้นก็แบบเรื่องใหญ่โตเลยค่ะ เราก็เลยบอกให้สามีเรากลับบ้านไปก่อน ขอให้คุณแม่เราใจเย็นก่อนเพราะสิ่งที่เธอทำมันก็ไม่ถูก (แต่ทุกวันนี้เขาก็ด่าเราว่าเราไม่ปกป้องเขาค่ะ)
>>>มีต่อนะคะ<<