เพชรพนมรุ้ง เกียรติหมู่9 กล่าวว่า
“ จุดเปลี่ยนที่มาชกคิกบอกซิ่ง มีอยู่วันหนึ่งหัวหน้าค่าย (สุดใจ ปุ่มประโคน) บอกว่า ค่ายศิษย์สองพี่น้อง เขาอยากหานักมวยไทยถนัดซ้าย ไปชกต่างประเทศ ศึก Glory Kickboxing ผมก็สนใจ อยากลองไปชกดู เพราะเงินดีด้วย ผมได้ค่าตัวไฟต์แรก 180,000 บาท แต่คิดว่าคงไปเป็นครั้งคราว ไม่ได้คิดว่าจะมาจริงจังเหมือนตอนนี้ เพราะผมอายุยังน้อย สามารถชกมวยไทยได้อีกหลายปี ”
“ คิกบอกซิ่ง มันเหมือนการนำเอากีฬาต่อสู้หลายๆ ชนิดมารวมกัน แต่ห้ามใช้ศอก, ห้ามใช้เหลี่ยมมวยไทย เช่น จับขา ปัดขา จับล็อกไล่แขน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัด (หัวเราะ) ก็ต้องมาปรับวิธีการฝึกซ้อมใหม่หมดให้ออกอาวุธเร็วขึ้น ขยับอยู่ตลอดเวลา ออกอาวุธแล้วต้องพลิกตัวซ้ายขวา ”
“ มันต่างกับมวยไทยเลยนะ เพราะอย่างมวยไทย เราพอจะรู้ว่านักมวยแต่ละคน ชกแบบไหน เก่งลูกไหน เหลี่ยมมวยเป็นอย่างไร แต่ฝรั่งเราคาดเดาอะไรแทบไม่ได้เลย เราจะไม่รู้เลยว่า เขาจะออกอาวุธประมาณไหน บางทีเขาเตะ Back Kick (ลูกเตะกลับหลัง) หรือตีลังกาเอาเท้าฟาด เราก็ต้องมีไหวพริบ และดูให้ออกว่าเขาจะมาไม้ไหน เพราะนักสู้แต่ละคน ก็มีลูกเล่นที่ต่างกัน”
“ อย่างการฝึกซ้อม ก็ต้องปรับเปลี่ยนสไตล์ เพราะวิธีการเอาชนะคู่แข่งต่างกัน ถ้าเป็น มวยไทย กรรมการจะดูตามอาการ ทรงมวย บรรยากาศหน้าเสื่อ แต่คิกบอกซิ่ง เขาดูตามอาวุธที่ออก มีคะแนนขึ้นทุกยก ทำให้ผมมีปัญหาเรื่องการปรับตัว เวลากลับมาชกมวยไทย ผลงานจึงไม่ค่อยดี แพ้ 2 ไฟต์ ”
“ แต่กับคิกบอกซิ่ง ผมชกไปได้ 4 ไฟต์ ชนะติดๆกัน ก็ได้ขึ้นมาชิงเข็มขัดไฟต์ที่ 5 กับ โรบิน ฟาน รูสมาเลน (Robin Van Roosmalen) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ค่าตัวผมก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 แสน 3 แสน 4 แสนบาท ผมจึงตัดสินใจมาชกคิกบอกซิ่งเต็มตัว เพราะต้องการทำผลงานออกให้ดีที่สุด ”
“ ผมคิดว่าตัวเองต้องเรียนรู้ใหม่ เพื่อชกคิกบอกซิ่งประมาณ 50 เปอร์เซนต์ แต่อีกครึ่งหนึ่งผมนำเอาวิชามวยไทยมาปรับใช้ได้ อย่างเช่น เรื่องการป้องกัน”
“ ฝรั่งเขาจะเก่งเรื่องการออกหมัด ดังนั้นเวลาใช้หมัด ผมจะต่อยแล้วบล็อก ต่อยแล้วปิดการ์ด ไม่เปิดหน้าแลกกับเขา เช่นเดียวกับตอนเตะ ถ้าเขาเตะมา ผมใช้แข้งบังโดยอัตโนมัติ แต่ฝรั่งเขายกแข้งบังไม่เป็นแบบนักมวยไทย ผมจึงเน้นมาเตะขามากขึ้น จากเดิมที่นักมวยไทย จะเน้นเตะลำตัวโดยธรรมชาติ”
“ อีกอย่างการชกมวยไทยมาก่อน ทำให้ผมมีกระดูกมวยที่แข็งกว่าฝรั่ง เวลาออกอาวุธจะหนักแน่นกว่า สามารถเอาตัวรอดได้ดีกว่าฝรั่ง เพราะนักมวยไทยมีประสบการณ์ในการขึ้นชกมากกว่าฝรั่ง และนักมวยไทยก็เก็บอาการเก่ง เวลาโดนจะไม่ค่อยแสดงอาการ แต่ฝรั่งเวลาเขาโดน เขาจะไม่เก็บอาการเลย ถ้าเราเก็บอาการได้ คู่ต่อสู้ก็จะไม่รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ”
“ สิ่งสำคัญคือเราต้องศึกษากติกาให้ละเอียดว่า เราสามารถทำอะไรได้บ้าง ? รวมถึงต้องศึกษาศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆด้วย อย่างตัวผมก็ศึกษากีฬาต่อสู้อื่นๆ ประมาณ 10 ชนิดกีฬา เช่น คาราเต้, เทควันโดฯ เพื่อจะได้เข้าใจสไตล์คู่ชก”
“ สมัยผมไปต่อยคิกบอกซิ่งครั้งแรกๆ ผมรู้สึกเหนื่อยหมดแรงตั้งแต่ยก 3 (ชกรอบปกติ 3 ยก, ชกชิงแชมป์ 5 ยก) เพราะต้องคอยออกอาวุธและเคลื่อนที่ตลอดเวลา แต่พอเรามีประสบการณ์ ช่วงหลังผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อย เรารู้แล้วว่าควรเร่งหรือผ่อนจังหวะไหน เรานิ่งขึ้น ”
“ เราไม่ได้กดดันตัวเองเหมือนตอนแรกๆ เพราะรายการนี้ ห้ามแพ้เลย ถ้าแพ้แทบไม่มีโอกาสขึ้นชิง ต้องชนะติดๆกันหลายไฟต์ แต่เรารับมือกับความกดดันได้ ไม่ได้สนใจเสียงโห่ในสนาม พยายามตั้งใจทำผลงานออกมาดี ก็เอาชนะคู่แข่งมาได้เรื่อยๆ จนมีโอกาสขึ้นชิงเข็มขัดแชมป์โลกอีกครั้ง ”
“ ครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นชิงแชมป์โลก วันนั้นผมแพ้ เพราะยังชกได้ไม่ชัดเจน ช่วงที่ผมเริ่มชกคิกบอกซิ่ง ผมถูกกรรมการเตือนบ่อยมาก ถึงขั้นตัดคะแนน เรื่องการกอด คิกบอกซิ่งสำหรับผมในตอนนั้น จึงถือเป็นอะไรที่ยาก แต่พอผ่านได้มาสัก 2 ปี ผมคิดว่าตัวเองปรับตัวเข้ากับมันได้แล้ว”
“ คิกบอกซิ่งเป็นกีฬาที่เปิดโลกผม ทำให้รู้จักหลายๆชนิดกีฬา และได้ไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต อย่างไฟต์ที่ผมชิงแชมป์เฉพาะกาล ผมชิงกับคนอเมริกาในบ้านเขา แต่หลังจบไฟต์ คนอเมริกาลุกขึ้นปรบมือให้เราทั้งสนาม เพราะเขาชอบเรา ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจมาก ”
“ เดี๋ยวนี้นักมวยไทยก็เริ่มออกไปชกต่างประเทศเยอะขึ้น อย่างรายการ ONE Championship ที่มีการเซ็นสัญญานักมวยไทยหลายคนไปต่อยคิกบอกซิง ก็อยากให้คนไทยเปิดใจมองว่า คิกบอกซิ่ง เป็นกีฬาทางเลือกหนึ่งที่สร้างรายได้ให้นักมวยไทยได้ดี หากนักมวยไทย คิดจะเอาดีทางนี้ ผมว่าสิ่งสำคัญควรต้องศึกษากติกาอย่างละเอียด รวมถึงสไตล์ของคู่ชก เพื่อเตรียมรับมือ ”
คัดลอกเนื้อหา จาก
จากประโคนชัยถึงแมดิสันสแควร์ : บันทึกแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่งชาวไทย "เพชรพนมรุ้ง"
การได้รับรู้มุมมองของนักมวย ที่มีประสบการณ์จริง ทำให้ท่านผู้ชมได้ความรู้ใหม่ๆที่น่าสนใจ ในโลกแห่งกีฬาต่อสู้
คิกบอกซิ่ง ในมุมมองของ เพชรพนมรุ้ง นักมวยไทยแชมป์คิกบ็อกซิ่ง GLORY
“ จุดเปลี่ยนที่มาชกคิกบอกซิ่ง มีอยู่วันหนึ่งหัวหน้าค่าย (สุดใจ ปุ่มประโคน) บอกว่า ค่ายศิษย์สองพี่น้อง เขาอยากหานักมวยไทยถนัดซ้าย ไปชกต่างประเทศ ศึก Glory Kickboxing ผมก็สนใจ อยากลองไปชกดู เพราะเงินดีด้วย ผมได้ค่าตัวไฟต์แรก 180,000 บาท แต่คิดว่าคงไปเป็นครั้งคราว ไม่ได้คิดว่าจะมาจริงจังเหมือนตอนนี้ เพราะผมอายุยังน้อย สามารถชกมวยไทยได้อีกหลายปี ”
“ คิกบอกซิ่ง มันเหมือนการนำเอากีฬาต่อสู้หลายๆ ชนิดมารวมกัน แต่ห้ามใช้ศอก, ห้ามใช้เหลี่ยมมวยไทย เช่น จับขา ปัดขา จับล็อกไล่แขน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัด (หัวเราะ) ก็ต้องมาปรับวิธีการฝึกซ้อมใหม่หมดให้ออกอาวุธเร็วขึ้น ขยับอยู่ตลอดเวลา ออกอาวุธแล้วต้องพลิกตัวซ้ายขวา ”
“ มันต่างกับมวยไทยเลยนะ เพราะอย่างมวยไทย เราพอจะรู้ว่านักมวยแต่ละคน ชกแบบไหน เก่งลูกไหน เหลี่ยมมวยเป็นอย่างไร แต่ฝรั่งเราคาดเดาอะไรแทบไม่ได้เลย เราจะไม่รู้เลยว่า เขาจะออกอาวุธประมาณไหน บางทีเขาเตะ Back Kick (ลูกเตะกลับหลัง) หรือตีลังกาเอาเท้าฟาด เราก็ต้องมีไหวพริบ และดูให้ออกว่าเขาจะมาไม้ไหน เพราะนักสู้แต่ละคน ก็มีลูกเล่นที่ต่างกัน”
“ อย่างการฝึกซ้อม ก็ต้องปรับเปลี่ยนสไตล์ เพราะวิธีการเอาชนะคู่แข่งต่างกัน ถ้าเป็น มวยไทย กรรมการจะดูตามอาการ ทรงมวย บรรยากาศหน้าเสื่อ แต่คิกบอกซิ่ง เขาดูตามอาวุธที่ออก มีคะแนนขึ้นทุกยก ทำให้ผมมีปัญหาเรื่องการปรับตัว เวลากลับมาชกมวยไทย ผลงานจึงไม่ค่อยดี แพ้ 2 ไฟต์ ”
“ แต่กับคิกบอกซิ่ง ผมชกไปได้ 4 ไฟต์ ชนะติดๆกัน ก็ได้ขึ้นมาชิงเข็มขัดไฟต์ที่ 5 กับ โรบิน ฟาน รูสมาเลน (Robin Van Roosmalen) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ค่าตัวผมก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 แสน 3 แสน 4 แสนบาท ผมจึงตัดสินใจมาชกคิกบอกซิ่งเต็มตัว เพราะต้องการทำผลงานออกให้ดีที่สุด ”
“ ผมคิดว่าตัวเองต้องเรียนรู้ใหม่ เพื่อชกคิกบอกซิ่งประมาณ 50 เปอร์เซนต์ แต่อีกครึ่งหนึ่งผมนำเอาวิชามวยไทยมาปรับใช้ได้ อย่างเช่น เรื่องการป้องกัน”
“ ฝรั่งเขาจะเก่งเรื่องการออกหมัด ดังนั้นเวลาใช้หมัด ผมจะต่อยแล้วบล็อก ต่อยแล้วปิดการ์ด ไม่เปิดหน้าแลกกับเขา เช่นเดียวกับตอนเตะ ถ้าเขาเตะมา ผมใช้แข้งบังโดยอัตโนมัติ แต่ฝรั่งเขายกแข้งบังไม่เป็นแบบนักมวยไทย ผมจึงเน้นมาเตะขามากขึ้น จากเดิมที่นักมวยไทย จะเน้นเตะลำตัวโดยธรรมชาติ”
“ อีกอย่างการชกมวยไทยมาก่อน ทำให้ผมมีกระดูกมวยที่แข็งกว่าฝรั่ง เวลาออกอาวุธจะหนักแน่นกว่า สามารถเอาตัวรอดได้ดีกว่าฝรั่ง เพราะนักมวยไทยมีประสบการณ์ในการขึ้นชกมากกว่าฝรั่ง และนักมวยไทยก็เก็บอาการเก่ง เวลาโดนจะไม่ค่อยแสดงอาการ แต่ฝรั่งเวลาเขาโดน เขาจะไม่เก็บอาการเลย ถ้าเราเก็บอาการได้ คู่ต่อสู้ก็จะไม่รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร ”
“ สิ่งสำคัญคือเราต้องศึกษากติกาให้ละเอียดว่า เราสามารถทำอะไรได้บ้าง ? รวมถึงต้องศึกษาศิลปะการต่อสู้ชนิดอื่นๆด้วย อย่างตัวผมก็ศึกษากีฬาต่อสู้อื่นๆ ประมาณ 10 ชนิดกีฬา เช่น คาราเต้, เทควันโดฯ เพื่อจะได้เข้าใจสไตล์คู่ชก”
“ สมัยผมไปต่อยคิกบอกซิ่งครั้งแรกๆ ผมรู้สึกเหนื่อยหมดแรงตั้งแต่ยก 3 (ชกรอบปกติ 3 ยก, ชกชิงแชมป์ 5 ยก) เพราะต้องคอยออกอาวุธและเคลื่อนที่ตลอดเวลา แต่พอเรามีประสบการณ์ ช่วงหลังผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อย เรารู้แล้วว่าควรเร่งหรือผ่อนจังหวะไหน เรานิ่งขึ้น ”
“ เราไม่ได้กดดันตัวเองเหมือนตอนแรกๆ เพราะรายการนี้ ห้ามแพ้เลย ถ้าแพ้แทบไม่มีโอกาสขึ้นชิง ต้องชนะติดๆกันหลายไฟต์ แต่เรารับมือกับความกดดันได้ ไม่ได้สนใจเสียงโห่ในสนาม พยายามตั้งใจทำผลงานออกมาดี ก็เอาชนะคู่แข่งมาได้เรื่อยๆ จนมีโอกาสขึ้นชิงเข็มขัดแชมป์โลกอีกครั้ง ”
“ ครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นชิงแชมป์โลก วันนั้นผมแพ้ เพราะยังชกได้ไม่ชัดเจน ช่วงที่ผมเริ่มชกคิกบอกซิ่ง ผมถูกกรรมการเตือนบ่อยมาก ถึงขั้นตัดคะแนน เรื่องการกอด คิกบอกซิ่งสำหรับผมในตอนนั้น จึงถือเป็นอะไรที่ยาก แต่พอผ่านได้มาสัก 2 ปี ผมคิดว่าตัวเองปรับตัวเข้ากับมันได้แล้ว”
“ คิกบอกซิ่งเป็นกีฬาที่เปิดโลกผม ทำให้รู้จักหลายๆชนิดกีฬา และได้ไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต อย่างไฟต์ที่ผมชิงแชมป์เฉพาะกาล ผมชิงกับคนอเมริกาในบ้านเขา แต่หลังจบไฟต์ คนอเมริกาลุกขึ้นปรบมือให้เราทั้งสนาม เพราะเขาชอบเรา ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจมาก ”
“ เดี๋ยวนี้นักมวยไทยก็เริ่มออกไปชกต่างประเทศเยอะขึ้น อย่างรายการ ONE Championship ที่มีการเซ็นสัญญานักมวยไทยหลายคนไปต่อยคิกบอกซิง ก็อยากให้คนไทยเปิดใจมองว่า คิกบอกซิ่ง เป็นกีฬาทางเลือกหนึ่งที่สร้างรายได้ให้นักมวยไทยได้ดี หากนักมวยไทย คิดจะเอาดีทางนี้ ผมว่าสิ่งสำคัญควรต้องศึกษากติกาอย่างละเอียด รวมถึงสไตล์ของคู่ชก เพื่อเตรียมรับมือ ”
คัดลอกเนื้อหา จาก จากประโคนชัยถึงแมดิสันสแควร์ : บันทึกแชมป์โลกคิกบ็อกซิ่งชาวไทย "เพชรพนมรุ้ง"
การได้รับรู้มุมมองของนักมวย ที่มีประสบการณ์จริง ทำให้ท่านผู้ชมได้ความรู้ใหม่ๆที่น่าสนใจ ในโลกแห่งกีฬาต่อสู้