สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
เราอยู่ในสังคมทุนนิยม คงน้อยมากที่ค่ายไหนไม่เป็นนายทุน ต่างกันที่จะเป็นนายทุนและแสดงออกแบบไหนเท่านั้นเอง
แต่ยึดหลักการเดียวกันนะถ้าวงยังไม่ดังก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่งานเดี่ยวจะได้รับการป้อนมากมาย แล้วต้องยอมรับว่า 5 ปีที่ผ่านมา SM ใช้เวลาสร้างฐานหรือตัว Content ที่เป็นตัวเด็กพอสมควร แล้วก็ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 5 ปีพอดี ซึ่งผู้ร่วมทุนที่ไหนก็ดูออกว่า SM ตอนนี้คือมีอำนาจการต่อรองสูงสุด การไล่ปล่อยผลงานก็เหมือนโชว์พอร์ตของตัวเองที่เก็บไว้มาให้คนภายนอกได้ดู
จุดแข็งของค่ายนี้คือ เด็กเทรนที่ผ่านการฝึกมาอย่างเป็นระบบ การเร่งเดบิวเด็กจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ เป็นสิ่งจำเป็น เด็ก = คอนเท้นต์ ยิ่งมีจำนวนมากเท่าไหร่ก็จะซัพพอร์ตกิจการของค่ายที่มีกลุ่มลูกค้าคือ ฐานแฟนคลับมากขึ้นเท่านั้นที่เห็นได้ชัดคือพวกบับเบิ้ลนี่ล่ะ ที่ทำกำไรได้สูงมากจนผลกำไรแซงหน้าอัลบั้มและเข้ามาพยุงในวันที่เกิดโควิด และแน่นอนว่า บับเบิ้ลนั้นไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย และเป็นระบบปิดที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
รวมถึงการที่ทำวงใหม่ๆให้มีกิมมิคที่ฉีกไป และลงตลาดที่แตกต่างกันออกไปนี่แล้วว่ามันก็มีข้อดีอยู่นะ
มันจะได้ไม่ต้องไปแย่งฐานแฟนคลับกันเอาเอง แต่ความโชคร้ายสุดๆก็จะเป็นวงที่ SM ใช้บุกเบิกอะไรใหม่ๆเป็นตลาดแรกๆ แล้วตอนนั้นยังไม่ติดตลาด
ในเรื่อง
1 สัญญาทาส ให้ดูจากคนที่ต่อกับค่ายตอนนี้ ปัจจุบันค่ายนี้มีคนที่ต่อสัญญาเป็นอันดับส่วนทีสูงที่สุดในเกาหลี มีทั้งคนดังมาก ถึง ดังกลาง และดังน้อยคละกันไป นอกจาก f(x) ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะต่อกัน
ในอดีต เมนเราเป็นรุ่นสองที่โดนเรื่องสัญญาทาสตรงๆ และได้รับผลกระทบจากฝั่งค่าย vs เพื่อนร่วมวง vs แฟนคลับของคนที่อยู่และคนที่จากไป
ได้รับความกดดันมากๆ จากคนรอบตัวและผู้บริหารในค่าย รวมถึง ณ เวลานั้นค่ายตั้งใจโปรโมท snsd แบบชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างของรายได้ จากบอยแบนด์อันดับหนึ่ง ตกงานทันทีสองปีกว่า และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนให้เราเลิกคีฟในสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอน เข้าใจวัฐจักรการเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมไม่ได้มากขึ้น รวมถึงความเป็นทุนนิยมที่แม้แต่ในเด็กในค่ายยังมองต่างกัน เช่น ฮีซอล
“บอกตามตรงนะครับ เพราะหาเงินไม่ได้? ไม่ใช่หรอกครับ ช่วงนี้ผมได้ยินแต่คำว่า สัญญาทาส สัญญาทาส น่าขำจริงๆ ทาสที่ไหนกันที่กตัญญูต่อพ่อแม่จนสามารถซื้อตึกให้ได้ ทาสที่ไหนกันจะขับรถไปไหนมาไหนเอง ทาสที่ไหนจะไปก๊งเหล้าในวงเหล้ากัน มีที่ไหนกันล่ะครับ?” รวมถึง
https://music.mthai.com/news/newsasia/188815.html
จากจุดนี้มีคนที่ได้รับผลกระทบหมดซึ่งมีที่มาจากโครงสร้าง ระบบและการบริหารแบบบริษัทเกาหลี ที่มีคนเอาการทำงานของหลายค่ายมาแปะข้างล่างนั่นล่ะว่าพนักงานทั่วไป Work balance แย่มากทุกค่ายไม่เว้นแต่ไอดอล แต่ดีตรงไอดอลรวยกว่าพนักงานมากๆ พนักงานทั่วไปแทบจะกินนอนในค่ายเลยด้วยซ้ำและได้เงินเดือนน้อยมาก
2 SM ที่มีลีซูมานเป็นคนบุกเบิก เน้นสร้าง และต่อยอดในส่วนที่เห็นว่าหน่วยงานนั้นจะพัฒนาไปพร้อมกับองค์กรโดยรวมได้ ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์เอื้อต่อไอดอลกลุ่มเดียว และความไม่ยุติธรรมมีอยู่จริง อะไรที่จะเป็นภัยในภายหน้าก็คงจะไม่ปล่อยง่ายๆ ไปแน่อนเหมือนที่แชโบลใหญ่ๆ ใช้กัน
3 วิธีขยายกิจการที่ลีซูมานมักจะใช้คือ ไปเป็นพารทเนอร์ในส่วนที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับไอดอลโดยตรง รวมกิจการไหนก็จะไปเอาแต่พวกบริษัทผลิต
Production ซีรีย์อะไรพวกนี้มากกว่า ยกตัวอย่าง Woolim คือ sm ไม่ได้ต้องการเด็กจาก Woolim หรือค่ายย่อยที่เข้าไปเทค แต่เขาต้องการตัว Production เพียวๆ และฝั่ง Woolim ต้องการให้โปรโมทตปท ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์จึงเกิดดีลนี้ขึ้นและสองฝ่ายต่างไม่แทรกแซงกัน
4. กิจการไอดอลตรงนี้ของ SM เป็นไปด้วยดีอยู่แล้ว และรู้กันดีว่า การสร้างของใหม่บนของเก่าที่มีอยู่ค่อนข้างลำบาก มันต้องเปลี่ยนทั้งระบบ วัฒนธรรมองค์กรเกือบทั้งหมด จะมีปัญหากันซะเปล่าๆ
แม้แต่ เนเวอร์หรือคาคาโอะ บริษัทระดับใหญ่ในเกาหลี ที่ยื่นข้อเสนอเข้าซื้อหุ้นช่วงสองวีคก่อนต่างก็รู้ถึงข้อนี้ดีกับคนแบบ ลีซูมาน ทำให้ดีลที่เกิดขึ้นนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร โดยที่อีกหนึ่งเดือน บริษัทถึงจะให้คำตอบ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ลีซูมานจะตกลงขายหุ้นของตัวเองหรือร่วมทุนกับบริษัทที่มีพื้นฐานการทำธุรกิจทำไอดอลเหมือนกัน เอาเข้าจริงมันไม่ควรมีข่าวแบบนี้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากข่าวที่แอคนี้เอามาแปล รวมถึงบทความที่เป็นประเด็น ลงวันที่ 31 พ.ค.
http://www.investchosun.com/2021/05/31/3262357
หมาน มีเรื่องภาษีอยู่ ผลที่ตามมาคือตกลงไม่สำเร็จ โดยต้นฉบับไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจนว่าทำไม หรือใครปฎิเสธใคร แต่ นักวิเคราะห์ คาดการณ์กันว่ามาจากบริษัทย่อยและภาษีพร้อมทั้งยกแผนภูมิกับกราฟมาประกอบ โดยเน้นไปที่คาคาโอะกับเนเวอร์เป็นหลักว่าจะมีฟี้ดแบคยังไง
ซึ่งแอคนี้จะแปลมาจากเว็บเกาหลีเยอะ พอไปดูต้นทาง เค้าแปลชงไปทางภาษีด้วยการเอาข่าวเก่ามารีวิว (3 days ก่อนดูจากทวิตได้) ทำให้หลายคนที่เข้ามาอ่านเข้าใจผิดได้ว่าอีซูมานยอมขายหุ้นให้บริษัทอื่นแต่เขาไม่ยอมเอาเพราะมีปัญหาเรื่องภาษี ขอบอกเลยว่าไม่มีบทความไหนระบุแบบนั้นนะคะ
จนกระทั่งข่าวใหม่ที่ออกมาวันที่ 1 มิย ตอน 9 โมง อยู่ข้างล่างค่ะ บอกชัดว่า Sm เป็นฝ่ายปฎิเสธข้อเสนอ HYBE เอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
credit : https://www.kedglobal.com/newsView/ked202106010004
เราคิดว่ามันเป็นข่าวธุรกิจพูดคุยกันได้ไม่ขอโยงไปเรื่องดราม่าว่าซื้อทำไม แต่มันมีเหตุผลชัดเจนว่าไม่ควรจะให้หุ้นตัวเองไปตกในมือของคนที่มีธุรกิจแบบเดียวกัน ไม่ว่าเรื่องภาษีจะเป็นยังไงก็ตาม
และนี่คือข่าวที่เพิ่งออกอีกที
https://n.news.naver.com/mnews/article/015/0004558340?sid=101
At the beginning of this year, Hive (formerly Big Hit), who heard of Lee's intention to sell his stake, offered to negotiate first, but it is known that the general manager rejected it.
A media industry official said, "The reason that general chairman Lee rejected Hive's proposal at the beginning of the year was probably because he decided that he would not have a position in Hive, who already knew how the agency system works.
ดังนั้นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดคือ สองบริษัทนี้เท่านั้น ในสายตาลีซูมานเพราะมีศักยภาพด้าน it และคอนเนคชั่นด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไอดอลมากกว่า sm
สำหรับคนไม่รู้ว่า naver vs kakao จับธุรกิจไหนบ้าง
https://marketeeronline.co/archives/180227
สายโปรดิวเซอร์หัวดื้ออย่างลีซูมานที่ตีกับ m net ในเรื่องส่วนแบ่งขายอัลบั้มมาแล้ว แถมยัง เป็น CEO ที่สร้างเอง มาทั้งหมด มันยากมากกับการที่จะให้ใครมายุ่งกับของที่ตัวเองสร้าง ขนาดหลานชายตัวเอง (หลานฝั่งภรรยาเสียไป ซึ่งก็คือ คริสลี) ยังไม่ยอมยกหุ้นหลักให้เลย
5. แต่ถามว่าทำไม ถึงมีดีลนี้เกิดขึ้น อันดับแรกที่ออกสื่อมา คือ ให้ค่ายได้เติบโตมากกว่านี้ อันดับต่อมาคือ เนเวอร์กับคคอ เนี้ยไม่ได้จับทางธุรกิจปั้นไอดอลเป็นหลัก พวกนี้เขามีธุรกิจมากมายแค่ อยากจะขยายส่วน Entertainment ในด้าน Kpop เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขาเท่านั้นเอง ซึ่งต้องสองบริษัทใหญ่นี้เท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของหมาน
เพราะยังมีเรื่องของบริษัทลูกของค่ายที่ขาดทุนประจำ (ปกติใช้กำไรไอดอลจากทัวร์โปะ รอดตลอด) ส่วนตรงนี้จะมีผลกับไอดอลที่ทำงานมานานๆ มากกว่า ที่เมื่อถึงวันนึงวงของคุณจะไม่ใช่ Cash cow อีกต่อไป
รวมไปถึงการเดบิวเด็กออกมามากๆ ก็ต้องมีที่มีทางลงให้พวกเขาในวันที่อายุมากขึ้นอยู่ดี เช่น พวกรายการ ละคร วาไรตี้ หรืออะไรต่างๆ มากมาย หมายความว่าถ้าเป็น Partner กันขึ้นมา บริษัทพวกนี้ก็ต้องรับภาระในส่วนของค่าใช้จ่ายและอนาคตของเด็ก SM ที่ต่อสัญญายาวๆ ด้วย 55555
มันอาจจะไม่มีประโยชน์หรอกถ้าวันนั้นเมนคุณยังเป็นไอดอลหน้าใหม่ หรือไอดอลไม่ต่อสัญญาเพราะไปหาสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ใช่กับคนที่ยังอยู่ในค่าย เมื่อวันที่อายุเลย 30 กว่าๆ เนี่ย หนทางเติบโตในวงการบันเทิงมันจะน้อยลง วันที่ไม่สามารถพึ่งพาฐานแฟนคลับได้มากเท่าเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะสายละคร
ซึ่งว่ากันว่า ถ้าดีลในข้อของ เนเวอร์หรือคาคาโอะ สำเร็จ หนึ่งในสองบริษัทที่ว่าจะเข้ามาช่วยพัฒนาตรงนี้ ในจุดที่เอสเอ็มยังไม่ได้แข็งมากพอ รวมไปถึงต่อยอดแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ใหญ่กว่าในระดับที่ sme มี
ในอนาคตแต่ก็นั่นล่ะ ลีซูมานอาจจะต้องยอมเสียผลประโยชน์บางส่วนในปัจจุบันไป คงต้องรอสักเดือน กค ก็คงได้รู้กันว่าจะออกมายังไง
ไม่ต้องซีเรียสกับตารางนี้มันเขียวแดงทุกวันนั้นล่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
SM ใหญ่ก็จริงนะแต่ก็ยังมีบริษัทที่ใหญ่กว่ามันก็เป็นรูปแบบของระบบทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แล้วถ้าปลาใหญ่อยู่ตัวเดียวกับมีปลาฝูงใหญ่รวมกลุ่มหลายๆตัว ปลาใหญ่ตัวเดียวก็ไม่รอดเหมือนกัน
เนเวอรกับคาคาโอ ใหญ่มากและทำธุรกิจหลายอย่าง ไม่ได้จับแค่เพลงอย่างเดียว และน้อยครั้งที่จะยอมลงให้กับบริษัทขนาดเล็กกว่า จากข่าวที่เราตามมาคือ สองบริษัทนั้นล็อบบี้ Sm กันหนักอยู่ และตั้งแต่เปิดปี 2021 มา Sm โชว์ผลงานของแต่ละวงได้ดี และหมุนเวียนคัมแบคไม่ขาด
สุดท้าย นายทุนไหมก็นักธุรกิจทั่วไปที่ต้องนึกถึงผลประโยชน์ของทั้งบริษัทมากกว่า วงหรือไอดอลคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว ปฎิเสธไม่ได้ว่า เด็กทุกคนที่ประสบความสำเร็จเกิดมาจากระบบเทรนนีของค่ายเป็นหลัก ยิ่งตัวท็อปคือฝึกมานาน อยู่กันนานทั้งนั้น
จริงๆ มันควรจะครบทุกองค์ประกอบ สร้างมา ให้เติบโตแล้วรักษาไว้ ค่ายชมพูที่ลีซูมานบริหาร สร้างเก่งมาก ตรงนี้ต้องยอม ฆ่าไม่ตายตรงนี้ ขยันสร้างด้วย ทำให้เติบโตได้ แต่อาจจะเสียตรงการรักษา จะคิดก็ได้ว่าเพราะว่าสร้างเก่งด้วยแหละก็เลยไม่ง้อ แต่ในทางกลับกัน ต้องถามเด็กด้วยว่าอยากให้ง้อแค่ไหน ซึ่งถ้าเด็กคิดเหมือนกันหมดจะดีมาก แต่ถ้าไม่เหมือนกัน เราก็จะเห็นภาพเมมเบอร์ไม่ครบทีมในสักวันหนึ่ง
แต่เมื่อคิดเป็น% สัดส่วนแล้ว ก็ถือว่ารักษาได้จำนวนหนึ่งเพราะไม่มีพนักงานคนไหนจะอยู่กับบริษัทบันเทิงกันตลอดชีวิตแน่นอน เว้นเสียแต่จะขึ้นเป็นผู้บริหารกันทั้งวงก็อีกเรื่อง
สมมุติไอดอลที่คุณชอบโดน SM เอาเปรียบในวันนี้ในวันที่ไอดอลคุณไม่ต่อสัญญาสิ่งที่ได้แน่ๆ คือ เครดิตจากการอยู่ค่ายนี้ที่สร้างมาเองบวกค่ายสร้างให้ผสมกันก็เอาไปต่อยอดในบริษัทอื่นที่เขาให้ข้อเสนอที่ดีกว่าได้มากมาย
เพราะบริษัทพวกนี้เขาได้ตอนไอดอลของคุณอยู่ในระดับแพ็คเกจ Premium แล้วไง เขาได้ของดีไปอยู่ในมือแล้ว โดยไม่ต้องลงทุนหรือปั้นอะไรเลยแบบ SM
แต่ถ้าถามว่า ลีซูมานเป็นนายทุนแบบไหน เราว่าเขาก็รักในสิ่งที่เขาสร้างมาทั้งหมดนั่นแหละ สร้างมาเองกับมือมันต้องยิ่งรู้สึกผูกพันอยู่แล้ว แต่ก็เผื่อไว้ให้ 1% เผื่อลุงแกรอยากเกษียน 68 ก็ถือว่าเป็นอายุที่เยอะอยู่แต่ CEO หลายคน เขาก็อยู่กันนานนะ อยู่กันจนแบบนั่งรถเข็นเลยด้วยซ้ำ หรือไม่ก็ป่วยพักอยากไปรักษาตัว???
ถ้าไม่ป่วยหรืออยากรีไทร์ คงไม่ยอมให้ใครมาชุบมือเปิบไปได้ง่ายๆ เอาง่ายๆ ขนาดบริษัทผลิตไวน์เนี่ยที่ดูไม่กำไรอะไรเลยดูยังรักเอยเบอร์นี้อ่ะทั้งที่ทำกำไรก็ไม่ได้เยอะ คังโฮดงยังต้องมาช่วยโปรโมต คิดดู 😂
แต่ยึดหลักการเดียวกันนะถ้าวงยังไม่ดังก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่งานเดี่ยวจะได้รับการป้อนมากมาย แล้วต้องยอมรับว่า 5 ปีที่ผ่านมา SM ใช้เวลาสร้างฐานหรือตัว Content ที่เป็นตัวเด็กพอสมควร แล้วก็ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 5 ปีพอดี ซึ่งผู้ร่วมทุนที่ไหนก็ดูออกว่า SM ตอนนี้คือมีอำนาจการต่อรองสูงสุด การไล่ปล่อยผลงานก็เหมือนโชว์พอร์ตของตัวเองที่เก็บไว้มาให้คนภายนอกได้ดู
จุดแข็งของค่ายนี้คือ เด็กเทรนที่ผ่านการฝึกมาอย่างเป็นระบบ การเร่งเดบิวเด็กจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ เป็นสิ่งจำเป็น เด็ก = คอนเท้นต์ ยิ่งมีจำนวนมากเท่าไหร่ก็จะซัพพอร์ตกิจการของค่ายที่มีกลุ่มลูกค้าคือ ฐานแฟนคลับมากขึ้นเท่านั้นที่เห็นได้ชัดคือพวกบับเบิ้ลนี่ล่ะ ที่ทำกำไรได้สูงมากจนผลกำไรแซงหน้าอัลบั้มและเข้ามาพยุงในวันที่เกิดโควิด และแน่นอนว่า บับเบิ้ลนั้นไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย และเป็นระบบปิดที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
รวมถึงการที่ทำวงใหม่ๆให้มีกิมมิคที่ฉีกไป และลงตลาดที่แตกต่างกันออกไปนี่แล้วว่ามันก็มีข้อดีอยู่นะ
มันจะได้ไม่ต้องไปแย่งฐานแฟนคลับกันเอาเอง แต่ความโชคร้ายสุดๆก็จะเป็นวงที่ SM ใช้บุกเบิกอะไรใหม่ๆเป็นตลาดแรกๆ แล้วตอนนั้นยังไม่ติดตลาด
ในเรื่อง
1 สัญญาทาส ให้ดูจากคนที่ต่อกับค่ายตอนนี้ ปัจจุบันค่ายนี้มีคนที่ต่อสัญญาเป็นอันดับส่วนทีสูงที่สุดในเกาหลี มีทั้งคนดังมาก ถึง ดังกลาง และดังน้อยคละกันไป นอกจาก f(x) ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะต่อกัน
ในอดีต เมนเราเป็นรุ่นสองที่โดนเรื่องสัญญาทาสตรงๆ และได้รับผลกระทบจากฝั่งค่าย vs เพื่อนร่วมวง vs แฟนคลับของคนที่อยู่และคนที่จากไป
ได้รับความกดดันมากๆ จากคนรอบตัวและผู้บริหารในค่าย รวมถึง ณ เวลานั้นค่ายตั้งใจโปรโมท snsd แบบชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างของรายได้ จากบอยแบนด์อันดับหนึ่ง ตกงานทันทีสองปีกว่า และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนให้เราเลิกคีฟในสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอน เข้าใจวัฐจักรการเปลี่ยนแปลงที่ควบคุมไม่ได้มากขึ้น รวมถึงความเป็นทุนนิยมที่แม้แต่ในเด็กในค่ายยังมองต่างกัน เช่น ฮีซอล
“บอกตามตรงนะครับ เพราะหาเงินไม่ได้? ไม่ใช่หรอกครับ ช่วงนี้ผมได้ยินแต่คำว่า สัญญาทาส สัญญาทาส น่าขำจริงๆ ทาสที่ไหนกันที่กตัญญูต่อพ่อแม่จนสามารถซื้อตึกให้ได้ ทาสที่ไหนกันจะขับรถไปไหนมาไหนเอง ทาสที่ไหนจะไปก๊งเหล้าในวงเหล้ากัน มีที่ไหนกันล่ะครับ?” รวมถึง
https://music.mthai.com/news/newsasia/188815.html
จากจุดนี้มีคนที่ได้รับผลกระทบหมดซึ่งมีที่มาจากโครงสร้าง ระบบและการบริหารแบบบริษัทเกาหลี ที่มีคนเอาการทำงานของหลายค่ายมาแปะข้างล่างนั่นล่ะว่าพนักงานทั่วไป Work balance แย่มากทุกค่ายไม่เว้นแต่ไอดอล แต่ดีตรงไอดอลรวยกว่าพนักงานมากๆ พนักงานทั่วไปแทบจะกินนอนในค่ายเลยด้วยซ้ำและได้เงินเดือนน้อยมาก
2 SM ที่มีลีซูมานเป็นคนบุกเบิก เน้นสร้าง และต่อยอดในส่วนที่เห็นว่าหน่วยงานนั้นจะพัฒนาไปพร้อมกับองค์กรโดยรวมได้ ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์เอื้อต่อไอดอลกลุ่มเดียว และความไม่ยุติธรรมมีอยู่จริง อะไรที่จะเป็นภัยในภายหน้าก็คงจะไม่ปล่อยง่ายๆ ไปแน่อนเหมือนที่แชโบลใหญ่ๆ ใช้กัน
3 วิธีขยายกิจการที่ลีซูมานมักจะใช้คือ ไปเป็นพารทเนอร์ในส่วนที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับไอดอลโดยตรง รวมกิจการไหนก็จะไปเอาแต่พวกบริษัทผลิต
Production ซีรีย์อะไรพวกนี้มากกว่า ยกตัวอย่าง Woolim คือ sm ไม่ได้ต้องการเด็กจาก Woolim หรือค่ายย่อยที่เข้าไปเทค แต่เขาต้องการตัว Production เพียวๆ และฝั่ง Woolim ต้องการให้โปรโมทตปท ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์จึงเกิดดีลนี้ขึ้นและสองฝ่ายต่างไม่แทรกแซงกัน
4. กิจการไอดอลตรงนี้ของ SM เป็นไปด้วยดีอยู่แล้ว และรู้กันดีว่า การสร้างของใหม่บนของเก่าที่มีอยู่ค่อนข้างลำบาก มันต้องเปลี่ยนทั้งระบบ วัฒนธรรมองค์กรเกือบทั้งหมด จะมีปัญหากันซะเปล่าๆ
แม้แต่ เนเวอร์หรือคาคาโอะ บริษัทระดับใหญ่ในเกาหลี ที่ยื่นข้อเสนอเข้าซื้อหุ้นช่วงสองวีคก่อนต่างก็รู้ถึงข้อนี้ดีกับคนแบบ ลีซูมาน ทำให้ดีลที่เกิดขึ้นนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร โดยที่อีกหนึ่งเดือน บริษัทถึงจะให้คำตอบ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ลีซูมานจะตกลงขายหุ้นของตัวเองหรือร่วมทุนกับบริษัทที่มีพื้นฐานการทำธุรกิจทำไอดอลเหมือนกัน เอาเข้าจริงมันไม่ควรมีข่าวแบบนี้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากข่าวที่แอคนี้เอามาแปล รวมถึงบทความที่เป็นประเด็น ลงวันที่ 31 พ.ค.
http://www.investchosun.com/2021/05/31/3262357
หมาน มีเรื่องภาษีอยู่ ผลที่ตามมาคือตกลงไม่สำเร็จ โดยต้นฉบับไม่ได้บอกเหตุผลชัดเจนว่าทำไม หรือใครปฎิเสธใคร แต่ นักวิเคราะห์ คาดการณ์กันว่ามาจากบริษัทย่อยและภาษีพร้อมทั้งยกแผนภูมิกับกราฟมาประกอบ โดยเน้นไปที่คาคาโอะกับเนเวอร์เป็นหลักว่าจะมีฟี้ดแบคยังไง
ซึ่งแอคนี้จะแปลมาจากเว็บเกาหลีเยอะ พอไปดูต้นทาง เค้าแปลชงไปทางภาษีด้วยการเอาข่าวเก่ามารีวิว (3 days ก่อนดูจากทวิตได้) ทำให้หลายคนที่เข้ามาอ่านเข้าใจผิดได้ว่าอีซูมานยอมขายหุ้นให้บริษัทอื่นแต่เขาไม่ยอมเอาเพราะมีปัญหาเรื่องภาษี ขอบอกเลยว่าไม่มีบทความไหนระบุแบบนั้นนะคะ
จนกระทั่งข่าวใหม่ที่ออกมาวันที่ 1 มิย ตอน 9 โมง อยู่ข้างล่างค่ะ บอกชัดว่า Sm เป็นฝ่ายปฎิเสธข้อเสนอ HYBE เอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
credit : https://www.kedglobal.com/newsView/ked202106010004
เราคิดว่ามันเป็นข่าวธุรกิจพูดคุยกันได้ไม่ขอโยงไปเรื่องดราม่าว่าซื้อทำไม แต่มันมีเหตุผลชัดเจนว่าไม่ควรจะให้หุ้นตัวเองไปตกในมือของคนที่มีธุรกิจแบบเดียวกัน ไม่ว่าเรื่องภาษีจะเป็นยังไงก็ตาม
และนี่คือข่าวที่เพิ่งออกอีกที
https://n.news.naver.com/mnews/article/015/0004558340?sid=101
At the beginning of this year, Hive (formerly Big Hit), who heard of Lee's intention to sell his stake, offered to negotiate first, but it is known that the general manager rejected it.
A media industry official said, "The reason that general chairman Lee rejected Hive's proposal at the beginning of the year was probably because he decided that he would not have a position in Hive, who already knew how the agency system works.
ดังนั้นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดคือ สองบริษัทนี้เท่านั้น ในสายตาลีซูมานเพราะมีศักยภาพด้าน it และคอนเนคชั่นด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไอดอลมากกว่า sm
สำหรับคนไม่รู้ว่า naver vs kakao จับธุรกิจไหนบ้าง
https://marketeeronline.co/archives/180227
สายโปรดิวเซอร์หัวดื้ออย่างลีซูมานที่ตีกับ m net ในเรื่องส่วนแบ่งขายอัลบั้มมาแล้ว แถมยัง เป็น CEO ที่สร้างเอง มาทั้งหมด มันยากมากกับการที่จะให้ใครมายุ่งกับของที่ตัวเองสร้าง ขนาดหลานชายตัวเอง (หลานฝั่งภรรยาเสียไป ซึ่งก็คือ คริสลี) ยังไม่ยอมยกหุ้นหลักให้เลย
5. แต่ถามว่าทำไม ถึงมีดีลนี้เกิดขึ้น อันดับแรกที่ออกสื่อมา คือ ให้ค่ายได้เติบโตมากกว่านี้ อันดับต่อมาคือ เนเวอร์กับคคอ เนี้ยไม่ได้จับทางธุรกิจปั้นไอดอลเป็นหลัก พวกนี้เขามีธุรกิจมากมายแค่ อยากจะขยายส่วน Entertainment ในด้าน Kpop เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขาเท่านั้นเอง ซึ่งต้องสองบริษัทใหญ่นี้เท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของหมาน
เพราะยังมีเรื่องของบริษัทลูกของค่ายที่ขาดทุนประจำ (ปกติใช้กำไรไอดอลจากทัวร์โปะ รอดตลอด) ส่วนตรงนี้จะมีผลกับไอดอลที่ทำงานมานานๆ มากกว่า ที่เมื่อถึงวันนึงวงของคุณจะไม่ใช่ Cash cow อีกต่อไป
รวมไปถึงการเดบิวเด็กออกมามากๆ ก็ต้องมีที่มีทางลงให้พวกเขาในวันที่อายุมากขึ้นอยู่ดี เช่น พวกรายการ ละคร วาไรตี้ หรืออะไรต่างๆ มากมาย หมายความว่าถ้าเป็น Partner กันขึ้นมา บริษัทพวกนี้ก็ต้องรับภาระในส่วนของค่าใช้จ่ายและอนาคตของเด็ก SM ที่ต่อสัญญายาวๆ ด้วย 55555
มันอาจจะไม่มีประโยชน์หรอกถ้าวันนั้นเมนคุณยังเป็นไอดอลหน้าใหม่ หรือไอดอลไม่ต่อสัญญาเพราะไปหาสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ใช่กับคนที่ยังอยู่ในค่าย เมื่อวันที่อายุเลย 30 กว่าๆ เนี่ย หนทางเติบโตในวงการบันเทิงมันจะน้อยลง วันที่ไม่สามารถพึ่งพาฐานแฟนคลับได้มากเท่าเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะสายละคร
ซึ่งว่ากันว่า ถ้าดีลในข้อของ เนเวอร์หรือคาคาโอะ สำเร็จ หนึ่งในสองบริษัทที่ว่าจะเข้ามาช่วยพัฒนาตรงนี้ ในจุดที่เอสเอ็มยังไม่ได้แข็งมากพอ รวมไปถึงต่อยอดแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ใหญ่กว่าในระดับที่ sme มี
ในอนาคตแต่ก็นั่นล่ะ ลีซูมานอาจจะต้องยอมเสียผลประโยชน์บางส่วนในปัจจุบันไป คงต้องรอสักเดือน กค ก็คงได้รู้กันว่าจะออกมายังไง
ไม่ต้องซีเรียสกับตารางนี้มันเขียวแดงทุกวันนั้นล่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
SM ใหญ่ก็จริงนะแต่ก็ยังมีบริษัทที่ใหญ่กว่ามันก็เป็นรูปแบบของระบบทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แล้วถ้าปลาใหญ่อยู่ตัวเดียวกับมีปลาฝูงใหญ่รวมกลุ่มหลายๆตัว ปลาใหญ่ตัวเดียวก็ไม่รอดเหมือนกัน
เนเวอรกับคาคาโอ ใหญ่มากและทำธุรกิจหลายอย่าง ไม่ได้จับแค่เพลงอย่างเดียว และน้อยครั้งที่จะยอมลงให้กับบริษัทขนาดเล็กกว่า จากข่าวที่เราตามมาคือ สองบริษัทนั้นล็อบบี้ Sm กันหนักอยู่ และตั้งแต่เปิดปี 2021 มา Sm โชว์ผลงานของแต่ละวงได้ดี และหมุนเวียนคัมแบคไม่ขาด
สุดท้าย นายทุนไหมก็นักธุรกิจทั่วไปที่ต้องนึกถึงผลประโยชน์ของทั้งบริษัทมากกว่า วงหรือไอดอลคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว ปฎิเสธไม่ได้ว่า เด็กทุกคนที่ประสบความสำเร็จเกิดมาจากระบบเทรนนีของค่ายเป็นหลัก ยิ่งตัวท็อปคือฝึกมานาน อยู่กันนานทั้งนั้น
จริงๆ มันควรจะครบทุกองค์ประกอบ สร้างมา ให้เติบโตแล้วรักษาไว้ ค่ายชมพูที่ลีซูมานบริหาร สร้างเก่งมาก ตรงนี้ต้องยอม ฆ่าไม่ตายตรงนี้ ขยันสร้างด้วย ทำให้เติบโตได้ แต่อาจจะเสียตรงการรักษา จะคิดก็ได้ว่าเพราะว่าสร้างเก่งด้วยแหละก็เลยไม่ง้อ แต่ในทางกลับกัน ต้องถามเด็กด้วยว่าอยากให้ง้อแค่ไหน ซึ่งถ้าเด็กคิดเหมือนกันหมดจะดีมาก แต่ถ้าไม่เหมือนกัน เราก็จะเห็นภาพเมมเบอร์ไม่ครบทีมในสักวันหนึ่ง
แต่เมื่อคิดเป็น% สัดส่วนแล้ว ก็ถือว่ารักษาได้จำนวนหนึ่งเพราะไม่มีพนักงานคนไหนจะอยู่กับบริษัทบันเทิงกันตลอดชีวิตแน่นอน เว้นเสียแต่จะขึ้นเป็นผู้บริหารกันทั้งวงก็อีกเรื่อง
สมมุติไอดอลที่คุณชอบโดน SM เอาเปรียบในวันนี้ในวันที่ไอดอลคุณไม่ต่อสัญญาสิ่งที่ได้แน่ๆ คือ เครดิตจากการอยู่ค่ายนี้ที่สร้างมาเองบวกค่ายสร้างให้ผสมกันก็เอาไปต่อยอดในบริษัทอื่นที่เขาให้ข้อเสนอที่ดีกว่าได้มากมาย
เพราะบริษัทพวกนี้เขาได้ตอนไอดอลของคุณอยู่ในระดับแพ็คเกจ Premium แล้วไง เขาได้ของดีไปอยู่ในมือแล้ว โดยไม่ต้องลงทุนหรือปั้นอะไรเลยแบบ SM
แต่ถ้าถามว่า ลีซูมานเป็นนายทุนแบบไหน เราว่าเขาก็รักในสิ่งที่เขาสร้างมาทั้งหมดนั่นแหละ สร้างมาเองกับมือมันต้องยิ่งรู้สึกผูกพันอยู่แล้ว แต่ก็เผื่อไว้ให้ 1% เผื่อลุงแกรอยากเกษียน 68 ก็ถือว่าเป็นอายุที่เยอะอยู่แต่ CEO หลายคน เขาก็อยู่กันนานนะ อยู่กันจนแบบนั่งรถเข็นเลยด้วยซ้ำ หรือไม่ก็ป่วยพักอยากไปรักษาตัว???
ถ้าไม่ป่วยหรืออยากรีไทร์ คงไม่ยอมให้ใครมาชุบมือเปิบไปได้ง่ายๆ เอาง่ายๆ ขนาดบริษัทผลิตไวน์เนี่ยที่ดูไม่กำไรอะไรเลยดูยังรักเอยเบอร์นี้อ่ะทั้งที่ทำกำไรก็ไม่ได้เยอะ คังโฮดงยังต้องมาช่วยโปรโมต คิดดู 😂
แสดงความคิดเห็น
ค่ายนายทุนในความคิดคุณคืออะไร?และคุณคิดว่าค่ายที่คุณติ่งเป็นค่ายนายทุนมากน้อยแค่ไหน?