สวัสดีค่ะ วันนี้จะหยิบเอาเรื่องเล่าเขย่าขวัญตอนหนึ่งจากงานแปลของเราเองที่ชื่อว่า "นอนไม่หลับ" ซึ่งเราเลือกเอาเรื่องเล่าน่ากลัวๆ จากบอร์ด Reddit มาแปลให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน โดยปกติเราจะอัปเดตบนเว็บของเราเองทุกวันอังคาร / พฤหัสบดี / และเสาร์ ค่ะ (
ลิงก์นี้นะคะ) หรือถ้าใครสะดวกแอดไลน์เป็นเพื่อนกันเพื่อรับแจ้งเตือนเมื่ออัปเรื่องใหม่
กดแอดเพื่อนไลน์ที่นี่ ค่ะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ ^^
ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้นนะคะ ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะคะ
มาเริ่มกันเลยค่ะ
----------------------------------------------------------
โพสต์ส่วนมากในเว็บ Craigslist มักไม่ตรงกับความเป็นจริง ผมน่าจะรู้ดี นั่นเป็นความผิดของผมเอง
บิลเดินผ่านประตูเข้ามาในอะพาร์ตเมนต์ในชุดสูทสีดำแปลกๆ เขาตัวอวบอ้วนเต็มชุดสูท ที่คางมีเศษโดนัทหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขากินเป็นมื้อกลางวันติดอยู่
"โทษทีที่มาช้า" เขากล่าวก่อนขยับเข็มขัดใต้พุงให้เข้าที่ “มีเรื่องฉุกเฉินนิดหน่อย”
บิลผมมันเยิ้มดูสภาพซอมซ่อ เขาดูเหมือนพนักงานขายรถที่เต้นท์โทรมๆ มากกว่า โชคไม่ดีเลยที่เขาดันมาเป็นเอเย่นหาบ้านเช่าให้ผม บิลพาผมเดินดูทั่วอะพาร์ตเม้นต์ แน่ล่ะ มันดูเก่าและผุผัง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ฝ้าเพดานบางส่วนจมลง มีเชื้อราขึ้นบนผนังส่งกลิ่นเหม็นอับๆ ไปทั่ว และแน่นอนว่าบรรยากาศก็อบชื้น แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่น่าจะมีราคาที่ถูกแสนถูก ถูกที่สุดในเมืองเลยทีเดียว ต้องมีบางอย่างที่ผมยังไม่รู้แน่ๆ
"อย่างที่คุณเห็น" เขาเดินวนตรงกลางห้องรับแขก กวาดมืออ้วนๆ สองข้างไปรอบๆ "อาจต้องซ่อมนู่นนี่สองสามอย่าง ผนังกับพื้นกระดานลั่นเสียงดังไปนิด ตู้เย็นติดๆ ดับๆ และหลังคารั่วอยู่สองสามจุด"
ผมลูบคางอย่างครุ่นคิด "ฉันคิดเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้วบิล มีบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล อะพาร์ตเม้นต์นี้มันถูกเกินไป
บิลเองก็เริ่มลูบคางบ้าง ปัดเศษขนมจากคางตกลงบนพรมบนพื้นที่อาจจะกลายเป็นพรมของผมในไม่ช้านี้ "ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มสักอย่างสองอย่าง ขัดราดำๆ นี่ออกเสียหน่อย แค่นี้ก็นิ๊งแล้ว"
ผมส่ายหัว "เลิกอ้อมค้อมน่าบิล" ผมจ้องมองเขาอย่างจริงจัง "เคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่"
"เอ่อ.." เขาถอนหายใจ ท่าทางมีพิรุธ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเป้งออกจากหน้าผากมันเยิ้ม "มียายแก่คนหนึ่ง... "
ผมผายมือไปที่เก้าอี้เก่าๆ ในห้องรับแขกเป็นสัญญาณให้เขาลงนั่ง
"ถ้าถามคนญี่ปุ่น พวกเขาจะเรียกที่นี่ว่า 'บ้านต้องคำสาป'... ใช่แล้วล่ะ พวกเขาจะเรียกกันแบบนั้น" เขานั่งลง
"ไหน.. อธิบายมา" ผมพูดอย่างใจเย็น
"ที่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในญี่ปุ่น ที่สถานที่แบบนี้จะถูกปล่อยว่างมานานถึง 20 ปี โดยไม่มีใครมาเช่าหลังจากมีคนตายอยู่ในบ้าน ผู้คนคิดว่าบ้านจะกลายเป็นสถานที่ต้องคำสาป มีผีเจ้าของบ้านคนก่อนวนเวียนอยู่ในบ้านไงล่ะ"
ผมเองไม่เชื่อเรื่องผีสาง ตอนนี้มีแต่เรื่องเงินอย่างเดียวที่สำคัญ นักเรียนแบบผม การออกมาเช่าอะพาร์ตเม้นต์อยู่เองเป็นเรื่องยากน่าดู
แต่ยังไงเสีย ก่อนทำสัญญาเช่า ผมอยากรู้อย่างหนึ่งเสียก่อน
"หญิงแก่คนนั้นตายยังไงเหรอ" ผมถาม
บิลทอดสายตาไปที่พรมบนพื้นพร้อมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แทบเหมือนคาแรคเตอร์ในการ์ตูน
"เชื่อผมเถอะ คุณไม่อยากรู้หรอก"
ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ยั้งปากไว้ทันพร้อมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ บางทีบิลอาจพูดถูก - ความไม่รู้มันคือความสบายใจอย่างหนึ่ง ผมคงทำใจไม่ได้ถ้าต้องทำอาหารในห้องครัวที่มีคนเคยถูกแทงตาย นอนบนที่นอนที่มีคนเคยถูกฆ่ารัดคอ หรืออาบน้ำในอ่างอาบน้ำที่เคยเต็มไปด้วยเลือดของหญิงชรามาก่อน
ผมจะแค่ทำความสะอาดที่นี่ให้เอี่ยม โดยไม่จำเป็นต้องรู้ถึงรายละเอียดน่าสยองใดๆ จะดีกว่า
ผมเอื้อมมือขวาไปหาบิลอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ "ตกลง"
เราจับมือกัน เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ผมยิ้มตาม.. "ทำไมไม่ซื้อตู้เย็นให้ผมหน่อยล่ะ"
เขาโยนศีรษะไปข้างหลังแล้วหัวเราะแก้เก้อเสียงดัง "รอไว้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสแล้วกันนะ"
สองสามคืนแรกที่อะพาร์ตเมนต์ ผ่านไปอย่างน่าเบื่อ ไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่แล้วเกือบทุกคืนหลังจากนั้น ผมต้องปลอบตัวเองว่าแค่ฝันไป มันเป็นการฝันแบบที่หมอรอนเคยอธิบายให้ฟังว่าเป็นการฝันแบบที่คนฝันขยับตัวไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาต เขาเรียกอาการแบบนั้นด้วยชื่อหรูยาวๆ ที่ผมเองก็จำไม่ได้ และบอกให้ผมลองเลิกนอนหงายดู ผมพยายามเลิกนอนหงาย แต่ทุกครั้งดูเหมือนผมจะกลับไปนอนหงายตลอด และไม่ว่าผมจะพยายามมากแค่ไหน ยายแก่ๆ คนนั้น... จะอยู่ที่นั่นเสมอ ยืนอยู่ที่ตรงปลายเท้าของผม...
อีกไม่นานนัก ผมจะได้รู้ว่าการแค่ได้เห็นเงาของยายแก่ๆ ยืนอยู่ที่ปลายเตียงมันไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก แต่การต้องได้ยินเสียงนี่สิ...
ในสัปดาห์ต่อมา ผมต้องตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงกุกกัก แทบจะเหมือนกับว่ามีใครพยายามทำอะไรเงียบๆ ไม่อยากให้ผมได้ยิน ไม่อยากให้ผมรู้ว่ามีใคร หรืออะไรอยู่ที่นั่น ผมมักได้ยินเสียงเดินในห้องรับแขก เดินไปรอบๆ บ้าน ได้ยินเสียงน้ำไหลแค่ไม่นาน และมันมักเกิดขึ้นเฉพาะกลางดึกเท่านั้น เหมือนกับว่าใครบางคนกำลังดื่มน้ำอยู่
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผมรู้สึกว่าสิ่งนั้นอยากให้ผมรู้ว่ามันอยู่ด้วย และอยากให้รู้ว่ามันหิว..
------------------------------
**ต่อด้านล่างค่ะ ยาวเกินโพสต์ ^^" **
(เรื่องเล่าจากแดนปลาดิบ) ค่าเช่าอะพาร์ตเมนต์ของผมถูกที่สุดในเมือง วันนี้ผมรู้แล้วว่าทำไม - เรื่องแปล
ถ้าอ่านแล้วชอบ สามารถตามไปอ่านตอนอื่นๆ ได้นะคะ ^^
ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้นนะคะ ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่น หรือเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะคะ
มาเริ่มกันเลยค่ะ
----------------------------------------------------------
โพสต์ส่วนมากในเว็บ Craigslist มักไม่ตรงกับความเป็นจริง ผมน่าจะรู้ดี นั่นเป็นความผิดของผมเอง
บิลเดินผ่านประตูเข้ามาในอะพาร์ตเมนต์ในชุดสูทสีดำแปลกๆ เขาตัวอวบอ้วนเต็มชุดสูท ที่คางมีเศษโดนัทหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขากินเป็นมื้อกลางวันติดอยู่
"โทษทีที่มาช้า" เขากล่าวก่อนขยับเข็มขัดใต้พุงให้เข้าที่ “มีเรื่องฉุกเฉินนิดหน่อย”
บิลผมมันเยิ้มดูสภาพซอมซ่อ เขาดูเหมือนพนักงานขายรถที่เต้นท์โทรมๆ มากกว่า โชคไม่ดีเลยที่เขาดันมาเป็นเอเย่นหาบ้านเช่าให้ผม บิลพาผมเดินดูทั่วอะพาร์ตเม้นต์ แน่ล่ะ มันดูเก่าและผุผัง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ฝ้าเพดานบางส่วนจมลง มีเชื้อราขึ้นบนผนังส่งกลิ่นเหม็นอับๆ ไปทั่ว และแน่นอนว่าบรรยากาศก็อบชื้น แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่น่าจะมีราคาที่ถูกแสนถูก ถูกที่สุดในเมืองเลยทีเดียว ต้องมีบางอย่างที่ผมยังไม่รู้แน่ๆ
"อย่างที่คุณเห็น" เขาเดินวนตรงกลางห้องรับแขก กวาดมืออ้วนๆ สองข้างไปรอบๆ "อาจต้องซ่อมนู่นนี่สองสามอย่าง ผนังกับพื้นกระดานลั่นเสียงดังไปนิด ตู้เย็นติดๆ ดับๆ และหลังคารั่วอยู่สองสามจุด"
ผมลูบคางอย่างครุ่นคิด "ฉันคิดเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้วบิล มีบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล อะพาร์ตเม้นต์นี้มันถูกเกินไป
บิลเองก็เริ่มลูบคางบ้าง ปัดเศษขนมจากคางตกลงบนพรมบนพื้นที่อาจจะกลายเป็นพรมของผมในไม่ช้านี้ "ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มสักอย่างสองอย่าง ขัดราดำๆ นี่ออกเสียหน่อย แค่นี้ก็นิ๊งแล้ว"
ผมส่ายหัว "เลิกอ้อมค้อมน่าบิล" ผมจ้องมองเขาอย่างจริงจัง "เคยเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่"
"เอ่อ.." เขาถอนหายใจ ท่าทางมีพิรุธ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเป้งออกจากหน้าผากมันเยิ้ม "มียายแก่คนหนึ่ง... "
ผมผายมือไปที่เก้าอี้เก่าๆ ในห้องรับแขกเป็นสัญญาณให้เขาลงนั่ง
"ถ้าถามคนญี่ปุ่น พวกเขาจะเรียกที่นี่ว่า 'บ้านต้องคำสาป'... ใช่แล้วล่ะ พวกเขาจะเรียกกันแบบนั้น" เขานั่งลง
"ไหน.. อธิบายมา" ผมพูดอย่างใจเย็น
"ที่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในญี่ปุ่น ที่สถานที่แบบนี้จะถูกปล่อยว่างมานานถึง 20 ปี โดยไม่มีใครมาเช่าหลังจากมีคนตายอยู่ในบ้าน ผู้คนคิดว่าบ้านจะกลายเป็นสถานที่ต้องคำสาป มีผีเจ้าของบ้านคนก่อนวนเวียนอยู่ในบ้านไงล่ะ"
ผมเองไม่เชื่อเรื่องผีสาง ตอนนี้มีแต่เรื่องเงินอย่างเดียวที่สำคัญ นักเรียนแบบผม การออกมาเช่าอะพาร์ตเม้นต์อยู่เองเป็นเรื่องยากน่าดู
แต่ยังไงเสีย ก่อนทำสัญญาเช่า ผมอยากรู้อย่างหนึ่งเสียก่อน
"หญิงแก่คนนั้นตายยังไงเหรอ" ผมถาม
บิลทอดสายตาไปที่พรมบนพื้นพร้อมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แทบเหมือนคาแรคเตอร์ในการ์ตูน
"เชื่อผมเถอะ คุณไม่อยากรู้หรอก"
ผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ยั้งปากไว้ทันพร้อมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ บางทีบิลอาจพูดถูก - ความไม่รู้มันคือความสบายใจอย่างหนึ่ง ผมคงทำใจไม่ได้ถ้าต้องทำอาหารในห้องครัวที่มีคนเคยถูกแทงตาย นอนบนที่นอนที่มีคนเคยถูกฆ่ารัดคอ หรืออาบน้ำในอ่างอาบน้ำที่เคยเต็มไปด้วยเลือดของหญิงชรามาก่อน
ผมจะแค่ทำความสะอาดที่นี่ให้เอี่ยม โดยไม่จำเป็นต้องรู้ถึงรายละเอียดน่าสยองใดๆ จะดีกว่า
ผมเอื้อมมือขวาไปหาบิลอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ "ตกลง"
เราจับมือกัน เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ผมยิ้มตาม.. "ทำไมไม่ซื้อตู้เย็นให้ผมหน่อยล่ะ"
เขาโยนศีรษะไปข้างหลังแล้วหัวเราะแก้เก้อเสียงดัง "รอไว้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสแล้วกันนะ"
สองสามคืนแรกที่อะพาร์ตเมนต์ ผ่านไปอย่างน่าเบื่อ ไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่แล้วเกือบทุกคืนหลังจากนั้น ผมต้องปลอบตัวเองว่าแค่ฝันไป มันเป็นการฝันแบบที่หมอรอนเคยอธิบายให้ฟังว่าเป็นการฝันแบบที่คนฝันขยับตัวไม่ได้ เหมือนเป็นอัมพาต เขาเรียกอาการแบบนั้นด้วยชื่อหรูยาวๆ ที่ผมเองก็จำไม่ได้ และบอกให้ผมลองเลิกนอนหงายดู ผมพยายามเลิกนอนหงาย แต่ทุกครั้งดูเหมือนผมจะกลับไปนอนหงายตลอด และไม่ว่าผมจะพยายามมากแค่ไหน ยายแก่ๆ คนนั้น... จะอยู่ที่นั่นเสมอ ยืนอยู่ที่ตรงปลายเท้าของผม...
อีกไม่นานนัก ผมจะได้รู้ว่าการแค่ได้เห็นเงาของยายแก่ๆ ยืนอยู่ที่ปลายเตียงมันไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก แต่การต้องได้ยินเสียงนี่สิ...
ในสัปดาห์ต่อมา ผมต้องตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงกุกกัก แทบจะเหมือนกับว่ามีใครพยายามทำอะไรเงียบๆ ไม่อยากให้ผมได้ยิน ไม่อยากให้ผมรู้ว่ามีใคร หรืออะไรอยู่ที่นั่น ผมมักได้ยินเสียงเดินในห้องรับแขก เดินไปรอบๆ บ้าน ได้ยินเสียงน้ำไหลแค่ไม่นาน และมันมักเกิดขึ้นเฉพาะกลางดึกเท่านั้น เหมือนกับว่าใครบางคนกำลังดื่มน้ำอยู่
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผมรู้สึกว่าสิ่งนั้นอยากให้ผมรู้ว่ามันอยู่ด้วย และอยากให้รู้ว่ามันหิว..
------------------------------
**ต่อด้านล่างค่ะ ยาวเกินโพสต์ ^^" **