ทะเลเกลือ ทะเลสาบสีเลือด ต้นไม้หิน แห่งโบลีเวีย

ทะเลเกลือ ทะเลสาบสีเลือด ต้นไม้หิน แห่งโบลีเวีย

   ถ้าท่านได้เข้ามาอ่านบล็อกของฉันเมื่อเร็ว ๆ นี้  ก็คงจะทราบได้ว่า เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้  เป็นเนื้อหาต่อเนื่องจากการไปท่องอเมริกาใต้ อีกประเทศหนึ่ง  หลังจากได้พาเที่ยว ประเทศเปรู ไปเมื่อบล็อกที่แล้ว บล็อกนี้  ฉันก็จะพาเพื่อน ๆ ชาวบล็อกไปเที่ยวประเทศโบลีเวีย  ดินแดนอันน่าพิสมัยไม่น้อยไปกว่า ประเทศเปรูที่ท่านผู้อ่านได้อ่านผ่านไปแล้วเลยค่ะ 
           วันที่ 7 พ.ค. 58 
           วันนี้ ทุกคนต้องตื่นแต่เช้า เพราะรถที่ว่าจ้างไว้จะมารับเรา ตีห้าครึ่ง  ทางที่พักให้เราทานอาหารเช้า ตีห้า ด้วยขนมปังแห้ง ๆ ก็ต้องกินเพื่อให้ท้องไม่ว่าง   เรามาถึงท่ารถบัส ซึ่งจะออกเดินทางประมาณ 6 โมงเช้า เพื่อเดินทางไปเมืองลาปาซ  ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทาง 4 ชั่วโมง ผ่านด่านขาออกจากด่านเปรู และ ด่านเข้าโบลิเวีย ผ่านไปได้สองชั่วโมง เขาจอดให้เราแลกเงินโบลีเวีย แล้วขึ้นรถต่อไป ถึงจุดชายแดนทำใบผ่านเมืองออกจากประเทศเปรู  คือ ผ่าน ตม.คนเข้าเมืองระหว่างเปรูและโบลีเวีย ตรงนี้ เรามีโอกาสได้ถ่ายรูปเขตแดนรอยต่อระหว่างประเทศด้วย ค่ะ  ลองชมภาพ นะคะ


นั่งรถต่อไปอีกระยะหนึ่ง  ตัวคน ต้องต่อเรือข้ามฟาก ส่วนรถต้องลงแพไป เราไปรอรถอีกฟากหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของโบลิเวียแล้ว



รถบัสพาเราไปถึงเมือง โคปาคาบาน่า  ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แล้ว เราต้องรอรถบัสอีกบริษัทหนึ่ง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง ลาปาซ  ระหว่างรอ เราไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เดินช้อปปิ้งกันแถวนั้น ได้หมวก ได้ ถุงมือกันหนาว  สีสันแสบตาดี ฉันก็ได้หมวกไหมพรมและถุงมือพร้อม สีสันแสบตาไม่น้อย รูปที่ถ่ายมา ไม่ทราบเพื่อนที่ถ่ายให้ปรับผิดปุ่มกลายเป็นสี ขาวดำ  ดีที่โก เห็นก่อนและบอกให้รู้ พร้อมกับปรับเป็นสีให้ใหม่ เลยไม่สวยเท่าที่ควร ห้า ห้า


น่าจะประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ พวกเราก็ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองลาปาซ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศโบลีเวีย  ถือเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ในที่สูง และสูงที่สุดในโลก  คือ สูง 3,600-3650 เมตร ในบางจุด  จากระดับน้ำทะเล อากาศจึงค่อนข้างเย็นมากกว่าที่อื่น ๆ มารู้จักเมืองหลวงแห่งนี้ก่อนจะเจาะลึกเพื่อเที่ยวสถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของประเทศโบลีเวีย ค่ะ 
           เมืองลาปาซ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขาของเทือกเขาแอนดิส เป็นเมืองสูงเทียมเมฆ  มีแม่น้ำชูกียาปูอยู่เบื้องล่างของที่ราบสูงแห่งนี้ ส่วนบนที่เป็นที่ราบสูงนี้ เป็นที่ตั้งของเมือง เอลอัลโต เป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาติด้วย  
            ชื่อของเมืองลาปาซ แปลเป็นภาษาอังกฤษ แปลว่า "สันติภาพ" เมืองหลวงแห่งนี้ ได้รับการขนานนามว่า "ทิเบตแห่งอเมริกา" 
             ความโดดเด่นของเมืองนี้ อยู่ที่โบสถ์สมัยศตวรรษที่ 19 มีพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุจากยุคก่อนการล่าอาณานิคม  มีตลาดที่เรียกว่า ขมังเวทย์ เจือความน่ากลัว แต่คึกคักอยู่กลางใจเมือง  มีการซื้อขาย คาถา มหาเสน่ห์  (ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า ยุคสมัยที่เจริญด้วยเทคโนโลยี ยังมีเรื่อง เวทมนต์คาถา  ยาเสน่ห์ยาแฝดอยู่ด้วนเนอะ อิอิ ไม่เชื่อ อย่าลบหรู่ค่ะ โปรดพิจารณาตามดุลพินิจของตน)
            เมืองหลวงแห่งนี้  ได้รับเลือกจากองค์กร นิวเซเว่นวันเดอร์ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ปี 2557 ให้เป็น 1ใน 7 เมืองมหัศจรรย์ของโลกปัจจุบัน เมืองลาปาซ  จึงกลายเป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือน
            เรามาถึงเมืองลาปาซ ประมาณ 17.30 น.(เวลาที่นี่เร็วกว่า เปรู 1 ชั่วโมง) ลงจากรถบัสแล้ว  เราก็ต้องจ้างรถเท็กซี่ไปส่งที่พัก ระหว่างทางที่ผ่าน มีร้านค้าขายของมากมาย  รถราวิ่งกันขวักไขว่ ดูไม่มีระเบียบ รถก็มากมาย ตรอกซอกซอยเยอะมาก ดูแล้วน่าเวียนหัว 
            เนื่องจากมาถึงเมือลาปาซเป็นเวลาเย็นมากแล้ว   ฉันไม่ได้ไปเที่ยวกับคนอื่น  เดินอยู่แถวบริเวณดอมส์ที่พัก ซื้ออาหารมื้อเย็นมาทานยังห้องพัก  ส่วนหญิงกับติ๋มไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปที่ชมวิว  และเดินที่ตลาดแม่มด  ฉันเลยขอรูปตลาดแม่มดมาฝากท่านผู้อ่านด้วยค่ะ 





ตอนกลับฉันยังหลงทาง ดีที่ฉันนำเอาชื่อ ดอมส์ที่พักไปด้วย ถามคนที่ผ่านไปมา ถามแม่ค้า  กว่าจะเจอที่พัก เล่นเอาเหงื่อตก คนอื่น ๆ ที่ไปเที่ยวก็ได้ข่าวว่าเดินหลงเหมือนกัน เพราะ ซอยที่นี่ หน้าตามันเหมือน ๆ กันทั้งนั้น 
          คืนนี้ เราพักที่  Hotal Sol Andino Aroma St 6,La Paz,Bolivia ตืนนี้ฉัน ติ๋ม และ หญิง อยู่ห้องเดียวกัน     
         วันที่ 8 พ.ค. 58 
          วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ไม่ได้เที่ยวอะไรมากนัก เพราะส่วนใหญ่จะนั่งอยู่ในรถบัสและรถไฟ วันนี้เราออกจากที่พักและขึ้นรถบัสประมาณ 8.00น. เพื่อเดินทางไปเมือง  Oruro ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วต่อด้วยรถไฟ อีก 6 ชั่วโมง เพื่อไปเมือง Uyuni  กว่าจะได้ขึ้นรถไฟ ก็บ่ายสองครึ่งแล้ว  มาชมภาพที่ถ่ายมาฝาก ค่ะ





ระหว่างทางนั่งรถไฟไปเมืองอูยูนิ  เป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม มีทุ่งหญ้า หนองน้ำ นาข้าว  นกประเภทต่าง ๆ  เป็ดน้ำ แหวกว่ายไปในหนองน้ำเพื่อหาอาหารกิน  เป็นธรรมชาติที่แสนจะสดชื่น  ชื่นชมจนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  พวกเราก็จัดการเอาอาหารมื้อเย็นที่ซื้อติดตัวมาทานกัน รถไฟ มีขนมเค้กและน้ำกล่องให้ทาน คนละ 1 ชุด กินมื้อเย็นกัน แล้ว ต่างคนต่างก็หลับตา  พักผ่อนตามอัธยาศัย  อิอิ เพราะเราต้องนั่งรถไฟอีกนานถึง 6 ชั่วโมง 
            เราไปถึงเมือง  อูยูนิ  เป็นเวลา 21.30  น. อากาศก็หนาวเย็น มืดก็มืด ลงจากสถานีรถไฟ ลากกระเป๋ากันไป จิน น่ารักมาก ช่วยหิ้ว เป้ ให้ฉันด้วย  คืนนี้เราพักที่ Hostal Oro Blanco Av.Feovaria n2 6 enter Sucre y Arce,9999 Uyuni. Bolivia  คืนนี้ ฉันนอนกับหญิง 2 คน ตามที่เราขอจองไว้ แพงกว่าคนอื่น  เราก็ยอม เพื่อความสะดวกสบาย


วันที่ 9 พ.ค. 58 
           วันนี้เราซื้อทัวร์ไปเที่ยว เป็นรถแวน นั่งได้ 5 กับ 6 คน ดูเหมือนจะเป็นเงิน 900 ตามสกุลของโบลิเวีย ก่อนรถมารับไปเที่ยว เราก็ไปเดินเที่ยวรอบ ๆ เมือง อูยูนิ  ก่อน  เมืองนี้ ตั้งอยู่ในแคว้น โปโตซี (Potosi) อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3700  เมตร มาดูรูปชมเมือง อูยูนิ ค่ะ 






น่าจะประมาณ 10.30 น. ทัวร์ที่เราซื้อนั้น ก็มารับพวกเรา เป็นรถแวน 2 คัน เดินทางออกจากเมือง อูยูนิ  เพื่อเดินทางไปเมือง San Juan เพื่อไปชม ทะเลเกลือ อูยูนิ (Salar  de Uyuni)  ระหว่างทางรถแวะให้ชมซากรถไฟ ที่พวกล่าอาณานิคมมาทิ้งไว้  เป็นซากเหล็ก ยังมีรางรถไฟไว้ให้เป็นอนุสรณ์เตือนความทรงจำถึงความโหดร้ายในสมัยการล่าอาณานิคม  พวกเราก็เฮโล ไปถ่ายรูปกัน  ตอนนี้ แดดร้อนจัด ไม่ค่อยหนาวแล้ว  ลองชมภาพดูนะคะ



น่าจะชื่นชมซากรถไฟนี้ ประมาณ 20 นาที  ก็ขึ้นรถเดินทางต่อไป คนขับรถค่อนข้างตรงเวลา ทำเวลาเพื่อพาเราไปเที่ยวตามที่วางโปรแกรมไว้  เป้าหมายต่อไป  ก็คือ ทะเลเกลือ ซึ่งเป็นไฮไลท์สถานที่หนึ่งของประเทศโบลีเวีย  เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดและอยู่สูงที่สุดในโลก  เชื่อว่า  ที่แห่งนี้ เคยเป็นทะเลสาบมาก่อน   แต่เมื่อทะเลสาบแห้งไปจึงกลายเป็นทะเลเกลืออย่างที่เรากำลังจะไป  ไฮไลท์อีกอย่าง คือ มีโรงแรมที่สร้างด้วยเกลือ (ไม่รู้สร้างอย่างไร  แต่เราไม่ได้ไปพักหรอก เพราะมันแพงมาก  ฮ่าฮ่า)  
           และแล้ว รถก็พาเรามาถึงทะเลเกลือ  โอ้โฮ ! มันช่างอลังการเหลือจะพรรณนาเลยทีเดียว  เป็นผืนแผ่นดินเกลือที่กว้างไกล  สุดลูกหูลูกตา  ขาวโพลนไปหมด เดินลุยเกลือไป  บางคน  นำเกลือมาทำเป็นภูเขาเตี้ย ๆ ปีนขึ้นไปถ่ายรูป  บริเวณนั้น เขามีรูปปั้น  มีชื่อประเทศให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป  ทุกคนถ่ายรูปกันใหญ่  แอ๊กชั่นตามความถนัดของแต่ละคน  บางคน ปีนป่ายขึ้นไปถ่ายบนรูปปั้น แต่ฉันยืนถ่ายรูปอยู่ด้านล่าง ไม่อยากลำบากกาย อิอิ  ถนอมแรงเอาไว้  มาดูความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์ของทะเลเกลือแห่งนี้ ค่ะ 







จากทะเลเกลือ พวกเราก็มุ่งหน้าเพื่อไปเที่ยวที่ Fish Island  ซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางทะเลเกลือ  ที่นี่จะเหมือนโอเอซีส   บริเวณเกาะแห่งนี้ จะมีต้นตะบองเพชรหลากหลายชนิด ทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่  บางชนิด มีความสูงถึง 8-10 เมตร  เนื่องจากเกาะนี้ มีรูปร่างลักษณะเหมือนปลา  จึงได้ตั้งชื่อว่า  "Fish Island"  ระหว่างทางที่ผ่านไป  จะเห็นทะเลเกลือที่กว้างใหญ่ไพศาล  ขาวโพลนไปหมด ดูเวิ้งว้าง  เหมือนลานหิมะสีขาวแต่แทนที่จะเป็นหิมะ  กลับเป็นเกลือที่ขาว ดูสะอาด บางแห่งมีลวดลายสวยงามเป็นช่วง ๆ  ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ ไม่เสียแรงกับความเหนื่อยยากที่มีโอกาสมาชื่นชม สักครั้งหนึ่งก่อนอำลาจากโลกใบนี้ไป  เขาถึงได้บอกว่า โลกใบนี้  ยังมีสิ่งแปลกใหม่ ที่เราจะได้มีโอกาสเห็นไม่หมดอย่างแน่นอน            เมื่อมาถึงเกาะ  Fish Island  แล้ว  ต้องซื้อบัตรเข้าชมเกาะด้วย ดูเหมือน จะ 30 เหรียญโบลีเวีย และถ้าจะเข้าห้องน้ำที่นี่ ก็ต้องมีบัตรนี้ไปแสดงจึงจะให้เข้าได้  เออ ! เท่ากับบังคับให้ทุกคนต้องซื้อบัตร  ถ้าไม่ซื้อ คุณก็ถ่ายรูปอยู่ด้านล่าง  เดินขึ้นเขาบนเกาะไม่ได้  อิอิ  ฉันกับเพื่อนถ่ายรูปกันข้างล่างก่อน  โก ถ่ายให้ฉัน 2-3 รูป มั้ง แล้วก็ขึ้นเขาไปกับสาว ๆ ที่แข็งแรง  ยังปีนป่ายได้คล่องแคล่ว  ฉันก็ค่อย ๆ เดินขึ้นเขาไป  เขาให้เวลา น่าจะ 1 ชั่วโมงนะ ถ้าจำไม่ผิด  ฉันค่อย ๆไต่เขาขึ้นไป ชมวิว บนเกาะ มองลงไปข้างล่าง  เห็นทะเลสาบน้ำใสสะอาดอยู่เบื้องล่าง  บนเขาเต็มไปด้วยต้นตะบองเพชรขึ้นเขียวขจี  ต้นใหญ่ ๆ ขึ้นสลับซับซ้อน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง  บางช่วงเจอเพื่อน  ก็ให้เขาช่วยถ่ายรูปมุมสูงบนเขาบ้าง  บางช่วงเพื่อนขึ้นเขาไปไกลและฉันคิดว่า  เดินต่อไป คงจะเดินลงมาไม่ทันเวลานัดหมาย  และหนทางที่จะเดินขึ้นไปนั้นค่อนข้างชันมาก ก็เลยชื่นชมอยู่บริเวณนั้น  เจอ ฝรั่งน่ารัก ถ่ายรูปกับแฟนอยู่ ก็ขอให้เขาถ่ายรูปให้ฉันบนเขานั้น ให้ด้านหลังติดทะเลบ้าง ซึ่งเป็นมุมที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายกันมากมาย  ฉันก็ได้รูปสวย ๆ มาหลายรูป มาฝากท่านผู้อ่าน ค่ะ มาชมนะคะ






เมื่อถึงเวลานัดหมาย  พวกเราก็ลงจากเขาบนเกาะ ฉันลงมาเป็นคนแรก  มานั่งรอพรรคพวกหลายนาทีอยู่  เมื่อทุกคนพร้อม  รถก็พาเรากลับที่พัก ซึ่งมีพื้นเป็นเกลือทั้งนั้น  ในห้องนอน พื้นก็เป็นเกลือ  ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมต้องออกมาเข้าห้องน้ำนอกห้องนอน แถมไม่มีกลอนปิดด้วย  อิอิ ดูเหมือนทุกคนซักแห้งกันหมดสำหรับคืนนี้ อิอิ  
            ระหว่างทาง  คนขับรถใจดี  จอดให้เราลงไปถ่ายรูปลวดลายของทะเลเกลือ ซึ่ง แตกลายเป็นบล็อก ๆ แปลกตาดีและเป็นสิ่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่