เราสารภาพว่าเริ่มดูเพราะดารานำ คือชอบต่อ ไอซ์ มากๆ รวมทั้งตัวหนังที่ (เหมือนจะ) พยายามสร้าง theme หนังผีแนวใหม่ขึ้นมา โดยนำมารวมกับขั้วตรงข้ามของความเชื่อ คือใช้การทดลองวิทยาศาสตร์ เพื่อหาว่าผีมีจริงรึเปล่า เพิ่มความวิทย์เข้าไปอีกโดยการให้ตัวละครหลักเป็นหมอ ซึ่งโดยรวม ก็น่าสนใจดี ในการนำเอาวิทยาศาสตร์มาจับกับความเชื่อ
เราค่อนข้างโอเคกับตอนแรกที่เปิดมาด้วยคำถามเรื่องผี ซึ่งคนดูก็ต้องเคยคิดเหมือนกันว่าผีมีจริงรึเปล่า ซึ่งด้วยความที่มันเป็นหนังผี มันไม่มีทางอื่นเลยที่จะตอบว่าการทดลองของสองคนนี้จะออกมาว่าผีไม่มีจริง
ซึ่งมันเหมือนถ้าเราทำการทดลองวิทยาศาสตร์ หรือตั้งสมมติฐานอะไรสักอย่าง หมายความว่าเราต้องคาดเดาอยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาประมาณนี้ๆ จากนั้นทดสอบ hypothesis โดยวิธีการดังต่อไปนี้ หนังพามาในโซนวิทยาศาสตร์ได้ถึงเพียงเท่านี้ ซึ่งน่าเสียดายมากๆ เพราะอุตส่าห์วาง theme เอาไว้แต่ต้นว่าวิทย์ meet ผี ซึ่งในตอนแรกๆที่สองคนนี้เจอผี หนังก็บอกกลายๆแล้วว่า สมมติฐาน (เหมือนจะ) เป็นจริง
เราว่าหนังพาเรามาถึงจุดพีค คือไต่ระดับความดีงามมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่ตัวละครนึงต้องตาย และหลังจากนั้น วิทยาศาสตร์ หรือการทดสอบสมมติฐานกลายเป็นเพียงการถ่ายวีดีโอเก็บไว้ การเขียนบันทึกว่าวันนี้ได้รับการติดต่อกลับมามั๊ย หรือตั้งสมมติฐานต่อไปว่า ถ้าทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ๆแล้วจะเจอผีได้อย่างไร ตอนตัวเอกพูดว่า ลมเจอน้ำกลายเป็นผี เราได้แต่คิดว่า จริงหรอ หรือเป็นแค่พายุเข้าเท่านั้น?
และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์อีกเลย เป็นผีล้วน มันก็เลยกลายเป็นหนังผีเรื่องนึงที่รู้ว่าผีมีจริง และนางโกรธแล้ว เดี๋ยวนางจะมาแล้ว... เหมือนหนังผีเรื่องอื่นๆที่เวลาผีโกรธแล้วผีจะออกมาอาละวาด
นั่นแหละปัญหา มันกลายเป็นหนังผีธรรมดาในช่วงครึ่งหลัง แถมผีหุ่นดีอีก เห้อ
แถมมาเจอปัญหาต่อมาว่า...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อยู่ดีๆนางผีก็เกิดไม่อยากทำการทดลองต่อขึ้นมาแล้วซะงั้น ถ้ามองในแง่ที่ว่า ไม่อยากทำร้ายคนที่อยู่มากไปกว่านี้ ก็เชื่อไม่ลงเท่าไหร่ เพราะตอนยังไม่ตาย หนังไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าตัวละครห่วงใยใส่ใจคนที่อยู่รอบๆมากขนาดนั้น เลยงงว่าตายไปแล้วจะเกิดสำนึกรักอะไรขึ้นมา ไม่ทงไม่ทำละการทดลอง พิมพ์ยาวพรืดว่า TELL HER THE TRUTH ตั้งหลายบรรทัด บอกหน่อยได้ป่ะล่ะว่าทำไม หรือกลัวผู้หญิงน้อยใจไปมากกว่านี้? หรือยังไง แต่รอการทดลองจบค่อยบอกก็ได้นี่นา ดูไปก็ถามตัวเองไป
ฉากที่ชอบก็มีนะ ชอบซีนพี่สู่ขวัญ ชอบคำพูดและเสียงที่แกพูด อีกอันคือฉาก CPR หลายคนอาจไม่อิน แต่เราว่ามันซึ้งใช้ได้อยู่ อันนี้เป็นความชอบส่วนบุคคลจริงๆ
น้องต่อเล่นดีอย่างที่คิด น้องไอซ์ก็เพลินๆ six pack 555 น้องณิชาก็เล่นดี คนนี้เกินคาด
สรุปโดยรวมก็ดูเพลินๆดี แต่ไม่ได้ประทับใจตรึงตราว้าวซ่าอะไร หรือเราตั้งความหวังมากไปก็ไม่รู้ ส่วนตอนจบก็ตอกย้ำไปอีก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ... ว่านี่เป็นหนังผีเฉยๆ ไม่ได้แปลกใหม่อะไร
Ghost Lab หนังดีที่ยังไม่สุด (ไม่สปอยล์)
เราค่อนข้างโอเคกับตอนแรกที่เปิดมาด้วยคำถามเรื่องผี ซึ่งคนดูก็ต้องเคยคิดเหมือนกันว่าผีมีจริงรึเปล่า ซึ่งด้วยความที่มันเป็นหนังผี มันไม่มีทางอื่นเลยที่จะตอบว่าการทดลองของสองคนนี้จะออกมาว่าผีไม่มีจริง
ซึ่งมันเหมือนถ้าเราทำการทดลองวิทยาศาสตร์ หรือตั้งสมมติฐานอะไรสักอย่าง หมายความว่าเราต้องคาดเดาอยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาประมาณนี้ๆ จากนั้นทดสอบ hypothesis โดยวิธีการดังต่อไปนี้ หนังพามาในโซนวิทยาศาสตร์ได้ถึงเพียงเท่านี้ ซึ่งน่าเสียดายมากๆ เพราะอุตส่าห์วาง theme เอาไว้แต่ต้นว่าวิทย์ meet ผี ซึ่งในตอนแรกๆที่สองคนนี้เจอผี หนังก็บอกกลายๆแล้วว่า สมมติฐาน (เหมือนจะ) เป็นจริง
เราว่าหนังพาเรามาถึงจุดพีค คือไต่ระดับความดีงามมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่ตัวละครนึงต้องตาย และหลังจากนั้น วิทยาศาสตร์ หรือการทดสอบสมมติฐานกลายเป็นเพียงการถ่ายวีดีโอเก็บไว้ การเขียนบันทึกว่าวันนี้ได้รับการติดต่อกลับมามั๊ย หรือตั้งสมมติฐานต่อไปว่า ถ้าทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ๆแล้วจะเจอผีได้อย่างไร ตอนตัวเอกพูดว่า ลมเจอน้ำกลายเป็นผี เราได้แต่คิดว่า จริงหรอ หรือเป็นแค่พายุเข้าเท่านั้น?
และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์อีกเลย เป็นผีล้วน มันก็เลยกลายเป็นหนังผีเรื่องนึงที่รู้ว่าผีมีจริง และนางโกรธแล้ว เดี๋ยวนางจะมาแล้ว... เหมือนหนังผีเรื่องอื่นๆที่เวลาผีโกรธแล้วผีจะออกมาอาละวาด
นั่นแหละปัญหา มันกลายเป็นหนังผีธรรมดาในช่วงครึ่งหลัง แถมผีหุ่นดีอีก เห้อ
แถมมาเจอปัญหาต่อมาว่า...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฉากที่ชอบก็มีนะ ชอบซีนพี่สู่ขวัญ ชอบคำพูดและเสียงที่แกพูด อีกอันคือฉาก CPR หลายคนอาจไม่อิน แต่เราว่ามันซึ้งใช้ได้อยู่ อันนี้เป็นความชอบส่วนบุคคลจริงๆ
น้องต่อเล่นดีอย่างที่คิด น้องไอซ์ก็เพลินๆ six pack 555 น้องณิชาก็เล่นดี คนนี้เกินคาด
สรุปโดยรวมก็ดูเพลินๆดี แต่ไม่ได้ประทับใจตรึงตราว้าวซ่าอะไร หรือเราตั้งความหวังมากไปก็ไม่รู้ ส่วนตอนจบก็ตอกย้ำไปอีก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ... ว่านี่เป็นหนังผีเฉยๆ ไม่ได้แปลกใหม่อะไร