คำนำ
1. สุวรรณภูมิ คือเมืองเคดาห์โบราณ ไม่ใช่ดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
คำว่า “สุวรรณภูมิ”ควรจะสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า Suvarnabhumไม่ควรต่อท้ายด้วยสระ i ตามที่ชาวต่างชาติบัญญัติคำศัพท์นี้ขึ้นมาจากคัมภีร์ชาดกภาษาบาลี-สันสกฤตของอินเดียแต่โบราณ เนื่องจากมิได้ออกเสียงว่า mi หลังคำศัพท์นี้คำว่า สุวรรณภูมิ มิได้มีอยู่จริงในความหมายของดินแดนในภาคกลางหรือที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเป็นการอุปโลกน์กันไปเองของนักประวัติศาสตร์ของไทยเราด้วยความเข้าใจผิด และมีการสั่งสอนให้คนไทยเชื่อว่าคือดินแดนในที่ราบภาคกลางหรือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า สุวรรณภูมิ ตามคัมภีร์ชาดกโบราณของทางอินเดียและศรีลังกานั้นเป็นการเรียกชื่อเมืองท่าเคดาห์โบราณ เท่านั้น เพราะตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาลนั้น มีการขนถ่ายทองคำซึ่งเป็นสินแร่อันล้ำค่า ที่ถลุงได้จากบริเวณคาบสมุทรมลายู จากนั้นจึงจะนำทองคำมาขึ้นที่ท่าเรือเมืองนี้เพื่อขนส่งต่อกลับไปยังอินเดียหรือศรีลังกา คำว่า สุวรรณภูมินี้ จึงมิได้มีความหมายถึงดินแดนตามรูปศัพท์แต่อย่างใด สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการตีความหมายของคำนี้ผิดไป เพราะนักประวัติศาสตร์เอาคำนี้ไปโยงกันกับคำในภาษาจีนที่ว่า กิมหลิน หรือจินหลิน(Chin-lin) ทั้งที่ความหมายของคำ กิมหลิน หรือจินหลินนี้ ก็มิได้แปลว่าดินแดนทองหรือสุวรรณภูมิ แต่มีความหมายว่า ขอบเขต หรืออาณาเขต หรือ พรมแดนทอง(Frontier of Gold)ซึ่งจากการค้นคว้าพบว่าคือเมืองเวียงสระโบราณในจ.สุราษฎร์ธานี
สาเหตุเหล่านี้ล้วนเป็นความผิดพลาดของการตีความที่เป็นมาในอดีตนับตั้งแต่มีการศึกษาถึงคำๆนี้ และยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้เช่นกัน สมควรจะได้รับการแก้ไขและทำความเข้าใจกันเสียใหม่เพื่อให้เกิดความกระจ่าง การศึกษาประวัติศาสตร์ยุคโบราณของไทยเราจึงจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้โดยสอดคล้องกับเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
2. อู่ทองมิใช่ศูนย์กลางของอาณาจักรสุวรรณภูมิ
ในปีพ.ศ. 2507 ทางกรมศิลปากรได้เชิญศาสตราจารย์ ชอง บัวเซลิเยร์ (Prof. Jean Bosselier) แห่งมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส มาช่วยสำรวจโบราณวัตถุสถานในประเทศไทย การสำรวจดำเนินไปปีละ 4 เดือน เป็นเวลา 3 ปี คือในพ.ศ. 2507, 2508 และ2509 ผลการสำรวจขุดค้นมีหลายข้อ แต่มีอยู่ข้อความหนึ่งที่เป็นข้อสรุปในหนังสือ “สุวัณณภูมิ” , ธนิต อยู่โพธิ์ ในหน้า 60 ว่า
“ ท่านศาสตราจารย์ ชอง บัวเซลิเยร์ระบุถึงราชธานีของสุวัณณภูมิไว้ว่า เท่าที่ทราบจากหลักฐานต่างๆกันทางด้านประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าคิดว่าเมืองอู่ทองคงเป็นเมืองสุพรรณบุรีเมืองแรก คือเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรสุวรรณภูมิ และเขตแดนทางด้านตะวันตกของอาณาจักรนี้ (คือทางทิศตะวันตกของอาณาจักรฟูนัน) ก็ตรงกับ“เขตทอง” หรือ “จินหลิน” (Chin-lin) ของนักประวัติศาสตร์จีนนั่นเอง และท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ให้ข้อสันนิษฐานว่า ในครั้งนั้นเมืองอู่ทองเป็นเมืองสำคัญทางการเมืองและการปกครอง แต่นครปฐมเป็นเมืองสำคัญในทางศาสนา”
ประโยคนี้ทำให้เกิดการสรุปและยอมรับอย่างกว้างขวางว่า สุวรรณภูมิเป็นดินแดนในที่ราบภาคกลางหรือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีศูนย์กลางที่เมืองอู่ทองซึ่งสรุปว่าเป็นราชธานีของอาณาจักรสุวรรณภูมิ และตรงกับคำในภาษาจีนว่า “จินหลิน” ข้อความนี้มีการยอมรับและนำเสนอกันในหนังสืออื่นๆอีกหลายๆเล่ม จากนักประวัติศาสตร์ของไทยที่ศึกษาเรื่องนี้กันในสมัยนั้น ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงนั้น คำว่า “จินหลิน”แปลว่า เขตทองหรืออาณาเขตทอง (Frontier of Gold) มิได้แปลว่าดินแดนทอง หรือ สุวรรณภูมิ แต่อย่างใด ท่านผู้รู้ให้ข้อมูลมาว่า คำว่าดินแดนทองจะตรงกับคำในภาษาจีนว่า “จินเจียง” แต่คำว่าจินเจียงนี้มิได้มีปรากฏในบันทึกใดๆของจีน แต่จีนกลับบันทึกเรียกชื่อแคว้นหนึ่งในทักษิณรัฐของไทยว่า จินหลิน ซึ่งชาวจีนรู้จักคุ้นเคยและเข้ามาติดต่อค้าขายด้วยนับตั้งแต่ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 8 ดังปรากฏอยู่ในบันทึกของราชทูตจีน “คังไถ”ซึ่งเข้ามาเยือนอาณาจักรฟูนันในระหว่างพ.ศ. 788-793 บันทึกกล่าวว่า จินหลินเป็นแหล่งแร่เงินอันเป็นทรัพยากรสำคัญ ชาวเมืองยังมีอาชีพจับคล้องช้างที่มีอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของชาวจินหลิน ถ้าได้ช้างเป็นก็นำมาขี่ เมื่อช้างตายก็ถอดเอางา” ประโยคเหล่านี้นั้น ระบุไว้โดย ศ. พอล วีทลีย์ในหนังสือThe Golden Khersonese ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่วางตำแหน่งของจินหลินไว้ที่ปากอ่าวสยาม (Bangkok Bight) แต่ก็ยอมรับว่าในลุ่มน้ำสยามนี้ไม่ใช่แหล่งแร่เงินแต่กลับไปนำเสนอว่า แร่เงินคงนำล่องลงมาขายจากรัฐฉาน (ประเทศเมียนมา) ผ่านดินแดนล้านนาลงมาสู่เมืองท่าในอ่าวสยาม??
ข้อมูลที่ถูกนำเสนอดังกล่าวข้างต้นนั้น ทั้งข้อสรุปของศ.บัวเซลิเยร์และศ. วีทลีย์ นับว่าเป็นข้อผิดพลาดและขัดแย้งกับบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับแคว้น จินหลิน และเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปทำให้มีการยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า จินหลินคือดินแดนทองหรือสุวรรณภูมิ และอยู่ในที่ราบภาคกลางของไทย ในข้อเท็จจริงนั้นจินหลินจะต้องมีบ่อแร่เงินอันเป็นทรัพยากรที่ติดอยู่ในพื้นที่ ดังนั้นลุ่มเจ้าพระยาในภาคกลางจะเป็นจินหลินไปไม่ได้ และเช่นเดียวกัน สุวรรณภูมิจะต้องสัมพันธ์กับการค้นพบทองคำหรือเกี่ยวเนื่องกันกับแหล่งแร่ทองคำ คำว่าสุวรรณภูมิจึงไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างใดกับที่ราบภาคกลางหรือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเป็นการโยงคำกันไปเองของนักประวัติศาสตร์ดังที่ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
หลักฐานเรื่องเมืองสุวรรณปุระ(สุวรรณภูมิ) จากทางศรีลังกา
ตำนานสุวรรณปุรวงศ์ ซึ่งภิกษุศรีลังกาจดไว้มีว่า จักรวรรดิสุวรรณปุระตั้งขึ้นโดยเจ้าชายสุมิตรแห่งเมารยวงศ์ ได้เสด็จตามพระนางสังฆมิตตาเถรีพระมารดาผู้เป็นธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช(พ.ศ. 270-311)ในสมัยนั้นพระนางสังฆมิตตาเถรีได้นำกิ่งศรีมหาโพธิ์มาสู่ศรีลังกา และภายหลังเจ้าชายสุมิตรได้นำกิ่งศรีมหาโพธิ์ไปประดิษฐานไว้ที่ กรุงสุวรรณปุระ (คือเมืองสุวรรณภูมิในรัฐเคดาห์)และได้เป็นปฐมกษัตริย์ของเมารยวงศ์ (คือราชวงศ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช) ครองราชย์อยู่ ณ เมืองสุวรรณภูมิ(ยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์มหาโพธิวงศ์ด้วย)ในบันทึกของทางศรีลังกาในคัมภีร์ชาดกชื่อ “สิงหลวัตถุปกรณ์” ในสมัยของพระเจ้าสัทธาติสสะ พ.ศ. 406-424 มีชาดกเรื่องของ มหาเทวะ ผู้ซึ่งจะมานำเอาทองคำจำนวนมากจาก สุวรรณภูมิ ไปสร้างพระสถูปทองคำถวายแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และอีกเรื่องกล่าวถึงการมานำเอาทองคำจากสุวรรณภูมิของช่างทองที่ชื่อ กุนตะ เพื่อนำไปชดใช้คืนแก่พระราชา ดังนั้นบริเวณที่มานำเอาทองคำควรเป็นท่าเรือที่เมืองเคดาห์และจะต้องใช้เส้นทางลำเลียงทองคำ (trans peninsular route) มาจากทางฝั่งอ่าวไทยบริเวณเหมืองทองคำที่นราธิวาส,กลันตัน,ไปจนจดรัฐปาหังในประเทศมาเลเซีย
บันทึกเรื่องของเมืองสุวรรณภูมิ (Fu-kan-tu-lu) ตามจดหมายเหตุจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นพงศาวดารจีน เฉียนฮั่นชู (Chien Han Shu) ระบุว่าในพ.ศ.544-548 มีการเดินทางของหัวหน้าล่ามจากกรมขันที (The Department of Eunuchs) นำคณะทูตเดินทางไปยังประเทศอินเดีย (จีนเรียกฮวงจื้อ) ผ่านคาบสมุทรทางภาคใต้ของไทยไปตามหาสิ่งของหายาก อาทิ เครื่องแก้ว, อัญมณี ฯลฯ เพื่อแลกกับทองคำและผ้าไหมของจีน บันทึกกล่าวว่าบรรดาเมืองที่คณะของกรมขันทีแวะพักล้วนส่งบรรณาการไปจีนแล้วตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ วู (Wu) ซึ่งครองราชย์ในช่วงปีพ.ศ. 402-456 Harrison ระบุว่า กองเรือจีนถูกส่งมายังทะเลใต้แล้ว ในช่วงพ.ศ.427-433 (Brian Harrison,1967 : 10) บันทึกการเดินทางของคณะทูตกรมขันทีกล่าวว่าเดินทางเรือจาก จิหนาน, ซูเวิน, และฮูโป(อยู่ในจีนทั้งหมด) ในระยะ 5 เดือนมายังตู้หยวน (Tu-yuan, เวียดนาม) และอีก 4 เดือนมายัง อี้หลูม้อ (I-lu-mo, หรือ จูโหล่วมี่ คือจามปาตามชื่อ จุฬนีพรหมทัตในตำนานพระธาตุพนม) แล่นใบไปอีกราว 21 วัน ถึงประเทศ เฉินหลี (Shen-li) เดินเท้าข้ามคาบสมุทรอีกกว่า 10 วัน มีประเทศ ฟูกานตูลู (Fu-kan-tu-lu) และต่อเรือไปอีก 2 เดือนเศษถึง ฮวงจื้อ(อินเดีย)
ข้อมูลเหล่านี้มาจาก พอล วีทลีย์ ในหนังสือ The Golden Khersonese, p.8-9 ซึ่งศ.วีทลีย์ให้ทัศนะว่า คณะทูตเดินทางบกจากบริเวณอ่าวไทย (ตามแผนที่ในหนังสือThe Golden Khersonese) ข้ามไปยังอ่าวเมาะตะมะ แล้วจึงเดินเรืออีก 2 เดือนไปอินเดีย ......ความเห็นนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะการเดินทางบกข้ามเทือกเขาตะนาวศรีเป็นความคิดเห็นของศ.วีทลีย์ เท่านั้น และนักประวัติศาสตร์ของไทยเราก็เห็นคล้อยตามนี้ แต่ในความเป็นจริงบริเวณนี้ในสมัยนั้นไม่มีเมืองท่าเรือใดๆอยู่เลย การจะเดินทางข้ามคาบสมุทรจะต้องมีท่าเรืออยู่ทั้งสองฝั่ง หนังสือ ทาริค ปัตตานี (Tarikh Petani) หรือประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีกล่าวไว้ว่า ลังกาสุกะ(ยะรัง,ปัตตานี) กำเนิดตั้งแต่ก่อนสมัยคริสตกาล ดังนั้นที่ควรเป็นไปได้คือ คณะทูตมาขึ้นที่ท่าเรือเมืองลังกาสุกะ(เฉินหลีคือเมืองยะรัง) แล้วเดินบกข้ามคาบสมุทรมลายูไปยังเมืองสุวรรณภูมิ(จีนเรียกฟูกานตูลู) หรือ ซึ่งมีมาก่อนแล้วและมีบันทึกในตำนาน สุวรรณปุรวงศ์ของทางศรีลังกา ประพันธ์ขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามหาเสนะ (พ.ศ.819-846) เรียกสุวรรณภูมิในชื่อของเมืองสุวรรณปุระ แต่การเดินทางบกนั้นต้องใช้เวลามากกว่า 10 วันอีกเป็นหลายเท่า ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าชายสุมิตรและสุวรรณปุระก็ดูจะมีน้ำหนักสอด คล้องกับข้อเท็จจริง แต่ในสมัยนั้นคงเป็นแค่ท่าเรือเล็กๆหรือ way stationคือท่าเรือจอดพักค้าขาย และต่อมา ในราวพุทธศตวรรษที่ 7 จึงเกิดเป็นเมืองใหญ่ขึ้นทั้ง 2 ฟากฝั่งทะเล นอกจากนั้นควรสังเกตว่าชื่อเมือง ฟูกานตูลู ตามบันทึกจีนนั้น มาจากคำ สุวรรณภูมิ นั่นเอง (ฟูกาน =สุวรรณ, ตูลู=ภูมิ)
บทวิเคราะห์การเดินทางของคณะทูตจากกรมขันที
บันทึกในจดหมายเหตุจีนที่ส่งเรือมาค้าขายทางทะเลใต้นั้น Brian Harrison อ้างหลักฐานจากจดหมายเหตุจีนระบุว่า กองเรือของจีนถูกส่งมาติดต่อค้าขายกับหมู่เกาะทะเลใต้ในช่วงพ.ศ.427-433 (Brian Harrison, 1967 : 10) ส่วนเรื่องคณะทูตจากกรมขันทีที่เดินทางไปประเทศอินเดียตกในราวปีพ.ศ.544-548 บันทึกระบุว่าชาวพื้นเมืองในประเทศทางทะเลใต้รู้จักชาวจีนกันมาตั้งแต่ก่อนปีพ.ศ. 544 แล้ว ตามบันทึกของคณะทูตบอกว่าทุกเมืองที่เดินทางไปถึง ให้การต้อนรับรวมถึงอาหารการกินและยังอำนวยความสะดวกในการเดินทางเป็นอย่างดี แสดงว่าพวกชาวทะเลใต้เป็นผู้เจริญแล้ว เมืองยะรังกับเคดาห์เป็นเมืองท่าที่ควรจะอยู่ตรงนี้จริง มิใช่ไปขึ้นบกแถวแม่กลองแล้วเดินป่าข้ามเทือกเขาตะนาวศรีไปถึงอ่าวเมาะตะมะตามแผนที่ของ ศ. วีทลีย์ ซึ่งไม่มีเมืองท่าใดๆเลย แล้วพุทธศตวรรษที่ 7 คือต่อมาอีก 100 ปีจะเกิดมีเมืองท่าที่เติบโตขึ้นซึ่งทางแม่กลองและเมาะตะมะไม่มี เพราะเป็นที่รกร้างไร้ผู้คนหรือผู้คนเบาบาง เมืองที่ว่านี้ก็ควรอยู่ที่เมืองยะรัง(เตี๋ยนซุน) กับสุวรรณภูมิหรือสุวรรณปุระคือเมืองเคดาห์ นับเป็นความเห็นตามหลักฐานที่สืบค้นมาได้ ซึ่งไปขัดกับทางนักประวัติศาสตร์ของไทยเราที่ไปเชื่อตามศ. พอล วีทลีย์มาโดยตลอด เส้นทางระหว่างเคดาห์และเมืองยะรังนี้นี้ ต่อมาในสมัยที่แคว้นเตี๋ยนซุน(คือเมืองยะรัง) ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 8ตามบันทึกของทูตคังไถนั้น ก็ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าที่เชื่อมระหว่างฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เมืองชิวชีหรือคูหลี (เคดาห์) ยังเป็นเมืองท่าที่ราชทูตฟูนันชื่อ ซูวู (Su-wu) มาต่อเรือเพื่อเดินทางไปเจริญไมตรีกับประเทศอินเดียในราวปีพ.ศ. 783-787 (ดูราย ละเอียดจากหนังสือ“อาณาจักรศรีวิชัยที่ไชยา”,หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี : 19)
สุวรรณภูมิคือ เคดาห์โบราณ
1. สุวรรณภูมิ คือเมืองเคดาห์โบราณ ไม่ใช่ดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
คำว่า “สุวรรณภูมิ”ควรจะสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า Suvarnabhumไม่ควรต่อท้ายด้วยสระ i ตามที่ชาวต่างชาติบัญญัติคำศัพท์นี้ขึ้นมาจากคัมภีร์ชาดกภาษาบาลี-สันสกฤตของอินเดียแต่โบราณ เนื่องจากมิได้ออกเสียงว่า mi หลังคำศัพท์นี้คำว่า สุวรรณภูมิ มิได้มีอยู่จริงในความหมายของดินแดนในภาคกลางหรือที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเป็นการอุปโลกน์กันไปเองของนักประวัติศาสตร์ของไทยเราด้วยความเข้าใจผิด และมีการสั่งสอนให้คนไทยเชื่อว่าคือดินแดนในที่ราบภาคกลางหรือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า สุวรรณภูมิ ตามคัมภีร์ชาดกโบราณของทางอินเดียและศรีลังกานั้นเป็นการเรียกชื่อเมืองท่าเคดาห์โบราณ เท่านั้น เพราะตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาลนั้น มีการขนถ่ายทองคำซึ่งเป็นสินแร่อันล้ำค่า ที่ถลุงได้จากบริเวณคาบสมุทรมลายู จากนั้นจึงจะนำทองคำมาขึ้นที่ท่าเรือเมืองนี้เพื่อขนส่งต่อกลับไปยังอินเดียหรือศรีลังกา คำว่า สุวรรณภูมินี้ จึงมิได้มีความหมายถึงดินแดนตามรูปศัพท์แต่อย่างใด สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการตีความหมายของคำนี้ผิดไป เพราะนักประวัติศาสตร์เอาคำนี้ไปโยงกันกับคำในภาษาจีนที่ว่า กิมหลิน หรือจินหลิน(Chin-lin) ทั้งที่ความหมายของคำ กิมหลิน หรือจินหลินนี้ ก็มิได้แปลว่าดินแดนทองหรือสุวรรณภูมิ แต่มีความหมายว่า ขอบเขต หรืออาณาเขต หรือ พรมแดนทอง(Frontier of Gold)ซึ่งจากการค้นคว้าพบว่าคือเมืองเวียงสระโบราณในจ.สุราษฎร์ธานี
สาเหตุเหล่านี้ล้วนเป็นความผิดพลาดของการตีความที่เป็นมาในอดีตนับตั้งแต่มีการศึกษาถึงคำๆนี้ และยังเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้เช่นกัน สมควรจะได้รับการแก้ไขและทำความเข้าใจกันเสียใหม่เพื่อให้เกิดความกระจ่าง การศึกษาประวัติศาสตร์ยุคโบราณของไทยเราจึงจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้โดยสอดคล้องกับเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
2. อู่ทองมิใช่ศูนย์กลางของอาณาจักรสุวรรณภูมิ
ในปีพ.ศ. 2507 ทางกรมศิลปากรได้เชิญศาสตราจารย์ ชอง บัวเซลิเยร์ (Prof. Jean Bosselier) แห่งมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส มาช่วยสำรวจโบราณวัตถุสถานในประเทศไทย การสำรวจดำเนินไปปีละ 4 เดือน เป็นเวลา 3 ปี คือในพ.ศ. 2507, 2508 และ2509 ผลการสำรวจขุดค้นมีหลายข้อ แต่มีอยู่ข้อความหนึ่งที่เป็นข้อสรุปในหนังสือ “สุวัณณภูมิ” , ธนิต อยู่โพธิ์ ในหน้า 60 ว่า
“ ท่านศาสตราจารย์ ชอง บัวเซลิเยร์ระบุถึงราชธานีของสุวัณณภูมิไว้ว่า เท่าที่ทราบจากหลักฐานต่างๆกันทางด้านประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าคิดว่าเมืองอู่ทองคงเป็นเมืองสุพรรณบุรีเมืองแรก คือเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรสุวรรณภูมิ และเขตแดนทางด้านตะวันตกของอาณาจักรนี้ (คือทางทิศตะวันตกของอาณาจักรฟูนัน) ก็ตรงกับ“เขตทอง” หรือ “จินหลิน” (Chin-lin) ของนักประวัติศาสตร์จีนนั่นเอง และท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ให้ข้อสันนิษฐานว่า ในครั้งนั้นเมืองอู่ทองเป็นเมืองสำคัญทางการเมืองและการปกครอง แต่นครปฐมเป็นเมืองสำคัญในทางศาสนา”
ประโยคนี้ทำให้เกิดการสรุปและยอมรับอย่างกว้างขวางว่า สุวรรณภูมิเป็นดินแดนในที่ราบภาคกลางหรือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีศูนย์กลางที่เมืองอู่ทองซึ่งสรุปว่าเป็นราชธานีของอาณาจักรสุวรรณภูมิ และตรงกับคำในภาษาจีนว่า “จินหลิน” ข้อความนี้มีการยอมรับและนำเสนอกันในหนังสืออื่นๆอีกหลายๆเล่ม จากนักประวัติศาสตร์ของไทยที่ศึกษาเรื่องนี้กันในสมัยนั้น ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงนั้น คำว่า “จินหลิน”แปลว่า เขตทองหรืออาณาเขตทอง (Frontier of Gold) มิได้แปลว่าดินแดนทอง หรือ สุวรรณภูมิ แต่อย่างใด ท่านผู้รู้ให้ข้อมูลมาว่า คำว่าดินแดนทองจะตรงกับคำในภาษาจีนว่า “จินเจียง” แต่คำว่าจินเจียงนี้มิได้มีปรากฏในบันทึกใดๆของจีน แต่จีนกลับบันทึกเรียกชื่อแคว้นหนึ่งในทักษิณรัฐของไทยว่า จินหลิน ซึ่งชาวจีนรู้จักคุ้นเคยและเข้ามาติดต่อค้าขายด้วยนับตั้งแต่ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 8 ดังปรากฏอยู่ในบันทึกของราชทูตจีน “คังไถ”ซึ่งเข้ามาเยือนอาณาจักรฟูนันในระหว่างพ.ศ. 788-793 บันทึกกล่าวว่า จินหลินเป็นแหล่งแร่เงินอันเป็นทรัพยากรสำคัญ ชาวเมืองยังมีอาชีพจับคล้องช้างที่มีอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของชาวจินหลิน ถ้าได้ช้างเป็นก็นำมาขี่ เมื่อช้างตายก็ถอดเอางา” ประโยคเหล่านี้นั้น ระบุไว้โดย ศ. พอล วีทลีย์ในหนังสือThe Golden Khersonese ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่วางตำแหน่งของจินหลินไว้ที่ปากอ่าวสยาม (Bangkok Bight) แต่ก็ยอมรับว่าในลุ่มน้ำสยามนี้ไม่ใช่แหล่งแร่เงินแต่กลับไปนำเสนอว่า แร่เงินคงนำล่องลงมาขายจากรัฐฉาน (ประเทศเมียนมา) ผ่านดินแดนล้านนาลงมาสู่เมืองท่าในอ่าวสยาม??
ข้อมูลที่ถูกนำเสนอดังกล่าวข้างต้นนั้น ทั้งข้อสรุปของศ.บัวเซลิเยร์และศ. วีทลีย์ นับว่าเป็นข้อผิดพลาดและขัดแย้งกับบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับแคว้น จินหลิน และเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปทำให้มีการยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า จินหลินคือดินแดนทองหรือสุวรรณภูมิ และอยู่ในที่ราบภาคกลางของไทย ในข้อเท็จจริงนั้นจินหลินจะต้องมีบ่อแร่เงินอันเป็นทรัพยากรที่ติดอยู่ในพื้นที่ ดังนั้นลุ่มเจ้าพระยาในภาคกลางจะเป็นจินหลินไปไม่ได้ และเช่นเดียวกัน สุวรรณภูมิจะต้องสัมพันธ์กับการค้นพบทองคำหรือเกี่ยวเนื่องกันกับแหล่งแร่ทองคำ คำว่าสุวรรณภูมิจึงไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างใดกับที่ราบภาคกลางหรือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเป็นการโยงคำกันไปเองของนักประวัติศาสตร์ดังที่ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
หลักฐานเรื่องเมืองสุวรรณปุระ(สุวรรณภูมิ) จากทางศรีลังกา
ตำนานสุวรรณปุรวงศ์ ซึ่งภิกษุศรีลังกาจดไว้มีว่า จักรวรรดิสุวรรณปุระตั้งขึ้นโดยเจ้าชายสุมิตรแห่งเมารยวงศ์ ได้เสด็จตามพระนางสังฆมิตตาเถรีพระมารดาผู้เป็นธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช(พ.ศ. 270-311)ในสมัยนั้นพระนางสังฆมิตตาเถรีได้นำกิ่งศรีมหาโพธิ์มาสู่ศรีลังกา และภายหลังเจ้าชายสุมิตรได้นำกิ่งศรีมหาโพธิ์ไปประดิษฐานไว้ที่ กรุงสุวรรณปุระ (คือเมืองสุวรรณภูมิในรัฐเคดาห์)และได้เป็นปฐมกษัตริย์ของเมารยวงศ์ (คือราชวงศ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช) ครองราชย์อยู่ ณ เมืองสุวรรณภูมิ(ยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์มหาโพธิวงศ์ด้วย)ในบันทึกของทางศรีลังกาในคัมภีร์ชาดกชื่อ “สิงหลวัตถุปกรณ์” ในสมัยของพระเจ้าสัทธาติสสะ พ.ศ. 406-424 มีชาดกเรื่องของ มหาเทวะ ผู้ซึ่งจะมานำเอาทองคำจำนวนมากจาก สุวรรณภูมิ ไปสร้างพระสถูปทองคำถวายแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และอีกเรื่องกล่าวถึงการมานำเอาทองคำจากสุวรรณภูมิของช่างทองที่ชื่อ กุนตะ เพื่อนำไปชดใช้คืนแก่พระราชา ดังนั้นบริเวณที่มานำเอาทองคำควรเป็นท่าเรือที่เมืองเคดาห์และจะต้องใช้เส้นทางลำเลียงทองคำ (trans peninsular route) มาจากทางฝั่งอ่าวไทยบริเวณเหมืองทองคำที่นราธิวาส,กลันตัน,ไปจนจดรัฐปาหังในประเทศมาเลเซีย
บันทึกเรื่องของเมืองสุวรรณภูมิ (Fu-kan-tu-lu) ตามจดหมายเหตุจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นพงศาวดารจีน เฉียนฮั่นชู (Chien Han Shu) ระบุว่าในพ.ศ.544-548 มีการเดินทางของหัวหน้าล่ามจากกรมขันที (The Department of Eunuchs) นำคณะทูตเดินทางไปยังประเทศอินเดีย (จีนเรียกฮวงจื้อ) ผ่านคาบสมุทรทางภาคใต้ของไทยไปตามหาสิ่งของหายาก อาทิ เครื่องแก้ว, อัญมณี ฯลฯ เพื่อแลกกับทองคำและผ้าไหมของจีน บันทึกกล่าวว่าบรรดาเมืองที่คณะของกรมขันทีแวะพักล้วนส่งบรรณาการไปจีนแล้วตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ วู (Wu) ซึ่งครองราชย์ในช่วงปีพ.ศ. 402-456 Harrison ระบุว่า กองเรือจีนถูกส่งมายังทะเลใต้แล้ว ในช่วงพ.ศ.427-433 (Brian Harrison,1967 : 10) บันทึกการเดินทางของคณะทูตกรมขันทีกล่าวว่าเดินทางเรือจาก จิหนาน, ซูเวิน, และฮูโป(อยู่ในจีนทั้งหมด) ในระยะ 5 เดือนมายังตู้หยวน (Tu-yuan, เวียดนาม) และอีก 4 เดือนมายัง อี้หลูม้อ (I-lu-mo, หรือ จูโหล่วมี่ คือจามปาตามชื่อ จุฬนีพรหมทัตในตำนานพระธาตุพนม) แล่นใบไปอีกราว 21 วัน ถึงประเทศ เฉินหลี (Shen-li) เดินเท้าข้ามคาบสมุทรอีกกว่า 10 วัน มีประเทศ ฟูกานตูลู (Fu-kan-tu-lu) และต่อเรือไปอีก 2 เดือนเศษถึง ฮวงจื้อ(อินเดีย)
ข้อมูลเหล่านี้มาจาก พอล วีทลีย์ ในหนังสือ The Golden Khersonese, p.8-9 ซึ่งศ.วีทลีย์ให้ทัศนะว่า คณะทูตเดินทางบกจากบริเวณอ่าวไทย (ตามแผนที่ในหนังสือThe Golden Khersonese) ข้ามไปยังอ่าวเมาะตะมะ แล้วจึงเดินเรืออีก 2 เดือนไปอินเดีย ......ความเห็นนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะการเดินทางบกข้ามเทือกเขาตะนาวศรีเป็นความคิดเห็นของศ.วีทลีย์ เท่านั้น และนักประวัติศาสตร์ของไทยเราก็เห็นคล้อยตามนี้ แต่ในความเป็นจริงบริเวณนี้ในสมัยนั้นไม่มีเมืองท่าเรือใดๆอยู่เลย การจะเดินทางข้ามคาบสมุทรจะต้องมีท่าเรืออยู่ทั้งสองฝั่ง หนังสือ ทาริค ปัตตานี (Tarikh Petani) หรือประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีกล่าวไว้ว่า ลังกาสุกะ(ยะรัง,ปัตตานี) กำเนิดตั้งแต่ก่อนสมัยคริสตกาล ดังนั้นที่ควรเป็นไปได้คือ คณะทูตมาขึ้นที่ท่าเรือเมืองลังกาสุกะ(เฉินหลีคือเมืองยะรัง) แล้วเดินบกข้ามคาบสมุทรมลายูไปยังเมืองสุวรรณภูมิ(จีนเรียกฟูกานตูลู) หรือ ซึ่งมีมาก่อนแล้วและมีบันทึกในตำนาน สุวรรณปุรวงศ์ของทางศรีลังกา ประพันธ์ขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามหาเสนะ (พ.ศ.819-846) เรียกสุวรรณภูมิในชื่อของเมืองสุวรรณปุระ แต่การเดินทางบกนั้นต้องใช้เวลามากกว่า 10 วันอีกเป็นหลายเท่า ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าชายสุมิตรและสุวรรณปุระก็ดูจะมีน้ำหนักสอด คล้องกับข้อเท็จจริง แต่ในสมัยนั้นคงเป็นแค่ท่าเรือเล็กๆหรือ way stationคือท่าเรือจอดพักค้าขาย และต่อมา ในราวพุทธศตวรรษที่ 7 จึงเกิดเป็นเมืองใหญ่ขึ้นทั้ง 2 ฟากฝั่งทะเล นอกจากนั้นควรสังเกตว่าชื่อเมือง ฟูกานตูลู ตามบันทึกจีนนั้น มาจากคำ สุวรรณภูมิ นั่นเอง (ฟูกาน =สุวรรณ, ตูลู=ภูมิ)
บทวิเคราะห์การเดินทางของคณะทูตจากกรมขันที
บันทึกในจดหมายเหตุจีนที่ส่งเรือมาค้าขายทางทะเลใต้นั้น Brian Harrison อ้างหลักฐานจากจดหมายเหตุจีนระบุว่า กองเรือของจีนถูกส่งมาติดต่อค้าขายกับหมู่เกาะทะเลใต้ในช่วงพ.ศ.427-433 (Brian Harrison, 1967 : 10) ส่วนเรื่องคณะทูตจากกรมขันทีที่เดินทางไปประเทศอินเดียตกในราวปีพ.ศ.544-548 บันทึกระบุว่าชาวพื้นเมืองในประเทศทางทะเลใต้รู้จักชาวจีนกันมาตั้งแต่ก่อนปีพ.ศ. 544 แล้ว ตามบันทึกของคณะทูตบอกว่าทุกเมืองที่เดินทางไปถึง ให้การต้อนรับรวมถึงอาหารการกินและยังอำนวยความสะดวกในการเดินทางเป็นอย่างดี แสดงว่าพวกชาวทะเลใต้เป็นผู้เจริญแล้ว เมืองยะรังกับเคดาห์เป็นเมืองท่าที่ควรจะอยู่ตรงนี้จริง มิใช่ไปขึ้นบกแถวแม่กลองแล้วเดินป่าข้ามเทือกเขาตะนาวศรีไปถึงอ่าวเมาะตะมะตามแผนที่ของ ศ. วีทลีย์ ซึ่งไม่มีเมืองท่าใดๆเลย แล้วพุทธศตวรรษที่ 7 คือต่อมาอีก 100 ปีจะเกิดมีเมืองท่าที่เติบโตขึ้นซึ่งทางแม่กลองและเมาะตะมะไม่มี เพราะเป็นที่รกร้างไร้ผู้คนหรือผู้คนเบาบาง เมืองที่ว่านี้ก็ควรอยู่ที่เมืองยะรัง(เตี๋ยนซุน) กับสุวรรณภูมิหรือสุวรรณปุระคือเมืองเคดาห์ นับเป็นความเห็นตามหลักฐานที่สืบค้นมาได้ ซึ่งไปขัดกับทางนักประวัติศาสตร์ของไทยเราที่ไปเชื่อตามศ. พอล วีทลีย์มาโดยตลอด เส้นทางระหว่างเคดาห์และเมืองยะรังนี้นี้ ต่อมาในสมัยที่แคว้นเตี๋ยนซุน(คือเมืองยะรัง) ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 8ตามบันทึกของทูตคังไถนั้น ก็ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าที่เชื่อมระหว่างฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เมืองชิวชีหรือคูหลี (เคดาห์) ยังเป็นเมืองท่าที่ราชทูตฟูนันชื่อ ซูวู (Su-wu) มาต่อเรือเพื่อเดินทางไปเจริญไมตรีกับประเทศอินเดียในราวปีพ.ศ. 783-787 (ดูราย ละเอียดจากหนังสือ“อาณาจักรศรีวิชัยที่ไชยา”,หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี : 19)