🌻มาลาริน/นี่เธอติดจากไหนกันคะ....ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง ยันตรวจ 2 ครั้งไม่พบเชื้อในกลุ่มผู้ต้องขังใช้ชีวิตร่วมกับ 'รุ้ง'

เจ้าคิกคักผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง ยันตรวจ 2 ครั้งไม่พบเชื้อในกลุ่มผู้ต้องขังใช้ชีวิตร่วมกับ 'รุ้ง'



17 พ.ค.64 - น.ส.โศรยา ฤทธิอร่าม ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง กล่าวถึงการดำเนินในการจัดการสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในทัณฑสถานหญิงกลางว่าจากจำนวนผู้ต้องขัง 4,400 คน ได้ทำการ SWAB หาเชื้อ 100 %  พบว่าผลเป็นบวก 1,039 คน ซึ่งได้แยกรักษาในโรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนที่เหลือผลตรวจหาเชื้อเป็นลบ ในส่วนนี้ได้ทำการ bubble and seal คือ หยุดกระบวนการทุกอย่างเพื่อให้ผู้ต้องขังอยู่กับที่ หลังจากนั้นได้มีการ SWABตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พ.ค.พบผู้ติดเชื้อใหม่ 145 คน ได้นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสนามแล้วเช่นกัน โดยหลังจากนี้จะมีการ SWAB ผู้ต้องขังทุกๆ 7 วัน จนกว่าจะไม่พบผู้ติดเชื้อ

ส่วนกรณีของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง ได้เข้ารับตัวเข้ามาที่ทัณฑสถาน เมื่อวันที่ 8 มี.ค.หลังจากนั้นทำการ SWAB ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. และทำการ SWAB ครั้งที่ 2 วันที่ 23 เม.ย.ก่อนที่จะให้ออกจากห้องกักโรคตัวไปใช้ชีวิตร่วมอยู่กับผู้ต้องขังปกติในแดนแรกรับเมื่อวันที่ 26 เม.ย. จนกระทั่งวันที่ 6 พ.ค. ได้มีการเบิกตัว น.ส.ปนัสยา ไปขึ้นศาล และปล่อยตัวในวันเดียวกันเวลา 18.00 น.

แดนผู้ต้องขังเข้าใหม่ที่ น.ส.ปนัสยา อยู่นั้นได้ทำการ SWAB ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง ไม่ปรากฎว่ามีผู้ต้องขังที่ใช้ชีวิตร่วมกับ น.ส.ปนัสยา ทั้งในช่วงกลางวันและห้องนอน ติดเชื้อแต่อย่างใด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ไปศาลอาญากับ น.ส.ปนัสยา ก็ได้มีการทำการตรวจหาเชื้อครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา ก็ไม่พบเชื้อแต่อย่างใด" น.ส.โศรยา กล่าว

https://www.thaipost.net/main/detail/103192

เพี้ยนหืมตรวจซ้ำสองก็ยังไม่พบเชื้อ

แล้วนี่เธอติดจากไหนกันคะ.....
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7

นายกฯ กำชับราชทัณฑ์ ดูแลผู้ต้องขังด้วยมาตรฐานเดียวกับผู้ป่วยภายนอก คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เร่งตรวจเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงจำกัดการแพร่ระบาด

(17 พ.ค.)  น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่มีรายงานผลการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงและยังพบผู้ป่วยยืนยันในกลุ่มผู้ต้องขังเพิ่มสูงขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ติดตามกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ทราบถึงมาตรการต่างๆ ที่กรมราชทัณฑ์ดำเนินการทั้งในการตรวจคัดกรอง การแยกผู้ต้องขังแรกเข้า การแยกผู้ป่วยออกไปรักษาในโรงพยาบาลสนามของราชทัณฑ์ แต่ก็ได้กำชับว่าขอให้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อดำเนินการตามมาตรการควบคุมและรักษาโรค เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปในมาตรฐานเดียวกับประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกเรือนจำ  

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ให้มากและเร็วที่สุด เพื่อประสิทธิภาพในการจำกัดวงการแพร่ระบาด รวมไปถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายในเรือนจำด้วย โดยให้สาธารณสุขและหน่วยงานต่างๆของจังหวัดพื้นที่เสี่ยงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

“เนื่องจากปัจจุบันเรือนจำหลายแห่งมีผู้ต้องขังอยู่หนาแน่น มีความแออัด ด้วยพื้นที่จำกัด ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค นายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยในส่วนนี้จึงกำชับให้ทางราชทัณฑ์ประสานงานกับสาธารณสุขในเขตพื้นที่ให้เข้ามาช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกับประชาชนภายนอก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขัง แม้จะเป็นผู้เคยกระทำผิดจนต้องขัง แต่เมื่อป่วยต้องได้รับการดูแล” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
https://www.facebook.com/ttraisuree/posts/524599975585455


31 พ.ค. เริ่มลงทะเบียนฉีดวัคซีน กลุ่มอายุ 18-59 ปี ส่วน Walk-in ติดตามประกาศจังหวัด

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 -59 ปี เริ่มลงทะเบียนเพื่อรับบริการฉีดวัคซีนผ่านระบบ “หมอพร้อม” ทั้ง Line Official Account และแอปพลิเคชัน ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. นี้เป็นต้นไป และยังสามารถจองฉีดวัคซีนโควิด-19  ผ่านโรงพยาบาลที่มีสิทธิรักษา /อสม./รพ. สต.  และ ช่องทางอื่น ๆ รวมทั้ง Walk-in ตามประกาศของจังหวัดด้วย  

ขณะเดียวกันทางกระทรวงสาธารณสุข อยู่ระวางการวางระบบการลงทะเบียนเพื่อให้ชาวต่างชาติที่ทำงานในไทยสามารถเข้าถึงการรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เช่นเดียวกัน

ผลศึกษาวัคซีนโควิด-19 ที่ฉีดในไทยพบว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากได้รับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนและมีใบยืนยันอาการแพ้วัคซีนจากสถานที่ฉีดวัคซีนแล้ว  สปสช. พร้อมเยียวยา ตามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ 5) โดยจัดสรรวงเงิน 100 ล้านบาท

สำหรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับคนไทยทุกคนที่ได้รับความเสียหายจากการวัคซีนโควิด มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 5  เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มี 2 เขตที่เสนอข้อมูลการขอรับเงินช่วยเหลือ คือ สปสช. เขต 1 เชียงใหม่ และ สปสช. เขต 10 อุบลราชธานี เขตพื้นที่อื่นอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ในส่วนของ สปสช. เขต 1 ซึ่งมีผู้ยื่นขอเยียวยา 218 ราย จากจำนวนที่ฉีดไปแล้วทั้งหมด 91,551 เข็ม คิดเป็น 0.24% โดยส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อย เช่น เป็นไข้นิด ๆ หน่อย ๆ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนกลุ่มที่มีอาการไข้สูงจนต้องนอนพักโรงพยาบาล คิดเป็น 0.05%
https://www.facebook.com/ttraisuree/posts/524740888904697


นายกฯ ไม่อนุมัติถอดแมสก์ในการประชุมสภา ยืนยันมาตรการต้องบังคับใช้อย่างเท่าเทียม ประธานสภาฯ มีอำนาจพิจารณาให้ถอดอภิปรายเป็นรายๆ ได้

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า จากกรณีที่ประชุม 4 ฝ่าย เตรียมความพร้อมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หลังมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญ ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ โดยจะขออนุญาตในคำสั่ง เรื่องการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกนอกเคหะสถาน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ได้พิจารณาแล้ว ไม่อนุมัติคำขอดังกล่าว โดยเห็นว่าอยู่ในช่วงของการระบาดขั้นรุนแรง มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจ่ายของโรคโดยง่าย

กรณีนี้ นายกฯ ย้ำว่าไม่ได้มีการอนุมัติในหลักการเพื่อผ่อนผัน และทุกคนไม่มีอภิสิทธิ์อะไรที่จะได้รับยกเว้นจากการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่เข้มงวด ไม่มีเลือกปฏับัติ อย่างไรก็ตาม นายกฯ เห็นว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการอภิปรายนั้น นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจในการพิจารณา ให้ผู้อภิปรายถอดหน้ากากเป็นรายๆ ได้ อยู่ในอำนาจของประธานสภา
https://www.facebook.com/Sumnakkaow.PRD/posts/6203630556329079


คุมเข้มตลอด 24 ชม.
--------------------

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 ลาดตระเวนคุมเข้มในพื้นที่รับผิดชอบชายแดนไทย-กัมพูชา จ.บุรีรัมย์, สุรินทร์ และศรีสะเกษ โดยได้เพิ่มความเข้มข้นในการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจแนวชายแดนตลอด 24 ชม. เพื่อป้องกันแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ตามนโยบายของหน่วยเหนืออย่างเคร่งครัด
https://www.facebook.com/realnewsthailand/posts/945311756301555


นายกฯ ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็น “วาระแห่งชาติ”

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยเชิญชวนประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ว่าปัญหาการทุจริตส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการพัฒนาประเทศ รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย ทั้งในแง่การรับรู้ของภาคประชาชน และภาคธุรกิจ รัฐบาลได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม

ทุกปี องค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ จะสำรวจสถานการณ์การทุจริตของทุกประเทศทั่วโลก ปีที่ผ่านมาประเทศไทยถูกจัดอันดับปัญหาการทุจริตผ่านดัชนีการรับรู้การทุจริตหรือ คอรัปชัน เพอเซพชัน อินเดกซ์ หรือค่าซีพีไอ (CPI) มีค่าคะแนนอยู่ในอันดับที่ 104 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก

มีการนำระบบการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือที่เรียกว่า ไอทีเอ (ITA) มาใช้ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำข้อเสนอแนะที่ได้ไปใช้ในการปรับปรุง พัฒนาการปฏิบัติงาน ให้มีความโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาด้านการบริหารจัดการภาครัฐของประเทศ   

ขอเชิญร่วมกันประเมินหน่วยงานภาครัฐที่เคยติดต่อหรือรับบริการได้ทางเว็บไซต์สำนักงาน หรือทางแอปพลิเคชัน ไอทีเอเอส (ITAS) ตั้งแต่บัดนี้ - 31 พ.ค.64 จะมีการประกาศผลการประเมิน ไอทีเอ ของหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศให้ต่อไป
https://www.facebook.com/Sumnakkaow.PRD/posts/6206547239370744


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นายกรัฐมนตรีเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม ช่วยแก้ไขปัญหารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ให้กำลังใจบุคลากรภาคสนามทุกคน เขิญชวนให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อม เชื่อศักยภาพและความร่วมมือของคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตไปได้

ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดโรงพยาบาลบุษราคัม โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับมอบอุปกรณ์สนับสนุนจากภาคเอกชน ได้แก่ อุปกรณ์ฆ่าเชื้อในอากาศ เครื่องออกซิเจน อุปกรณ์ทางการแพทย์ ห้องน้ำ เครื่องอุปโภค รวมมูลค่า 45.78 ล้านบาท

สำหรับโรงพยาบาลบุษราคัม จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ผู้ติดเชื้อทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยสีเหลืองที่เจ็บป่วยเล็กน้อยถึงปานกลางทั้งจากในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และสายด่วนต่าง ๆ จาก กทม. และปริมณฑล ได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยลดอาการรุนแรง ลดการเสียชีวิต รวมทั้งเป็นการดูแลผู้ป่วยอย่างครบวงจร ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เบื้องต้นรับผู้ป่วยได้ประมาณ 1,092 เตียง หากมีผู้ป่วยเพิ่มสามารถขยายพื้นที่รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5,000 ราย ภายใต้การดูแลของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่จาก 60 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดน้อย มาหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ รวม 780 คน พร้อมด้วยอุปกรณ์ด้านการแพทย์ ทั้งรถเอกซเรย์ เครื่องช่วยหายใจกว่า 100 เครื่อง ห้องตรวจปฏิบัติการ ยาสำคัญ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างครบครัน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้ร่วมกันจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม หวังให้เป็นโรงพยาบาลแก้ไขปัญหารักษาผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมกล่าวขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล อสม. และเจ้าที่ทุกท่านที่เสียสละ อดทน แม้ว่าตนเองจะเสี่ยงอันตราย และเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ไม่ย่อท้อ มุ่งมั่น ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ขอให้ทุกคนอย่าท้อแท้และสิ้นหวัง อย่าขัดแย้ง ขอให้ร่วมมือช่วยกันแก้ไขปัญหา รัฐบาลพร้อมทำงานแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ อาจจะทำได้ไม่ดีที่สุด แต่ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาเหมือนกันถือว่าสามารถทำได้ดีกว่า ทั้งนี้ จากการพูดคุยหารือกับผู้นำต่างประเทศทางโทรศัพท์ ต่างชื่นชมการบริหารจัดการของประเทศไทย พร้อมขอคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพและความสามัคคีของคนไทยทุกคนจะช่วยให้ประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมศูนย์บัญชาการโรงพยาบาลบุษราคัม พร้อมเยี่ยมชมความพร้อมภายในโรงพยาบาล โดยได้กล่าวให้กำลังใจบุคลากรภาคสนามทุกคน ขอให้สุขภาพแข็งแรง  มีกำลังใจที่ดีในการทำงาน และขอความร่วมมือให้ช่วยกันใช้มาตรการทางสังคม มีวินัยต่อตนเองเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเขิญชวนให้ประชาชนทุกคนลงทะเบียนฉีดวัคซีนผ่านระบบหมอพร้อม โดยขอให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย
https://www.facebook.com/anucha.b.dp/posts/3939111529500968
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่