เรื่องสั้น : ลังเล

/



เรื่องสั้นเรื่องนี้เข้าร่วมในโครงการ "ชื่อเดียว เอี่ยวทุกเรื่อง"

ในหัวข้อชื่อเรื่อง 

..ลังเล..

ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เขียนแต่ละท่าน

สร้างสรรค์งานเขียนตามแต่จินตนาการ

หวังว่า ท่านผู้อ่านคงจะได้รับความบันเทิงกัน ไม่มากก็น้อยด้วยกันนะครับ
 
เครดิตภาพ https://www.triptravelgang.com/travel-restaurant/18837/
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เช้าตรู่วันหนึ่งในตรอกเล็กๆ บริเวณชานเมือง


รถยนต์หรูของเราที่เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านอาหารเล็กๆ
ที่ขายอาหารประเภทข้าวแกงในห้องแถวที่มีอายุหลายสิบปี

เรามาที่นี่เพื่อมาดูทำเลที่จะซื้อตึกแถวละแวกนี้จะนำไปทำการรื้อทิ้ง
และทำการสร้างตึกขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นแหล่งในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

เช้าขนาดนี้

เราพร้อมคนขับรถจอดเครื่องรอดูเจ้าของร้านที่เป็นป้าอายุประมาณ 60 กว่าปีทำงานอยู่คนเดียวใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นซึ่งบ่งบอกวัยว่าได้ผ่านอะไรมามากมายในชีวิตทำให้ใบหน้าดูมีอายุมากกว่าอายุจริง
จากข้อมูลป้าคนนี้เคยแต่งงานมีสามีแต่สามีได้เสียชีวิตไปแล้วไม่มีลูกหลาน
แต่ยังคงยึดถืออาชีพเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงอย่างนี้มาตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี

ท่าทางยังคล่องแคล่วตามวัยใบหน้าจะมีริ้วรอยมากกว่าวัยแต่กลับแอบมีรอยยิ้มตลอดเวลา
เราไม่เกิดความลังเลเลยก็เพราะเคยผ่านงานประเภทนี้มามาก ในการเข้าไปเจรจาติดต่อเพื่อซื้อตึกแถวเก่าๆ
แล้วจะได้ให้คนที่เป็นเจ้าของในวัยขนาดนี้ได้ไปพักผ่อนหาความสุขในบั้นปลายชีวิต
เพราะว่าไม่มีภาระอะไรจะอยู่แล้ว จะมาทนทำงานหนักไปเพื่ออะไรในเมื่อครอบครัวก็ไม่มี อยู่ตัวลำพังคนเดียว

จอดรถอยู่กับคนขับไม่ได้ติดเครื่องยนต์ไว้ เพราะว่าอากาศตอนเช้ายังเย็นสบายมากในบริเวณชานเมืองเขตนี้

หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมคำนวณค่าความเสื่อมของอาคารรวมทั้งเปิดชาร์ตอัตราราคาที่ดินในปัจจุบัน  
รวมทั้งเปิดไฟล์เอกสารการประเมินราคาตึกที่จะยกเป็นห้องแถวอาคารพาณิชย์ยาวตลอดไปสุดช่วงตึก
ดูราคาที่บริษัทก่อสร้างเสนอราคามา
รวมทั้งรายชื่อของกลุ่มเป้าหมายที่เราจะนำเสนอโครงการนี้เพื่อไปขายโครงการต่อ
ให้กับกลุ่มธุรกิจในเขตนี้ในการทำกำไรของเราต่อไป


สักพักเรียกพี่สมชายคนขับรถของเราให้เดินเข้าไปสอบถามป้าเจ้าของห้องแถวดังกล่าว

“พี่สมชาย ลงไปคุยกับคุณป้าฉวีวรรณเจ้าของร้านว่าผมจะเข้าไปคุยด้วยขอเวลาสักครู่ได้ไหม”

“ได้ครับรอสักครู่นะครับ” คนขับรถคนสนิทและรู้ใจกันมานาน


พี่สมชายเป็นคนที่มีพื้นเพมาจากความยากลำบากมาก่อนอาศัยเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีความขยันไว้ใจได้
เราจึงพามาติดสอยห้อยตามกันตั้งแต่ยังไม่เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวจนมาถึงทุกวันนี้
มีฐานะขึ้นมาตามลำดับแต่ก็ยังคงเส้นคงวาในการทำงาน
มาทำงานแต่เช้าไม่เคยบ่นแม้จะไม่ค่อยมีวันหยุดสักเท่าไหร่เพราะเป็นคนที่อดทนและสมถะ

อย่างวันนี้ก็เช่นกันจะต้องออกมาตั้งแต่ตีห้า เพื่อที่จะมารอคุยกับเจ้าของร้านนี้
ก็ยังสามารถเตรียมรถ เตรียมเอกสารทั้งหมดได้อย่างเรียบร้อย

ไม่เหมือนพนักงานทั่วไปในปัจจุบันที่รอแต่เวลาเข้างานให้ตรงเวลา
และรอเวลาเลิกงานแบบตรงเวลาเท่านั้น
คนแบบนี้สิที่น่าชวนมาร่วมงานด้วยและเป็นตัวอย่างของคนสู้ชีวิตอย่างแท้จริง

สมชายเป็นหนุ่มจากภาคอีสานอายุ 40 ปีมารับจ้างในบริษัทเราเมื่อเริ่มก่อตั้งครั้งแรกๆ
ตอนที่เรายังเป็นผู้รับเหมางานทั่วไปเห็นว่าเป็นคนสู้งานและมีความซื่อสัตย์ดี

ด้วยความจนจึงทำให้ถูกผู้หญิงที่เป็นคู่รักทิ้งไปแต่ก็ยังไม่ย่อท้อเพราะว่ายังมีภาระต้องส่งเสียพ่อแม่ทางบ้าน
อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เริ่มธุรกิจผ่านช่วงยากลำบาก อดมื้อกินมื้อด้วยกันจนมาถึงทุกวันนี้
ได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนดีอย่างที่ว่าจริงๆ

ลูกน้องคนสนิทเปิดประตูลงไปเดินข้ามถนนไปยังร้านดังกล่าว

ป้าฉวีวรรณกำลังจัดแจงทำกับข้าวหลายๆอย่างใส่ลงไปในภาชนะที่จัดเรียงไว้ตามแบบของร้านข้าวแกงทั่วไป

แม้จะดูสีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อนแต่เรากลับมองไม่เห็นว่าป้าเขาจะหยุดพักทำงานเลย

ทำไมคนมีอายุขนาดนี้ต้องมาทำงานหนัก
มาจะสู้ต่อไปเพื่ออะไร จะทำไปทำไม ภาระก็ไม่มี

การเข้ามาครั้งนี้ของเรา คงจะเป็นการมอบเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตที่จะหาได้

สำหรับการเสนอซื้อตึกแถวทั้งหมดในราคาหลักหลายล้านเพื่อที่จะให้ไปใช้ชีวิตบั้นปลาย
ได้พักผ่อน ท่องเที่ยวหรือหาบ้านพักดีๆสักหลังหนึ่ง ใช้เงินดอกเบี้ยจากเงินฝากที่จะได้จากการขายห้องแถว
แล้วจะได้ไม่ต้องมาลำบากทนร้อนอยู่หน้าเตาอีกต่อไป

ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์เรียกว่า วินวิน ทั้งสองฝ่าย
งานนี้คงไม่ยากอย่างที่เราคิดไว้อย่างแน่นอน

มองเห็นลูกน้องคนสนิทเดินเข้าไปพูดคุยกับป้าสักพักหนึ่งแล้วก็เดินกลับออกมา

เข้านั่งที่ตำแหน่งคนขับรถและบอกกับเราว่า “ป้าเขายังไม่ว่างครับ ”

เราจึงตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมลงไปคุยเองรออยู่ตรงนี้นะ”

“ครับ” รับปากเองสั้นๆไม่พูดอะไรต่อเพราะรู้ใจกันมานาน


คิดไว้เพียงในใจว่าบางทีก็เป็นอย่างนี้แหละผู้ขายคงจะคิดว่ามีใครมาพูดธุระทั่วไปหรือเปล่า
ต้องให้เราลงไปจัดการเองเขาจะได้เชื่อถือว่าเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ตัวจริง

เราขยับตัวหยิบเสื้อสูทที่แขวนอยู่ในรถมาใส่แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินข้ามถนนตรงเข้าไปยังร้านข้าวแกงดังกล่าว

เดินเข้าไปในร้านเห็นถาดสแตนเลสเรียงรายอยู่ 4- 5 ถาดบนโต๊ะ
มีอาหารที่หาได้กินทั่วไป เช่นแกงจืด ผัดกะเพรา ไข่พะโล้ ก็ไม่เห็นน่าจะสนใจสักเท่าไหร่

ถ้าเป็นการจัดวางใน Food Court ของร้านอาหารในห้างคงจะทำราคาได้สูง
ถึงแม้รสชาติจะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตามที คิดถึงต้นทุนในการลงทุนแล้วสมองที่คิดแต่การทำกำไร

เอาความคิดไปคิดตั้งแต่เริ่มต้นในทุกเรื่อง แบบนี้สิที่ทำให้สามารถอยู่รอดได้มาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนเรื่องความรู้สึกและความผูกพันอะไรมันก็เป็นแค่มโนคติ
ที่ทุกคนคิดจะแสวงหาทางออกเพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ไปเท่านั้นเอง

อย่าบอกเลยนะว่าชีวิตที่มีความสุขแม้จะต้องอยู่แบบอดๆอยากๆไม่มีอะไรเลย
ครอบครัวที่อยู่ด้วยกันเพียงแค่ความรักแล้วให้สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้
พอขาดปัจจัยก็คือความสะดวกสบายแค่นั้นเอง ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องล้มเหลวทุกที

เช่นเรากว่าจะตั้งตัวขึ้นมาได้ก็อาศัยการมองผลประโยชน์มากกว่าความรู้สึกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เสื้อผ้าราคาหลักหมื่นรองเท้าหนังแท้มันวาวราคาแพง นาฬิกาข้อมือราคาหลักแสน
จริงๆเขาก็ไม่ใช่ชอบแต่งตัวอย่างนี้มาก่อน

แต่บ่อยครั้งที่การแต่งตัวแบบธรรมดาไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าได้
จึงจำเป็นต้องใช้จ่ายในส่วนซึ่งเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผลสำหรับความคิดของเขาในตอนนี้

ในเวลาขณะนี้ในร้านเริ่มมีลูกค้าทยอยเข้ามา 2-3 คน
ไปยืนตรงหน้าเจ้าร้านอาหารพร้อมกับเอ่ยว่า”คุณป้าครับผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

เจ้าของงานที่สาละวนกับการจัดเตรียมอาหารเพื่อที่จะขายในช่วงเช้าเงยหน้าขึ้นมาดูยิ้มแล้วตอบว่า
“มีเรื่องด่วนไหมล่ะนั่งรอได้ไหมเดี๋ยวป้าทำงานใกล้เสร็จแล้วน้ำอยู่ด้านโน้นไปเอามาดื่มเอาเองเลยนะ”

เราเองก็ยืนอยู่สักพักคิดไปว่า ไม่กลัวจะเสียเวลา ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว
วันนี้ไม่มีธุระไปที่อื่นต่ออยู่ดี ตัดสินใจไปนั่งรอที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง

โต๊ะไม้เก่าแต่ว่าดูสะอาดเรียบร้อยถูกเช็ดไว้อย่างดี
บนโต๊ะมีพริกน้ำปลาและเครื่องปรุงต่างๆวางไว้ มีฝาชีขนาดเล็กๆครอบไว้กันแมลงรบกวน

นั่งพิจารณามองห้องแถวห้องเดียวจัดแบ่งพื้นที่ในการทำอาหารเป็นสัดส่วน
แบ่งพื้นที่ในการวางอาหารได้อย่างเป็นระเบียบแม้จะดูเก่าตามสภาพ

แต่ว่าเต็มไปด้วยความสะอาดเรียบร้อย มองไปที่มุมด้านใน

มีคูลเลอร์น้ำเขียนไว้ว่า บริการตัวเองน้ำใบเตยฟรี พร้อมกับแก้วที่คว่ำเป็นระเบียบเรียบร้อย
ส่วนอีกข้างๆกันมีตะกร้าเขียนไว้ว่า สำหรับแก้วที่ใช้แล้ว

มิน่าล่ะถึงไม่มีลูกน้องมีป้าคนเดียวทำงานทุกอย่างแต่โดยหลักคงจะเป็นการทำอาหาร
ส่วนเรื่องที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของลูกค้าที่จะมาบริการตัวเอง

เวลาตอนนี้ไม่ถึง หกโมงเช้า
กลุ่มลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาทีละคนสองคน
ชุดแรกเป็นนักศึกษา 3-4 คน แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาเรียบร้อยเดินเข้ามา

เหมือนไม่ใช่ลูกค้าก็เพราะเดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้เจ้าของร้านสูงวัย
แล้วนักศึกษาชายหนึ่งในนั้นพูดเสียงเบาๆพอให้ได้ยินว่า
“สวัสดีครับป้าพอดีเงินที่บ้านผมยังส่งมาให้ไม่ทันขออนุญาตลงบัญชีไว้ก่อนนะครับเดี๋ยวสิ้นเดือนผมจะเอาเงินมาให้”

ตามปกติคงจะเห็นหน้าตาที่ไม่สบอารมณ์ของเจ้าของร้านที่ได้เจอลูกค้าแบบนี้ตั้งแต่เช้า
แต่เมื่อเรามองไปที่สีหน้าของเจ้าของร้านแทนที่จะพบใบหน้าบึ้งตึงอยู่หรือเรียบเฉย

กลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างแล้วก็บอกว่า
“ไม่เป็นไรลูก ถ้าเงินส่งมาไม่ทันจริงๆ ถึงสิ้นเดือนแล้วก็ไม่เป็นไรอย่าไปอดข้าวนะลูก”

นักศึกษายกมือไหว้คุณป้าแล้วกล่าวต่อว่า
“เดี๋ยวผมช่วยครับ ยังมีเวลาอีกเยอะพอสมควรก่อนจะเข้าเรียน”
ว่าพลางเอากระเป๋านักศึกษาเอาไปวางไว้ที่โต๊ะแล้วเดินเข้าไปจัดการช่วยตักข้าวใส่จาน
เพื่อรอรับลูกค้าที่จะมาทานอาหารในร้าน

นึกถึงภาพตัวเองในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นนักศึกษาจำได้ว่า

มีป้าแก่ๆท่าทางใจดีขายอาหารเหมือนกันอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัย
จะเป็นร้านที่พวกเราเข้าไปนั่งทานประจำ เพื่อนตัวอ้วนใหญ่คนหนึ่งเป็นคนชวนไปทานที่ร้านนี้
รสชาติก็ปกติไม่ได้พิเศษกว่าร้านอื่นแต่ป้าคนนี้เป็นคนใจดีเรียกพวกเราเป็นว่าลูกทุกคน

ดูมีความสุขมาก แม้เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่มีลูกหลาน
เล่าบอกเราว่า “แม่เปิดมาไม่ใช่หวังผลกำไรอะไรหรอก เห็นลูกๆกินอิ่มก็มีความสุขแล้ว”

ป้าคนนี้จะหุงข้าวหม้อใหญ่ๆตั้งไว้ เมื่อนักศึกษาเข้ามานั่งทาน คนไหนอยากจะทานข้าวเพิ่ม
ป้าก็จะบอกว่าเข้าไปตักเอาเลยลูกไม่เป็นไร อยากกินก็กินไปให้อิ่มจะได้มีเรี่ยวมีแรงเรียนหนังสือ

ไม่ได้รู้เลยว่าจู่ๆความคิดอะไรแบบนี้ที่เคยอยู่ในความทรงจำที่ประทับใจ
ผุดขึ้นกลับเข้ามาในหัวสมองตั้งแต่ตอนไหน

ทำให้เกิดความลังเลระหว่างผลประโยชน์และความสุขสิ่งไหนที่จะมีค่าสำหรับชีวิตที่เหลือของเรา
เทียบกับความรู้สึกที่มีให้ป้าคนนี้ อะไรจะมีน้ำหนักมากกว่ากันนะ

สักพักหนึ่งมีกลุ่มคนใส่ชุดทำงานบริษัทเข้ามานั่ง 3-4 คนต่างคนต่างช่วยกันเข้ามาช่วยจัดของเช่นกัน
เพราะว่าเข้าไปทักทายคุณป้าแล้วก็ช่วยกันตักอาหารของตัวเองแล้วไปนั่งกินอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง

ขณะที่เจ้าของร้านก็ยังง่วนอยู่กับการทำอาหารเข้ามาเสริมให้เรื่อยๆ
ทุกคนช่วยตัวเอง ไปรินน้ำ ตักข้าว จัดจาน แม้แต่เวลาที่คนอื่นลุกไป ก็เช็ดโต๊ะให้
เหมือนกับว่าทุกคนเป็นเจ้าของร้านนี้เหมือนกัน

ด้านเด็กนักศึกษาและเพื่อนอีก 2-3 คนระหว่างทานข้าวก็หยิบหนังสือออกมาอ่าน
เป็นการเตรียมตัวเข้าเรียนในหรือจะไปทำการสอบก็ไม่รู้ นั่งคุยกันดูมีความสุขเหมือนอยู่ที่บ้านตัวเอง

บรรยากาศดูเหมือนเป็นครอบครัวขนาดใหญ่พูดคุยกันทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม

บรรยากาศในร้านเป็นกันเองไม่เหมือนบรรยากาศในร้านอื่นที่ต่างคนต่างอยู่
เข้ามาเพื่อทานอาหารแล้วก็จากไปหวังเพียงผลกำไรจากการค้า
ได้ของอย่างที่แต่ละฝ่ายได้ไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดมาแค่นั้นเอง

กำลังจะว่างๆ คุณป้าก็เข้ามาพร้อมกับถามว่า
“คุณมีอะไรด่วนหรือเปล่า ?”

เรากำลังจะเริ่มบทสนทนาจู่ๆก็มีลูกค้าเป็นกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างและคนขับรถแท็กซี่มาอีกกลุ่มหนึ่ง
เข้ามาทักทายแล้วก็จัดแจงจัดอาหารออกไปนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะข้างนอกร้าน
เพราะพื้นที่ในร้านมีอย่างจำกัดจริงๆ

ส่วนตัวเรานั่งอยู่สักพักกำลังจะพูดออกไป

ป้าก็เอ่ยออกมาก่อนว่า “เรื่องธุระไว้ค่อยคุยกันนะกินอะไรก่อนดีกว่าไหมกินอะไรได้บ้าง?”

เราก็ตอบไปว่า “เอาไข่พะโล้ก็ได้ครับง่ายดี”

เป็นอาหารที่ง่ายสุดด้วยความที่เป็นคนไม่กินเผ็ดก็สั่งอาหารอย่างอื่นแล้วกินไม่ได้ทำให้เสียดาย
ไม่ได้เสียดายเงินหรอกนะที่จะต้องจ่ายค่าอาหารแต่เสียดายว่าถ้ากินไม่ได้
ก็ต้องเหลือเป็นเศษอาหาร เพราะกว่าคนทำจะทำออกมาแล้วต้องเอาไปเททิ้ง

คิดไปถึงชาวนาหรือคนที่ไม่มีจะกินมากกว่า
ความมีสำนึกที่เป็นคนแบบนี้นี่เองจึงสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ในระยะเวลาไม่นาน

สักพักคุณป้าว่างจากลูกค้า ถือจานข้าวไข่พะโล้และมีเนื้อหมูมาตามแบบของร้านข้าวแกงทั่วไป
วางไว้บนโต๊ะอีกมือหนึ่งมีจานน้ำพริกกะปิและผักใส่เข้ามาอีกต่างหาก


เราจึงพูดไปว่า”ผมไม่ได้สั่งนะครับผมสั่งแค่ไข่พะโล้อย่างเดียว”

“ไม่เป็นไรหรอก จานนี้แถม กินก็ได้ไม่กินก็ได้ แต่โดยปกติบางคนเขาก็ชอบกินนะ”พูดพลางยิ้ม

“เดี๋ยวป้าขอตัวก่อนไปรับลูกค้า ว่างจะมาคุยด้วย” เสร็จแล้วก็จัดแจงเดินออกไปทักทายตามโต๊ะต่างๆ

ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มต่างคนต่างรีบจัดแจงทานอาหารเมื่อทานเสร็จก็จัดการภาชนะที่ใช้แล้ว
ยกไปวางไว้ในมุมที่เขียนไว้ว่าเป็นโต๊ะสำหรับวางภาชนะที่ใช้แล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่