โควิด-19 วันนี้ ติดเชื้อรายใหม่ 2,256 ราย เสียชีวิตอีก 30 ราย
https://www.dailynews.co.th/politics/843313
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อประจำวัน พบวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2,256 ราย เสียชีวิตอีก 30 ราย
วันนี้ (14 พ.ค.64) เมื่อเวลา 08.00 น. ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศไทย ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ดังนี้
พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้น 2,256 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 2,073 ราย และผู้ติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 183 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 96,050 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 30 ราย ยอดสะสม 548 ราย
ทำให้การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ตั้งแต่ 1 เมษายน - 14 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 67,187 ราย เสียชีวิตสะสม 454 คน
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. จะเป็นผู้แถลงวันนี้เวลา 12.30 น.
ฉีดวัคซีนโควิดครบ สหรัฐให้ถอดหน้ากาก-เลิกเว้นระยะห่างได้เลย
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6396916
ฉีดวัคซีนโควิดครบ –
เอพี รายงานการควบคุมโรคโควิด-19 ของสหรัฐอเมริกาที่คืบหน้าไปอีกขั้น จากการที่ชาวอเมริกันร้อยละ 35 ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ทำให้สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ หรือ CDC ประกาศผ่อนคลายกฎใส่หน้ากากอนามัย ว่าให้ถอดออกได้ทั้งภายในอาคาร และภายนอกอาคารที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
ประธานาธิบดี
โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา กล่าวยินดีกับความคืบหน้านี้ โดยไม่ใส่หน้ากากว่า “
วันนี้เป็นวันที่สุดยอดมากสำหรับอเมริกา”
ก่อนหน้านั้นทั้งไบเดนและทีมงาน กล่าวกับสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันที่เข้าพบในห้องรูปไข่ของทำเนียบขาว ว่า “
ถ้าท่านฉีดวัคซีนครบแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากแล้วครับ” ซึ่งสารดังกล่าวสื่อไปถึงชาวอเมริกันทั่วประเทศให้ร่วมใจฉีดวัคซีนกันให้ครบ
สำหรับหลักปฏิบัติของสำนักงานควบคุมโรค ยังคงแนะนำให้คนที่อยู่ในอาคารที่มีคนหนาแน่น เช่น รถเมล์ เครื่องบิน โรงพยาบาล เรือนจำ ศูนย์คนไร้บ้าน ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แต่คนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว เมื่ออยู่ในสถานที่ทำงาน โรงเรียน หรือสถานที่พบปะทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเว้นระยะห่างอีก
“เรามาไกลจนถึงจุดนี้แล้ว จุดที่เราได้กลับไปรู้สึกถึงสภาวะปกติ” รอเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการ CDC กล่าวในงานแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว พร้อมกล่าวขอบคุณชาวอเมริกันหลายล้านคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน
“
ใครก็ตามที่ ฉีดวัคซีนโควิดครบ แล้ว สามารถร่วมกิจกรรมทั้งภายในอาคารและภายนอกได้ ไม่ว่ากลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ โดยไม่ต้องสวมหน้ากาก ไม่ต้องเว้นระยะห่าง ถ้าคุณฉีดวัคซีนครบ คุณกลับไปทำในสิ่งที่คุณต้องหยุดไปในช่วงโรคระบาดได้เลย” ผอ. CDC กล่าว
CDC และรัฐบาลนายไบเดนเผชิญแรงกดดันให้ผ่อนคลายกฎสำหรับผู้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส หรือฉีดครบสองโดสที่เว้นช่วงระยะห่างกันสองสัปดาห์มาพักหนึ่งแล้ว หลังจากเริ่มโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนเชิงรุก จนเห็นผล
ขณะนี้อเมริกามีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อที่ต่ำสุดนับจากเดือนกันยายนปีก่อน ส่วนยอดผู้เสียชีวิต มีอัตราลดต่ำสุดเช่นกัน นับจากเดือนเมษายนปีก่อน
ถึงวันนี้ชาวอเมริกันที่ฉีดวัคซีนโดสแรกแล้ว มีราว 154 ล้านคน หรือร้อยละ 46 ของประชากร ส่วนคนที่ฉีดครบโดสแล้วมีมากกว่า 117 ล้านคน นอกจากนี้ CDC ยังอนุญาตให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์ฉีดให้เด็กอายุ 12-15 ปีได้
สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนโดสแรกไปแล้ว และยังไม่ครบสองโดส CDC และนายไบเดน แนะนำว่ายังควรต้องใส่หน้ากากเวลาอยู่ภายในอาคารต่อไป
เจ้าหนี้บินไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่พอใจแผน “เจ็บหนักกว่า” โหวตให้ล้ม
https://www.thairath.co.th/business/economics/2091676
เจ้าหนี้บินไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่พอใจแผน “เจ็บหนักกว่า” โหวตให้ล้ม
เจาะเบื้องลึกเจ้าหนี้เลื่อนโหวตแผนฟื้นฟูบินไทย ไม่พอใจผู้บริหารแผนหารือแต่กระทรวงคลัง ไม่ยอมหารือเจ้าหนี้หลัก ขณะที่สหกรณ์ออมทรัพย์อยู่ในสถานการณ์ลำบาก หวั่นหากไม่ยกมือโหวตให้ผ่านแผนฟื้นฟู จะถูกแฮร์คัทตัดหนี้สูญ 70% ซึ่งจะเสียหายหนัก ด้านธนาคารเจ้าหนี้จะยอมโหวตผ่านเช่นกัน ในวันที่ 19 พ.ค.ชี้ปรับปรุงแผน ดีกว่าปล่อยล้มละลาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมระหว่างเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี กับบรรดาเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีวงเงินรวมกัน 170,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย สถาบันการเงินเจ้าหนี้ และสหกรณ์ออมทรัพย์หลายแห่ง ซึ่งนำเงินของสมาชิกไปซื้อหุ้นกู้ของการบินไทย ได้รวมตัวกันขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ยืดระยะเวลาการประชุมเพื่อโหวตรับหรือไม่รับแผนฟื้นฟูกิจการของกลุ่มผู้บริหารแผนที่มี นายปิยะสวัสดิ์ อัมมระนันทน์ เป็นประธานออกไปก่อน เนื่องจากเพิ่งได้รับเอกสารแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทยหมาดๆ ก่อนการประชุมที่เป็นไปตามการนัดหมายของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมาเพียงวันเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ เจ้าหนี้บางรายเห็นว่า ผู้บริหารแผน และผู้บริหารการบินไทย พยายามปกปิดข้อมูลวิธีการบริหารแผน และการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าหนี้ต้องทราบ โดยเฉพาะเจ้าหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งในเวอร์ชันเดิม ผู้บริหารแผนตั้งใจจะแฮร์คัทตัดหนี้สูญของสหกรณ์ออมทรัพย์แต่ละแห่งเกือบทั้งหมด โดยไม่ยอมให้รายละเอียดใดๆ หรือขอหารืออย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังส่งเอกสารการจัดทำแผนฟื้นฟูให้พิจารณาในเวลาที่จำกัดด้วย”
ผู้สื่อข่าวได้รับการบอกเล่าด้วยว่า ผู้บริหารแผน และผู้บริหารการบินไทย เน้นหนักไปคุยกับกระทรวงการคลัง และเจ้าหนี้ไม่สำคัญบางรายเท่านั้น โดยไม่ยอมเรียกหารือกับธนาคารเจ้าหนี้ และสหกรณ์ออมทรัพย์เจ้าหนี้ ซึ่งจริงๆมีจำนวนมากถึง 82 ราย ในจำนวนนี้ มีสหกรณ์ใหญ่ๆที่เอาเงิน สมาชิกหรือพนักงานที่นำมาฝากไว้ไปลงทุนซื้อหุ้นกู้ของการบินไทยตามคำโฆษณาของการบินไทย และการจัดอันดับเรตติ้งของสถาบันการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งทริส ซึ่งจัดให้เรตติ้งการบินไทยอยู่ในระดับ AAA-ทำให้ไม่รู้สถานะที่แท้จริง
สำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์รายใหญ่ๆที่นำเงินฝากของพนักงานไปหาผลประโยชน์ตอบแทนที่น่าจะดีกว่า แต่กลับผิดพลาดไป ก็เช่น สหกรณ์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 8,300 ล้านบาท, สหกรณ์พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2,800 ล้านบาท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2,500 ล้านบาท ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด 2,200 ล้านบาท บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 2,000 ล้านบาท กรมทางหลวง 1,900 ล้านบาท มหาวิทยาลัยมหิดล 1,600 ล้านบาท พนักงานการบินไทย 1,600 ล้านบาท กทม. 950 ล้านบาท และกรมป่าไม้ 890 ล้านบาท เป็นต้น
โดยสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งหมด เป็นเจ้าหนี้การบินไทยอยู่ประมาณ 42,200 ล้านบาท ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย รวมกันเป็นเงิน 70,000 ล้านบาท ทั้งนี้ นอกจากสหกรณ์ออมทรัพย์จำนวน 24% จะขอให้มีการแก้ไขแผนแล้ว ผู้บริหารแผนยังยื่นขอแก้ไขแผนของตัวเองที่นำเข้าสู่การประชุมด้วย ทำให้ฝ่ายเจ้าหนี้เห็นความไม่พร้อม และไม่เป็นมืออาชีพของผู้บริหารแผน และผู้บริหารการบินไทยซึ่งมีเวลาในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ทำให้การบินไทยเสียหายอยู่หลายเดือน แต่กลับไม่มีความคืบหน้า
“
เราไม่สบายใจในการขายทรัพย์สิน เช่น บริษัท บาฟ จำกัด (มหาชน) และศูนย์ฝึกพนักงาน แล้วเอาเงินไปใช้จ่ายผิดประเภท ไม่สบายใจที่จะขอกู้เงินเราอีก 15,000 ล้านบาท เพื่อจะเอาไปจ่ายชดเชยแก่พนักงานที่สมัครใจลาออก เพราะสถานะของการบินไทยขณะนี้ต้องถือว่าล้มละลายแล้ว จะนำเงินที่มีอยู่ไปจ่ายให้แก่พนักงานไม่ได้ เพราะพนักงานก็ต้องรอการชำระหนี้เหมือนๆกับเจ้าหนี้ด้วย...ถ้าจำเป็นต้องจ่าย มากที่สุดต้องไม่เกิน 40,000 ต่อราย”
ปัญหาสำคัญก็คือ เจ้าหนี้รับไม่ได้ที่เอาคนที่มีส่วนทำให้การบินไทยเจ๊งมาเป็นผู้บริหารแผน “มันเหมือนกับการให้รางวัลในขณะที่คุณสร้าง ปัญหาให้กับบริษัทไว้ ถ้าต้องการจะแก้ไขให้การบินไทยกลับมาทำธุรกิจการบินใหม่ได้จะต้องตั้งผู้บริหารแผนใหม่ ตลอดจนถึงผู้บริหารการบินไทยใหม่ที่สำคัญ ก็คือต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรของการบินไทยใหม่ด้วยการยุติการดำเนินธุรกิจของการบินไทย แล้วใช้สายการบินไทยสมายล์ ซึ่งมีวัฒนธรรมองค์กรแตกต่างไปจากการบินไทยมาก ทั้งเงินเดือน และองคาพยพที่มีต้นทุนต่ำกว่าทุกเรื่อง
กระนั้นก็ตาม สถาบันการเงินเจ้าหนี้หวั่นว่า สหกรณ์ออมทรัพย์เจ้าหนี้ อาจจะถูกบีบจากเงื่อนไขของการบิน ไทยที่ว่า หากสหกรณ์ไม่ยกมือโหวต ให้แผนฟื้นฟูผ่าน การบินไทยจะไม่ยอมใช้หนี้สหกรณ์ และอาจแฮร์คัทตัดหนี้สูญสูงถึง 70% โดยส่วนที่เหลือจะขอยืดเวลาการชำระหนี้ออกไป 3-6 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งแต่ละสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่สามารถยอมให้เกิดขึ้นได้ แม้จะมองเห็นว่า อนาคตเป็นเรื่องลำบากที่การบินไทยจะอยู่รอดได้ก็ตาม
“สำหรับธนาคารเจ้าหนี้ น่าจะโหวตผ่านให้ถ้าผู้บริหารแผนยอมแก้ไขปรับปรุงแผน เพราะหากไม่โหวตให้ในวันที่ 19 พ.ค.นี้ การบินไทยก็อาจจะจบเลย โดยเฉพาะในกรณีที่ นายกรัฐมนตรีไม่ยอมพิจารณาข้อเสนอที่การบินไทยกลับมาเป็นรัฐ วิสาหกิจอีกครั้ง”.
JJNY : ติดเชื้อใหม่ 2,256 ตาย 30│เจ้าหนี้บินไทยไม่พอใจแผน│ฉีดวัคซีนครบ สหรัฐให้ถอดหน้ากาก-เลิกเว้นระยะ│จับตานัดประชุม
https://www.dailynews.co.th/politics/843313
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อประจำวัน พบวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 2,256 ราย เสียชีวิตอีก 30 ราย
วันนี้ (14 พ.ค.64) เมื่อเวลา 08.00 น. ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศไทย ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ดังนี้
พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้น 2,256 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 2,073 ราย และผู้ติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 183 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 96,050 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 30 ราย ยอดสะสม 548 ราย
ทำให้การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ตั้งแต่ 1 เมษายน - 14 พฤษภาคม 2564 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 67,187 ราย เสียชีวิตสะสม 454 คน
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. จะเป็นผู้แถลงวันนี้เวลา 12.30 น.
ฉีดวัคซีนโควิดครบ สหรัฐให้ถอดหน้ากาก-เลิกเว้นระยะห่างได้เลย
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6396916
ฉีดวัคซีนโควิดครบ – เอพี รายงานการควบคุมโรคโควิด-19 ของสหรัฐอเมริกาที่คืบหน้าไปอีกขั้น จากการที่ชาวอเมริกันร้อยละ 35 ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ทำให้สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ หรือ CDC ประกาศผ่อนคลายกฎใส่หน้ากากอนามัย ว่าให้ถอดออกได้ทั้งภายในอาคาร และภายนอกอาคารที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา กล่าวยินดีกับความคืบหน้านี้ โดยไม่ใส่หน้ากากว่า “วันนี้เป็นวันที่สุดยอดมากสำหรับอเมริกา”
ก่อนหน้านั้นทั้งไบเดนและทีมงาน กล่าวกับสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันที่เข้าพบในห้องรูปไข่ของทำเนียบขาว ว่า “ถ้าท่านฉีดวัคซีนครบแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากแล้วครับ” ซึ่งสารดังกล่าวสื่อไปถึงชาวอเมริกันทั่วประเทศให้ร่วมใจฉีดวัคซีนกันให้ครบ
สำหรับหลักปฏิบัติของสำนักงานควบคุมโรค ยังคงแนะนำให้คนที่อยู่ในอาคารที่มีคนหนาแน่น เช่น รถเมล์ เครื่องบิน โรงพยาบาล เรือนจำ ศูนย์คนไร้บ้าน ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แต่คนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว เมื่ออยู่ในสถานที่ทำงาน โรงเรียน หรือสถานที่พบปะทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเว้นระยะห่างอีก
“เรามาไกลจนถึงจุดนี้แล้ว จุดที่เราได้กลับไปรู้สึกถึงสภาวะปกติ” รอเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการ CDC กล่าวในงานแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว พร้อมกล่าวขอบคุณชาวอเมริกันหลายล้านคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน
“ใครก็ตามที่ ฉีดวัคซีนโควิดครบ แล้ว สามารถร่วมกิจกรรมทั้งภายในอาคารและภายนอกได้ ไม่ว่ากลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ โดยไม่ต้องสวมหน้ากาก ไม่ต้องเว้นระยะห่าง ถ้าคุณฉีดวัคซีนครบ คุณกลับไปทำในสิ่งที่คุณต้องหยุดไปในช่วงโรคระบาดได้เลย” ผอ. CDC กล่าว
CDC และรัฐบาลนายไบเดนเผชิญแรงกดดันให้ผ่อนคลายกฎสำหรับผู้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส หรือฉีดครบสองโดสที่เว้นช่วงระยะห่างกันสองสัปดาห์มาพักหนึ่งแล้ว หลังจากเริ่มโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนเชิงรุก จนเห็นผล
ขณะนี้อเมริกามีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อที่ต่ำสุดนับจากเดือนกันยายนปีก่อน ส่วนยอดผู้เสียชีวิต มีอัตราลดต่ำสุดเช่นกัน นับจากเดือนเมษายนปีก่อน
ถึงวันนี้ชาวอเมริกันที่ฉีดวัคซีนโดสแรกแล้ว มีราว 154 ล้านคน หรือร้อยละ 46 ของประชากร ส่วนคนที่ฉีดครบโดสแล้วมีมากกว่า 117 ล้านคน นอกจากนี้ CDC ยังอนุญาตให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์ฉีดให้เด็กอายุ 12-15 ปีได้
สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนโดสแรกไปแล้ว และยังไม่ครบสองโดส CDC และนายไบเดน แนะนำว่ายังควรต้องใส่หน้ากากเวลาอยู่ภายในอาคารต่อไป
เจ้าหนี้บินไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่พอใจแผน “เจ็บหนักกว่า” โหวตให้ล้ม
https://www.thairath.co.th/business/economics/2091676
เจ้าหนี้บินไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่พอใจแผน “เจ็บหนักกว่า” โหวตให้ล้ม
เจาะเบื้องลึกเจ้าหนี้เลื่อนโหวตแผนฟื้นฟูบินไทย ไม่พอใจผู้บริหารแผนหารือแต่กระทรวงคลัง ไม่ยอมหารือเจ้าหนี้หลัก ขณะที่สหกรณ์ออมทรัพย์อยู่ในสถานการณ์ลำบาก หวั่นหากไม่ยกมือโหวตให้ผ่านแผนฟื้นฟู จะถูกแฮร์คัทตัดหนี้สูญ 70% ซึ่งจะเสียหายหนัก ด้านธนาคารเจ้าหนี้จะยอมโหวตผ่านเช่นกัน ในวันที่ 19 พ.ค.ชี้ปรับปรุงแผน ดีกว่าปล่อยล้มละลาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมระหว่างเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี กับบรรดาเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีวงเงินรวมกัน 170,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย สถาบันการเงินเจ้าหนี้ และสหกรณ์ออมทรัพย์หลายแห่ง ซึ่งนำเงินของสมาชิกไปซื้อหุ้นกู้ของการบินไทย ได้รวมตัวกันขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ยืดระยะเวลาการประชุมเพื่อโหวตรับหรือไม่รับแผนฟื้นฟูกิจการของกลุ่มผู้บริหารแผนที่มี นายปิยะสวัสดิ์ อัมมระนันทน์ เป็นประธานออกไปก่อน เนื่องจากเพิ่งได้รับเอกสารแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทยหมาดๆ ก่อนการประชุมที่เป็นไปตามการนัดหมายของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมาเพียงวันเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ เจ้าหนี้บางรายเห็นว่า ผู้บริหารแผน และผู้บริหารการบินไทย พยายามปกปิดข้อมูลวิธีการบริหารแผน และการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าหนี้ต้องทราบ โดยเฉพาะเจ้าหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งในเวอร์ชันเดิม ผู้บริหารแผนตั้งใจจะแฮร์คัทตัดหนี้สูญของสหกรณ์ออมทรัพย์แต่ละแห่งเกือบทั้งหมด โดยไม่ยอมให้รายละเอียดใดๆ หรือขอหารืออย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังส่งเอกสารการจัดทำแผนฟื้นฟูให้พิจารณาในเวลาที่จำกัดด้วย”
ผู้สื่อข่าวได้รับการบอกเล่าด้วยว่า ผู้บริหารแผน และผู้บริหารการบินไทย เน้นหนักไปคุยกับกระทรวงการคลัง และเจ้าหนี้ไม่สำคัญบางรายเท่านั้น โดยไม่ยอมเรียกหารือกับธนาคารเจ้าหนี้ และสหกรณ์ออมทรัพย์เจ้าหนี้ ซึ่งจริงๆมีจำนวนมากถึง 82 ราย ในจำนวนนี้ มีสหกรณ์ใหญ่ๆที่เอาเงิน สมาชิกหรือพนักงานที่นำมาฝากไว้ไปลงทุนซื้อหุ้นกู้ของการบินไทยตามคำโฆษณาของการบินไทย และการจัดอันดับเรตติ้งของสถาบันการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งทริส ซึ่งจัดให้เรตติ้งการบินไทยอยู่ในระดับ AAA-ทำให้ไม่รู้สถานะที่แท้จริง
สำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์รายใหญ่ๆที่นำเงินฝากของพนักงานไปหาผลประโยชน์ตอบแทนที่น่าจะดีกว่า แต่กลับผิดพลาดไป ก็เช่น สหกรณ์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 8,300 ล้านบาท, สหกรณ์พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2,800 ล้านบาท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2,500 ล้านบาท ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด 2,200 ล้านบาท บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 2,000 ล้านบาท กรมทางหลวง 1,900 ล้านบาท มหาวิทยาลัยมหิดล 1,600 ล้านบาท พนักงานการบินไทย 1,600 ล้านบาท กทม. 950 ล้านบาท และกรมป่าไม้ 890 ล้านบาท เป็นต้น
โดยสหกรณ์ออมทรัพย์ทั้งหมด เป็นเจ้าหนี้การบินไทยอยู่ประมาณ 42,200 ล้านบาท ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย รวมกันเป็นเงิน 70,000 ล้านบาท ทั้งนี้ นอกจากสหกรณ์ออมทรัพย์จำนวน 24% จะขอให้มีการแก้ไขแผนแล้ว ผู้บริหารแผนยังยื่นขอแก้ไขแผนของตัวเองที่นำเข้าสู่การประชุมด้วย ทำให้ฝ่ายเจ้าหนี้เห็นความไม่พร้อม และไม่เป็นมืออาชีพของผู้บริหารแผน และผู้บริหารการบินไทยซึ่งมีเวลาในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ทำให้การบินไทยเสียหายอยู่หลายเดือน แต่กลับไม่มีความคืบหน้า
“เราไม่สบายใจในการขายทรัพย์สิน เช่น บริษัท บาฟ จำกัด (มหาชน) และศูนย์ฝึกพนักงาน แล้วเอาเงินไปใช้จ่ายผิดประเภท ไม่สบายใจที่จะขอกู้เงินเราอีก 15,000 ล้านบาท เพื่อจะเอาไปจ่ายชดเชยแก่พนักงานที่สมัครใจลาออก เพราะสถานะของการบินไทยขณะนี้ต้องถือว่าล้มละลายแล้ว จะนำเงินที่มีอยู่ไปจ่ายให้แก่พนักงานไม่ได้ เพราะพนักงานก็ต้องรอการชำระหนี้เหมือนๆกับเจ้าหนี้ด้วย...ถ้าจำเป็นต้องจ่าย มากที่สุดต้องไม่เกิน 40,000 ต่อราย”
ปัญหาสำคัญก็คือ เจ้าหนี้รับไม่ได้ที่เอาคนที่มีส่วนทำให้การบินไทยเจ๊งมาเป็นผู้บริหารแผน “มันเหมือนกับการให้รางวัลในขณะที่คุณสร้าง ปัญหาให้กับบริษัทไว้ ถ้าต้องการจะแก้ไขให้การบินไทยกลับมาทำธุรกิจการบินใหม่ได้จะต้องตั้งผู้บริหารแผนใหม่ ตลอดจนถึงผู้บริหารการบินไทยใหม่ที่สำคัญ ก็คือต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรของการบินไทยใหม่ด้วยการยุติการดำเนินธุรกิจของการบินไทย แล้วใช้สายการบินไทยสมายล์ ซึ่งมีวัฒนธรรมองค์กรแตกต่างไปจากการบินไทยมาก ทั้งเงินเดือน และองคาพยพที่มีต้นทุนต่ำกว่าทุกเรื่อง
กระนั้นก็ตาม สถาบันการเงินเจ้าหนี้หวั่นว่า สหกรณ์ออมทรัพย์เจ้าหนี้ อาจจะถูกบีบจากเงื่อนไขของการบิน ไทยที่ว่า หากสหกรณ์ไม่ยกมือโหวต ให้แผนฟื้นฟูผ่าน การบินไทยจะไม่ยอมใช้หนี้สหกรณ์ และอาจแฮร์คัทตัดหนี้สูญสูงถึง 70% โดยส่วนที่เหลือจะขอยืดเวลาการชำระหนี้ออกไป 3-6 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งแต่ละสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่สามารถยอมให้เกิดขึ้นได้ แม้จะมองเห็นว่า อนาคตเป็นเรื่องลำบากที่การบินไทยจะอยู่รอดได้ก็ตาม
“สำหรับธนาคารเจ้าหนี้ น่าจะโหวตผ่านให้ถ้าผู้บริหารแผนยอมแก้ไขปรับปรุงแผน เพราะหากไม่โหวตให้ในวันที่ 19 พ.ค.นี้ การบินไทยก็อาจจะจบเลย โดยเฉพาะในกรณีที่ นายกรัฐมนตรีไม่ยอมพิจารณาข้อเสนอที่การบินไทยกลับมาเป็นรัฐ วิสาหกิจอีกครั้ง”.