JJNY : 4in1 นอร์เวย์-แคนาดาเลิกฉีดแอสตราถาวร│พบJ&Jปัญหาลิ่มเลือดเพิ่ม│เตือนรบ.ฉีดวัคซีนทั้งปท.ไม่ง่าย │สาวโวยแจ้งผลผิด

นอร์เวย์-แคนาดา ประกาศเลิกฉีดแอสตราเซเนกาถาวร หลังเคสลิ่มเลือดอุดตันพุ่งสูงขึ้น
https://prachatai.com/journal/2021/05/93021
 

 
ประเทศนอร์เวย์ และอีก 5 รัฐของแคนาดาประกาศยกเลิกการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นการถาวรตามรอยเดนมาร์ก เนื่องจากอันตราการพบเคสลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดวัคซีนเพิ่มสูงขึ้น
 
13 พ.ค. 2564 อานา ซูลบาร์ก นายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ แถลงอย่างเป็นทางการในวันนี้ (13 พ.ค. 2564) ว่ารัฐบาลนอร์เวย์ตัดสินใจยุติการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาให้กับประชาชนในประเทศอย่างถาวร เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง คือ อาการลิ่มเลือดอุดตัน อีกทั้งยังกล่าวว่าทางการนอร์เวย์จะถอดวัคซีนแอสตราเซเนกาออกจากแผนการฉีดวัคซีนแห่งชาติอีกด้วย
 
ซูลบาร์ก ระบุว่า แม้อาการลิ่มเลือดอุดตันจะพบได้น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ฉีดวัคซีนทั้งหมด แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกานั้นอันตรายถึงชีวิต ทำให้รัฐบาลตัดสินใจตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ส่วนวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับวัคซีนแอสตราเซเนกา ยังไม่ถูกถอดออกจากแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แห่งชาตินอร์เวย์ แต่รัฐบาลมีคำสั่งระงับการฉีดวัคซีนยี่ห้อนี้เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ หากบุคคลใดประสงค์จะฉีดวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยสมัครใจ ทางการนอร์เวย์ก็ยินดีฉีดให้ตามประสงค์
 
ด้าน รัฐมนตรีว่าการประทรวงสาธารณสุขของนอร์เวย์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กรมอนามัยเป็นผู้ดูแลและแนะนำขั้นตอนการฉีดวัคซีนให้ประชาชน โดยจะชี้แจงรายละเอียดและความเสี่ยงในการฉีดวัคซีนเป็นกรณีไป หากประชาชนคนใดเลือกฉีดวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน รัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดหากเกิดผลข้างเคียงตามมา
 
ประเทศนอร์เวย์ระงับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มี.ค. เป็นต้นมา โดยประชาชน 8 คนจาก 135,000 คน เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา และ 4 ใน 8 คนนี้อาการรุนแรงขึ้นขั้นเสียชีวิต ซึ่งทางการนอร์เวย์ระบุว่าทั้ง 8 คนนี้เป็นอายุน้อยและเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้ วัคซีนแอสตราเซเนกาที่เหลือ ทางการนอร์เวย์จะนำไปบริจาคให้ประเทศอื่นที่ต้องการต่อไป
 
นอกจากนี้ อีก 3 รัฐของแคนาดา ได้แก่ แมนิโทบา โนวาสโกเชีย และนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ เพิ่งประกาศอย่างเป็นทางการในวันเดียวกันว่าจะยกเลิกการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรกให้กับประชาชน เพราะกังวลเรื่องลิ่มเลือดอุดตันที่ส่งผลถึงชีวิต โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแคนาดาระบุว่าพบอัตราการเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดวัคซีนยี่ห้อนี้สูงถึง 1 ใน 55,000 คน จากตอนแรกที่คาดว่าเจอ 1 ใน 100,000 คน
 
ก่อนหน้านี้ รัฐอัลเบอร์ตาและรัฐออนทาริโอประกาศยุติการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มที่ 2 ให้ประชาชนที่ฉีดเข็มแรกไปแล้วกว่าแสนคน เพราะกังวลเรื่องผลข้างเคียง หากประชาชนคนใดต้องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ต่อ บุคลากรทางการแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่าควรฉีดวัคซีนของยี่ห้อเดิมหรือยี่ห้อใหม่ ส่วนที่รัฐบริติชโคลัมเบียและรัฐซัสแคตเชวัน ประกาศยุติการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องลิ่มเลือดอุดตัน แต่เป็นเพราะมีวัคซีนไม่เพียงพอ
 
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกลางของแคนาดาเตรียมรับมอบวัคซีนแอสตราเซเนกาอีกหลายแสนโดส โดยวัคซีนล็อตถัดไปจำนวน 250,000 โดสเป็นโควตาของรัฐออนทาริโอ ทว่า รัฐบาลท้องถิ่นประกาศไม่ยอมรับวัคซีนจำนวนดังกล่าว และยังไม่ทราบว่ามีรัฐใดจะยื่นความจำนงขอรับวัคซีนแอสตราเซเนกาจำนวนนี้หรือไม่ ส่วนรัฐแมนิโทบา และนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ ระบุว่าจะรับวัคซีนแอสตราเซเนกาล็อตถัดไปตามเดิม เพื่อดำเนินการฉีดให้คนที่รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว ในขณะที่รัฐปรินซ์เอ็ดเวิร์ดไอแลนด์ยืนยันว่าจะใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาต่อตามเดิม
 
ทั้งนี้ เดนมาร์ก เป็นประเทศแรกที่ประกาศว่าจะยกเลิกการใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาอย่างถาวร โดยกระทรวงสาธารณสุขของเดนมาร์กแถลงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ สหภาพยุโรป (EU) ยังแถลงว่าไม่ได้ต่อสัญญาซื้อขายวัคซีนเพิ่มเติมกับบริษัทแอสตราเซเนกาแล้ว และได้ตกลงซื้อขายวัคซีนกับบริษัทไฟเซอร์แทน
 
ที่มา:
 
• Denmark continues its vaccine rollout without the COVID-19 vaccine from AstraZeneca
• More provinces turn away from AstraZeneca COVID-19 vaccine
• Norway officially axes AstraZeneca jab and changes vaccine strategy
 

 
มะกันพบเคสฉีดวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีปัญหาลิ่มเลือดอุดตันเพิ่ม
https://www.matichon.co.th/foreign/news_2721663
 
มะกันพบเคสฉีดวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีปัญหาลิ่มเลือดอุดตันเพิ่ม
 
รอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมว่า ศูนย์เพื่อการป้องกันและควบคุมโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐอเมริกาแถลงเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ว่า พบผู้ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันหรือเจแอนด์เจ แล้วเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (ทีทีเอส) รุนแรงจำนวน 28 ราย หลังจากมีการฉีดวัคซีนของเจแอนด์เจให้กับคนอเมริกันไปมากกว่า 8.7 ล้านราย โดยในจำนวน 28 รายดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตอยู่ด้วย 3 ราย
 
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้เมื่อ 25 เมษายนที่ผ่านมา ซีดีซี เคยรายงานว่าตรวจสอบพบผู้ได้รับวัคซีนเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันเพียง 17 รายจากจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนเจแอนด์เจไปเกือบ 8 ล้านราย ทั้งนี้คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อการสร้างภูมิคุ้มกัน (เอซีไอพี) ซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวัคซีนต่อซีดีซี กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบทบทวนด้านความปลอดภัยจากข้อมูลที่พบใหม่นี้อยู่ในเวลานี้
 
ซีดีซี แถลงว่า กรณีที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะคล้ายคลึงกับกรณีที่สังเกตุพบหลังการฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในยุโรปก่อนหน้านี้ โดยวัคซีนทั้งสองตัวเป็นวัคซีนเชื้อเป็น ที่ใช้อะดีโนไวรัส ซึ่งเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคหวัด เป็นพาหะสร้างโปรตีนของไวรัสบางอย่างขึ้นในร่างกาย เพื่อโน้มน้าวให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี ที่ต่อต้านไวรัสก่อโรคโควิด-19 ขึ้น โดยในเวลานี้นัก
 
วิทยาศาสตร์กำลังค้นคว้าวิจัยเพื่อหาว่ากลไกส่วนใดที่ทำให้เกิดลิ่มเลือดขึ้นในร่างกายของผู้ได้รับวัคซีนนี้ โดยสมมุติฐานที่เชื่อกันว่าเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ อะดีโนไวรัสที่เป็นตัวพาหะอาจเป็นตัวการก่อให้เกิดภาวะนี้ขึ้น โดยไม่พบภาวะเช่นเดียวกันนี้ในผู้ที่ได้รับวัคซีน ไฟเซอร์/ไบออนเทค และ โมเดอร์นา ที่เป็นวัคซีนประเภท เอ็มอาร์เอ็นเอ แต่อย่างใด
 
ซีดีซี แถลงว่า เกือบทั้งหมดของผู้ที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันและเกล็ดเลือดต่ำหลังฉีดวัคซีนเจแอนด์เจ เป็นผู้หญิง อายุ ระหว่าง 18-49 ปี โดยมีอัตราการเกิดสูงสุดในกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุ 30-39 ปีที่อัตรา 12.4 รายต่อ 1 ล้านรายที่ได้รับวัคซีน รองลงมาคือ กลุ่มอายุระหว่าง 40-49 ปี ที่อัตรา 9.4 รายต่อ 1 ล้านราย ทั้งนี้ในจำนวน 28 รายที่เกิดภาวะทีทีเอส มีเพียง 6 รายเท่านั้นที่เป็นเพศชาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่