🎉🎉 "อ๊อฟ" ปั้น "บีบี" เป็นผู้จัด จับคู่ "ณเดชน์-โบว์"|🧳แพ็กกระเป๋าเดินทางกลับ ''บ้านหนองกะแยง''🌾🥳 + เรื่องย่อ

เป็น “ลูกไม้ใต้ต้น” สายเลือดคนบันเทิงของจริง หลังบ่มเพาะทายาทเรียนรู้งานในกองละครมาแทบทุกหน้าที่ 
จนถึงเวลาผู้กำกับละครดังเจ้าของหลายรางวัลการันตี อ๊อฟ พงพัฒน์ วชิรบรรจง ก็ผลักดันลูกสาวคนเก่ง บีบี เอกนรี ขึ้นแท่นผู้จัดละครครั้งแรก 
ในละครเรื่องล่าสุด “มนต์รักหนองผักกะแยง” ที่พร้อมเริ่มตอนแรกหน้าจอ 14 พ.ค.นี้ ทางช่อง 3 งานนี้ อ๊อฟ เปิดใจว่า
“ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ช่วงที่บีบีเรียนจบมาใหม่ๆ ทางพี่ก็ให้มาฝึกงานที่กองละคร เพราะอยากให้เค้าเรียนรู้งานในทุกตำแหน่ง
เพราะกว่าจะผลิตละครเรื่องหนึ่งออกมาได้ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างรวมกัน ตั้งแต่ศึกษาเรื่องบท ดูเรื่องแคสติ้ง
พี่ให้ทำงานทั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับ ถ่ายภาพ ทำเวที ทำคิว วางคิวถ่าย ดูเรื่องเพลงประกอบละคร ตัดต่อ
ซึ่งบีบีเค้าก็ชอบ สนุกกับมัน ทำให้เราสบายใจ และให้ก้าวขึ้นมาดูแลงานในส่วนของการเป็นผู้จัดละคร”
 
อ๊อฟกล่าวถึงละครเรื่องนี้ว่า “ขอสารภาพเลยว่าตั้งแต่เตรียมงานกันมาตั้งแต่แรก ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นละครเพลงเลย 
จนกระทั่ง ถึงตอนที่ถ่ายทำฉากที่ณเดชน์ กับ เต๋า-ภูศิลป์ ต้องร้องเพลงด้วยกัน ช่วงที่ทำไร่แตงกวา 
เราก็รู้สึก เออ...เด็กสองคนนี้ร้องเพลงดี ร้องโคตรเพราะเลย
ครั้งต่อมา ฉากที่ทุกคนไปแสดงที่งานวัด ร้องหมอลำ ก็ร้องกันได้อีก หลังจากนั้นทุกคนก็ใส่กันเต็มที่
ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่า แต่ละคนเป็นนักร้องอาชีพกันแทบทั้งนั้นเลย มันก็เลยเป็นความลงตัว
พี่ก็เลยใส่เพลงเข้าไป แบ่งสัดส่วนให้พอดี จะทำให้คนรู้สึกสนุกมากขึ้น ได้รอยยิ้ม ได้สัมผัสทั้งเรื่องราวและบทเพลง ไปพร้อมๆกันเลย
ด้าน บีบี–เอกนรี ผู้จัดใหม่ป้ายแดง พูดถึงละครเรื่องแรกว่า “เป็นการทำงานที่กดดันมากๆค่ะ บีทำการบ้านอย่างหนัก ร่วมกับคุณพ่อ
พยายามปรับเปลี่ยนเรื่องราวให้เป็นไปตามสถานการณ์ ให้ทันสมัย เพื่อให้เนื้อเรื่องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เราพยายามใช้นักแสดงที่เป็นคนอีสานจริงๆ 
เพื่อให้ได้กลิ่นอายของความเป็นอีสาน มีความเป็นคนพื้นถิ่น คนดูแล้วเชื่อได้ 
แต่ก็มีนักแสดงบางท่านที่ไม่ใช่คนอีสาน เราก็ต้องช่วยกันฝึกช่วยกันซ้อมบท เป็นการทำงานทีมใหญ่จริงๆค่ะเรื่องนี้ 
แล้วเราก็โชคดี ที่ได้พระเอกและนางเอกอย่าง ณเดชน์ และ โบว์-เมลดา ซึ่งเป็นลูกอีสานของจริงมาเล่นด้วย 
ถึงแม้ทั้งสองท่านจะไม่ได้พูดอีสานตลอด เพราะมาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ แต่พอได้บท มีการเคาะสนิม รื้อฟื้น ภาษาท้องถิ่นเลยผ่านฉลุย”
บีบีเล่าเรื่องการทำงานว่า “มีการบ้านให้บีต้องคิดตลอด การนำเสนอละครก็จะมีทั้งเรื่องเพลงที่แทรกเข้ามาอยู่พอสมควร 
ซึ่งคุณพ่อเองก็บอกกับบีตามตรงว่า ตอนแรกทีเดียวไม่ได้ตั้งใจให้เป็นละครเพลงแบบเต็มสูบ แต่ด้วยแคสติ้งที่ทุกคนสามารถร้องเพลงได้
ด้วยจังหวะของละครตรงนั้นพอมีการร้องเพลง มีเพลงเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะมีความสมบูรณ์ขึ้นมา อย่างที่เราก็คาดไม่ถึงเลยเหมือนกันว่ามันจะลงตัวขนาดนี้”
ชื่อเรื่องก็บอกว่าเป็นละครเกษตรกร “มีเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ค่ะ อันนี้มีการไปเวิร์กช็อป ตั้งแต่ละครยังไม่เปิดกล้อง
ซึ่งนักแสดงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอถึงเวลาที่เราถ่ายทำจริง มันก็ดูทะมัดทะแมง มีความอินไปกับบทมากยิ่งขึ้นค่ะ
และเรื่องนี้สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือเรื่องของประเพณีของทางอีสาน รับรองว่าเมื่อได้ดูแล้ว ทุกคนก็คงอยากกลับบ้าน อยากไปหาคนในครอบครัว
อยากกลับไปอยู่กับธรรมชาติ พ่อแม่พี่น้องที่มีน้ำใจต่อกัน วิถีของชาวบ้านที่มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน
ซึ่งคีย์ตรงนี้ คือความสำคัญของตัวเรื่องที่คุณพ่ออยากสื่อให้ทุกคนรู้ ก็คืออยากให้ทุกคนกลับบ้าน
เพราะไม่มีที่ไหนดีและมีความสุขเท่าการกลับไปอยู่บ้านของเรา ฝากติดตามละครมนต์รักหนองผักกะแยงกันให้ได้นะคะ อยากให้ทุกคนได้ชมกันค่ะ”
เรื่องย่อ  บ้านหนองกะแยงเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมอยู่ในภาคอีสาน ในหมู่บ้านมีหนองน้ำหลายหนองกระจายอยู่รอบหมู่บ้าน
มีผักกะแยงรสเผ็ดกลิ่นร้อนแรง ผักโปรดของชาวอีสานบ้านเฮา ขึ้นอยู่ริมหนอง ให้ชาวบ้านได้เก็บไปแกงไปแซ่บได้ตลอดปี ทำให้เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน
ธรากร หรือ "เขียว" มีคู่หูคู่ปรับอยู่ข้างบ้าน ชื่อ เด็กหญิงชมพู่ ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พอโตขึ้น เขียวย้ายไปเรียนที่กรุงเทพ
ทำให้ทั้งสองตั้งแยกจากกัน จากที่เคยเป็นนักเรียนยอดนิยม นักกีฬาตัวเด่น เขียวกลายเป็นไอ้บ้านนอก ไอ้ลาวเด็กอีสาน พูดไทยไม่ชัด
โดนเพื่อนร่วมชั้น นอกชั้นกลั่นแกล้งสารพัด กลายเป็นตัวตลกในโรงเรียน ธรากรสติแตก โทษว่าเป็นความผิดยายที่เป็นคนอีสาน
ทำให้ตัวเองต้องโดนเพื่อนแกล้ง ไม่มีใครยอมรับแบบนี้ ประกาศกร้าวว่าจะไม่กลับไปบ้านหนองกะแยงอีก ยายเพียร เสียใจมาก
แต่ไม่โกรธโทษหลานรัก ตรงกันข้ามกลับเป็นห่วงหลานอย่างสุดหัวใจ ธรากรฝึกพูดภาษาไทยจนชัด โดยที่ไม่มีสำเนียงอีสาน
ได้กลับมาเป็นหนุ่มป๊อปปูล่าร์อีกครั้งหนึ่ง มันคือชีวิตที่เริ่ดเลอเพอร์เฟคของหนุ่มวัยรุ่น ชมพู่จบม.6 สอบติดคณะเกษตรที่มหาวิทยาลัยประจำจังหวัด
ส่วนเขียวได้เข้าเรียน คณะนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพ วันรับปริญญาของเขียว ชมพู่เดินทางเข้ากรุงเทพ เพื่อมาแสดงความยินดี
แต่เขาทำเมิน ดูถูกว่าชมพู่เป็นเด็กบ้านนอก ไม่ได้สนิทกัน มาทำไม ชมพู่โกรธและเสียใจมาก  พอเรียนจบชมพู่ได้งานเป็นเจ้าหน้าที่เกษตรประจำจังหวัด
และภายหลังตัดสินใจลาออกมาลงมือทำ ไร่แบ่งฝันปันรัก ไร่อินทรีย์ สอนและช่วยเหลือชาวบ้านหนองกะแยง ดูแลพ่อและแม่อย่างมีความสุข
ส่วนเขียวพอเรียนจบ ก็ได้งานเป็นผู้กำกับละครตั้งแต่อายุยังน้อย ได้แฟนชื่ออลิซ เป็นนางร้าย เขียวรักมาก หลงมาก
รับงานที่ผ่านเข้ามาทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อผ่อนคอนโด หลักหลายล้าน ที่ทำสัญญาซื้อ ในชื่อของอลิซ ตั้งใจจะใช้เป็นเรือนหอ และใช้สู่ขอแฟนสาวระหว่างที่เขียวกำลังฝันหวาน อลิซก็นำโฉนดไปแล้ว แถมอลิซประกาศแต่งงานกับชายอื่นแบบสายฟ้าแล่บ เขียวช็อกแทบบ้า เงินไม่เหลือ ติดต่ออลิซไม่ได้
สุดท้ายเขียวจึงจำใจ กลับบ้านหนองกะแยงในที่สุดเขียวมาถึงบ้านหนองกะแยง วันงานบุญของหมู่บ้าน โดยมีชมพู่ขับรถมารรับ
ปิดหน้าปิดตาจนเขียวจำไม่ได้ ที่สำคัญ กว่าจะกลับถึงบ้าน ก็ต้องพบกับเรื่องราวมากมาย เกินบรรยาย จนเขียวถึงกับร้องไห้ออกมา
ทั้งยายเพียร มานิต พิไล น้าพิลา ต่างดีใจที่เขียวกลับมาบ้าน
แต่เขียวกลับมองว่า หากวันหนึ่งเขาขายที่ดิน ซึ่งเป็นสมบัติของครอบครัวได้เมื่อไหร่ จะหอบเงินกลับไปตั้งหลักที่กรุงเทพฯให้ได้
ชมพู่มาเช่าที่ดินของยายเพียร เพื่อทำไร่เกษตรอินทรีย์ มีชื่อว่า "ไร่แบ่งฝัน ปันรัก" ไร่นี้ไม่มีลูกจ้าง อาศัยแรงงานอาสาสมัครชาวบ้าน ครูและนักเรียน 
มีการตอบแทนแรงงานด้วยตะกร้าอาหาร ผลผลิตจากไร่  อาสาสมัครตัวหลักประจำไร่ คือ ครูริช ครูอาสาชาวอเมริกัน สอนภาษาอังกฤษ 
ณ รร.บ้านหนองกะแยง หนุ่มรูปหล่อ นิสัยดี เป็นคนติดดิน พูดอีสานได้ ชอบวัฒนธรรม อาหารอีสาน แถมยังชอบสาวอีสาน ที่ชื่อชมพู่ อีกด้วย
ชมพู่เปิดตัวว่าเป็นเจ้าของโครงการไร่ เขียวเจรจาขอให้เธอยกเลิกสัญญา
ชมพู่จึงมีข้อแม้ ให้เขียวเรียนรู้เรื่องการทำเกษตร จนครบทุกด่านเสียก่อน แล้วเธอจะยอมคืนไร่แบ่งฝันปันรักให้ 
การกลับมาครั้งนี้ เขียวได้พบกับเพื่อนเก่าอย่างยอด และส้มแป้น ซึ่งตอนนี้ยอด กลายเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หลังจากที่เมียของเขาทิ้งไปมีสามีใหม่ 
ส่วนส้มแป้น ก็เปิดร้านขายส้มตำ เลี้ยงดูลูกสาวฝาแฝดสองคน เพราะสามีเอาแต่กินเหล้า และติดการพนัน จนต้องแยกทางกัน
ถึงแม้เขียวจะไม่เต็มใจ ทำงานในไร่นัก แต่กาลเวลา ก็ทำให้เขาเกิดความรัก ความผูกพันกับบ้านเกิดอีกครั้ง 
ความสัมพันธ์อันเอื้อเฟื้อ มีจิตใจอันงดงามของผู้คนที่บ้านหนองผักกะแยง ทำให้เขียวเริ่มเปลี่ยนไป 
เขียวเริ่มเรียนรู้วิถีชีวิตที่แท้ ทั้งเรื่องการทำนาข้าวอินทรีย์ การเลี้ยงใส้เดือน การปลูกผักอินทรีย์ การทำน้ำส้มควันไม้ การเลี้ยงไก่อารมณ์ดี 
การทำน้ำหมักหลากสูตร อีกทั้งประเพณีของชาวอีสานอีกต่าง ๆ มากมาย ที่แสดงถึงความรักสามัคคีที่มีต่อกัน
จากคนที่ไม่อยากพูดภาษาอีสาน เขียวกลับมาพูดภาษาอีสานอีกครั้ง อย่างภาคภูมิใจ 
ส่วนครูริช ก็ยังคงหลงรักชมพู่ โดยไม่ได้หันไปมองครูน้ำฝนเลย ว่าเธอเอง ก็รักและหวังดีต่อครูริชเช่นเดียวกัน 
เขียวเริ่มตัดใจจากคนรักเก่าได้แล้ว และเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักชมพู่เข้าให้แล้ว ทั้งพิลา พิไล ยายน้อย มานิต สมศักดิ์ ต่างเชียร์ให้ชมพู่และเขียวรักกัน 
เขียวเห็นว่าชมพู่สนิทสนมกับครูริชมาก ก็ลังเล และนึกน้อยใจ โดยที่ไม่มีใครรู้เลย ว่าชมพู่นั้น รักเขียวมาตั้งแต่วัยเด็ก 
และหัวใจของเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง รอคอยวันที่เขียวจะกลับมาที่บ้านหนองกะแยงอีกครั้ง
ครูริชได้รับรู้ว่าทั้งสี่ห้องหัวใจของขมพู่ มีแต่เขียวเพียงคนเดียวเท่านั้น ครูน้ำฝน ปลอบใจครูริช จนทำให้ครูริชใจอ่อน ยอมเปิดใจให้กับครูน้ำฝน
ส่วนยอดและส้มแป้น ก็มาช่วยงานที่ไร่แบ่งฝันปันรักเสมอ 
หัวใจที่เคยอ้างว้าง ผิดหวัง ของทั้งสองคน ต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งสองครอบครัว หล่อหลอมหัวใจเป็นหนึ่งเดียว
รวงข้าวในนาเริ่มตั้งท้อง มองไกลๆเห็นเมล็ดข้าวสีเขียว สีเหลืองอ่อน สลับกับสีทองระยิบระยับ 
แล้ววันหนึ่ง มอส ก็ยกกองถ่ายทำ มาที่บ้านหนองกะแยง โดยมีอลิซมาด้วย อลิซเลิกกับสามีแล้ว และตามกลับมาขอคืนดีกับเขียว 
เขียวสับสนว่าจะเลือกทางไหน ส่วนชมพู่ก็ร้องไห้เสียใจ ยิ่งเมื่อทุกคน รู้ความจริง ว่าเขียวจะขายที่ ทำให้ทุกคนผิดหวัง เสียใจมาก
ชมพู่คืนสัญญาการเช่าไร่แบ่งฝันปันรักให้เขียว แล้วเดินจากไป ! สุดท้ายเขียวจะทำเช่นไร
จะเลือกกลับไปใช้ชีวิตหรูหราที่กรุงเทพฯ กับคนรักเก่า หรือจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหนองกะแยง ที่ไร่แบ่งฝันปันรักแห่งนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่