ถือว่า มาขอเป็นที่ระบาย และคำปรึกษา ว่าจะจัดการปัญหาหัวใจยังไงดีนะครับ
ละเอียดยิบ มีประเด็นให้ช่วยสอนผมหน่อย ค่อยๆอ่านครับ
ผมอายุ 43 ปี โสดไม่มีลูกและครอบครัว ก็ถนัดทางหาคนรู้ใจ บนเฟซบุ๊คมาบ้าง แต่ครั้งนี้เจอประสบการณ์ไม่ดี
เมษายน ปีก่อน มีวาสนา มีเงินมีทอง รีโนเวทบ้านแล้วขายได้ เหลือเงินสดเยอะ เวลาว่างก็เยอะ ติดโควิด งานไม่มี
ตั้งใจว่า เงินจากขายบ้าน จะไปตั้งต้นริเริ่มชีวิตเกษตรกร จะหลบหนีเมือง อยากมีคู่ใจร่วมความคิดเดียวกัน
ก็เหมือนมีอะไรดล ให้ไปเจอ สตรีนางหนึ่ง ในเฟซบุ๊ค นี่แระ
นางโพสต์ ในกรุ๊ปที่เกี่ยวข้องกับการหาที่ดินทำกิน ทำเกษตร
คือ นางมีที่ดิน เป็นสวนองุ่น ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งขาดคนดูแล ใครอยากทำอะไร ให้ขึ้นไปทำได้ เฝ้าไร่ให้เขาด้วย ทำนองนั้น
เราก็มีความสนใจ เข้าไปทักทายตามกระทู้นั้น แล้วแอดเป็นเพื่อน
จนกระทั่งได้สนทนากันในแชท ต่อ อีกราว 3 เดือน
เริ่มคุ้นเคย เริ่มมีเรื่องลึกๆ ให้เรารู้จัก
คือ อายุเท่ากัน เป็นหม้ายยังสวย สามีที่อายุมากกว่าเสีย เมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนหน้านี้ สัก 5-6 ปีที่แล้ว คือ นางเป็นเจ้าของไร่องุ่น มีที่ดินมากมาย 30-40 ไร่ ทางเหนือ ปลูกองุ่นไป เทรดหุ้นไป ชีวิตดีงามสนุกสนาน สวยงาม
หมายถึง 6 ปีก่อน นางทิ้งชีวิตภรรยา และแม่ ของลูกสองคน ในบ้าน กทม. แยกไปใช้ชีวิตอิสระ เทรดหุ้น ลงทุนที่ดิน ปลูกบ้าน ทำไร่ ปฏิบัติธรรม
สามี อายุเยอะกว่า สิบกว่าปี ก็เลยเลี้ยงลูกสาวลูกชาย ลำพัง
เมียและแม่ มีรูปสมบัติ ปัญญาสมบัติ ทรัพย์สมบัติ เพรียบพร้อม เลยหนีไปเข้าทางธรรม ศึกษาวิปัสนา คิดจะหลุดพ้น (ความตอนหลังที่ทราบแล้ว คือ ไม่น่าใช่)
ยิ่งปฏิบัติดี ยิ่งมีนิมิต เห็นหุ้น เล่นรวยเอาๆ
นิมิต ที่ทักเรา สมัยยังจีบกัน มาอ่านทบทวนทีหลัง เอ้า นางรู้ได้ไง เกิดตามนั้นหมดเลยครับ
ไร่องุ่น กว้างใหญ่ไพศาล สวยกริ้บ เป็นคุณนาย ทำไร่แบบคล้ายสวนธรรม วันพระก็ถือศีลแปดใส่ขาว กรรมฐาน
ทีนี้ เหมือนมีวิบากกรรม ลูกเกิดป่วย สามีโทรมาให้ ลงมาดูลูก พอแอดมิทลูกเสร็จ กำลังกลับบ้าน สามีเกิดสโตรกหัวใจ เสียชีวิตในทันที คาตาเลย (ขออโหสิกรรมที่กล่าวถึงผู้วายชนม์)
จากชีวิต นักเทรด ฟาร์มเมอร์ ที่ยังโสด ยังสวย ยังสาว เหมือนวิมานทลายครืนลงมา
ผัวที่รักตน แต่ตนหนีมา มาตายกระทันหัน เศร้าโศกเสียใจ สาหัสมาก ต้องทิ้งสวนที่สวยงาม ทิ้งองุ่น ทิ้งสถานที่ปฏิบัติธรรม ลงมาดูแลลูก กำลังเรียน ป.ตรี
เป็นโรคซึมเศร้า ติดมาด้วย...
ไร่สวนที่งดงาม คือทิ้งเลย
จนมาเจอเรา ฤดูฝนปี 63 เราลึกซึ้งกัน
ก็คบค้ากัน อย่างไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นที่พึ่งทางกายทางใจกันมา ไม่นาน แฟนก็พาไปชมไร่องุ่นที่ปล่อยร้างไว้ พาเราพบพ่อแม่
ชอบให้พาไปในที่ไกลมากๆ ไปพระธาตุต่างๆ
เขาคุยเราว่า ขายสวนนี้ได้ ไปเริ่มต้นอะไรๆกันใหม่ บนที่ดินรอบๆ ปริมณฑลก็ดี ที่นี่คือไกลเกินไป ( สุดขอบแดนเชียงราย)
นานวันเข้า สวนก็ขายไม่ได้ ภาวะวิกฤตขายคงยาก (เป็นที่ดิน สปก.)
เขาเอง ไม่มีภาระอะไรเลย ลูกๆเรียนจบหมดแล้ว พ่อทิ้งเงินไว้ให้ลูกๆแบบไม่ต้องทำอะไร สวนเดิมก็ให้ผลผลิต เป็นเงิน หล่อเลี้ยงเล็กน้อย
เราเองก็พาแม่ และพี่ชายขึ้นไปพบปะครอบครัวเขา ไปทีนึงก็ขาละ เกือบ 1000 km ก็คนรักกันนี่เอง
แฟนผมเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่เขาก็เหนื่อยที่จะช่วยดูแลสวนเอาไว้แล้ว
อยากให้ใครสักคนมาช่วยเป็นเรี่ยวแรงรักษา ที่ดินอันนี้เอาไว้
แม่เขา เคยพูดประมาณว่า คนจะตายก็ห้ามไม่ได้เนอะ
คือปลอบเรา ว่า ที่สามีลูกสาวเขาตายน่ะ ไม่ใช่ความบกพร่องใคร
เราเอง ก็มีท่าที เหมือนว่า ยังไงๆ ที่ดินภาคกลาง ใกล้ กทม. ก็ควรปักหลักปักฐาน มากกว่า ดูแลทรัพย์สินใน กทม.สะดวก น้ำท่าชุ่มฉ่ำ ไปมาสะดวกกว่ามาก
รักนางไหม ถามแบบนี้ ก็รัก
อยากมีลูกมีครอบครัวด้วยกัน
แต่ให้สละทั้งหมดชีวิต เพื่อไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่ชีวิต จิตใจได้ไหม ถ้าเป็นไปได้ ผมก็เห็นว่าไม่เหมาะ
ไกลแม่ (แม่ผมชรามากแล้ว 75ปี)
ผมชอบพื้นแผ่นดินราบเรียบ มีคลองหนองน้ำ มีนาข้าวเขียว ใกล้ กทม.
แต่บ้านนางอยู่ที่นั่น ถึงห่างไกล นางก็รักที่ดินของนางมากเช่นกัน และสรุปด้วย มันขายไม่ได้ ต้องไปทำมันต่อ ต้องไปฟื้นฟู เราก็ไปช่วยครั้งคราว
นางกลับไร่องุ่นถี่ๆ ไปแป้ปๆนึง ก็รีบกลับ กทม. มาหาลูกๆ ลูกมีอาการหวงแม่ ไม่ต้องการให้แม่หนีไปอยู่ไกลๆ ทิ้งพวกเขาไว้ จนพ่อเสียอีก
(อันนี้ เป็นปัญหาชีวิต ขั้นหนักของเขา)
ลูกกล่าวหาว่าแม่ ทิ้งพ่อไปจนพ่อตาย บางทีดื้อรั้น หนีออกจากบ้าน
(ผมละสงสารเวทนาลูกๆเขามาก เพราะเหมือนแม่จะไม่ค่อยอาทรลูกจริงๆด้วย นางอยากกลับแต่เชียงราย)
ต้นปีนี้ ผมทำหน้าที่ พาลูกและแฟน ไปลอยเถ้ากระดูกให้พี่สามีผู้ล่วงลับ
คิดว่าน่าจะมีกุศลร่วมกันมาบ้าง
กลับบ้านเขามา ปรากฏว่า ลูกสองคนทะเลาะเบาะแว้งกันอีก ถึงขั้นแจ้งตำรวจทำร้ายร่างกายกันเอง ลูกคนโตหนีออกจากบ้าน โทรหากันทั้งคืนทั้งวัน
สรุปว่า ไปนอนโรงพยาบาลจิตเวช(น้องเป็นซึมเศร้า ตั้งแต่พ่อจากไป) จิตแพทย์โทรบอกแฟนผมว่าลูกอยู่ที่นี่ พอไปพบ เด็กก็ไม่อนุญาตให้แม่เข้าเยี่ยม เพราะบรรลุนิติภาวะแล้ว
เราก็สงสารครอบครัวเขามาก ที่ต้องมาพบปัญหาแบบนี้
แฟนเขาตึงเครียด ก็ขับรถมาหาเรา ที่บ้าน กทม. ใกล้กัน เราทำกับข้าวดีๆ ให้กิน ปลอบประโลม เท่าที่หน้าที่คนรักกันจะช่วยได้
บางครั้ง ที่นางไม่พึงพอใจ เรื่องผม เรื่องแฟนเก่าๆ นางก็มีโทสะ ลงไม้ลงมือตบตีเรา เราก็มีความ สนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาแล้ว นางจะควบคุมตัวไม่ได้ ลงมือตบตีเราในกรณีที่เราตักเตือนอะไรๆ
เราก็ยังเห็นใจ และรัก
ต้นปีที่ผ่านมา นางต้องแยกลูกคนหนึ่ง ไปให้อยู่อพาร์ทเม้น คนหนึ่งอยู่บ้าน
แล้วนางก็กลับที่ดินอีกครั้ง ในต้นเดือนมีนา และเป็นครั้งที่หายไปจากผม นานกว่า 2 เดือนแล้วครับ
เรื่องเกิดกับผมอย่างช้ำใจ พอควร
นางมีนัดเจาะทำน้ำบาดาลบนไร่ บอกเราจะไปเพียง 7 วัน เราก็ไม่ได้ไปด้วยดังเคยๆ เราบอกเสร็จแล้วก็รีบกลับนะ
ไปถึง ได้เพียงไม่กี่วัน ด้วยนางเป็นคนสวย แถมทรัพย์สินมากมี ผู้ชายที่มาตื้อจีบ ในเฟซบุ้คนั้นนับไม่ถ้วนเป็นทุนอนุ่แล้ว
ไปถึงไร่ ก็มีมาบ่นๆ ว่าผู้รับเหมาคนเจาะบาดาล มาอ้อนพ่อ มาปากหวาน มาจีบ ว่าจะมาช่วยดูแลไร่ให้ คนที่พูดจาภาษาเดียวกันทางนั้น พ่อตาก็ต้อนรับเขา ให้นอนในบ้าน กันเลย
แฟนบ่นกับผมเพียงไม่กี่วันครับ ว่าผู้ชายตามจีบๆ หนีเขายังงั้นยังงี้
ถัดมาแป้ปเดียว นางขึ้นนั่งรถเขาถ่ายโชว์ลงเฟซ เรียบร้อย ไปไหนมาไหนกับคนนั้น
เราก็แซว ทักกันว่า จะแต่งงานจริงๆ จะตกลงปลงใจ ก็บอกผมนะ ผมไม่ได้ไปดูแลทางนั้นด้วย ก็หลีกทางด้วยดีได้
พ่อเขาสนับสนุนแบบนั้น
เราไม่ติดใจไรหรอก คงเหมาะควรแล้ว
นางปฏิเสธ เนี่ยสิ ปัดว่าเราแทน ว่าใครจะมั่วแบบเธอ(เรา) ไม่ใช่ ไม่เอา ไม่แต่ง
และก็ยังคงสถานะพูดคุยกับเรา สม่ำเสมอมาตลอด และเราก็สังเกตได้ ว่า ไม่ใช่อาการปกติ แต่ยังนอนใจครับ ว่าเขาคงไม่ทำเรา ก่อนไป มีทุกข์เรื่องลูกยังมากินข้าวปลากับแม่เรา
คงไม่น่าจะปล่อยตัว
มีนา 1 เดือน ภารกิจเจาะน้ำก็เสร็จแล้ว แต่ไม่กลับแฮะ
เราเฝ้าถาม มาแต่มีนา ว่าธุระเสร็จแล้ว จะกลับบ้างไหม ห่วงลูกบ้างนะ ได้รับคำตอบบ่อย ว่า 2-3 วัน กลับแล้ว
เรื่องเกิดแดงขึ้น กลางเดือนเมษายนครับ หลังจากเทศกาลสงกรานต์ครับ นางหายเงียบ เฟซไม่ตอบ ไลน์ไม่ตอบ โทรไม่รับ
จนเราเอา sim2 โทรหา ในเช้าวันหนึ่ง
เจอดี ถึงกับอึ้ง เราโทรหาคนของเรา
พบว่าพึ่งตื่น งัวเวีย
เสียงผู้ชายออกตัว ว่าที่รัก มีอะไรหรือ
ผมก็บันดาลโทสะรุนแรง ใช้ถ้อยคำไป แล้วเขาหลบวางสายไป
เราโทรอีก ทีนี้ ไอ้หมอนี่ออกอาการกักขฬะ ว่า มายุ่งอะไรกับเมียเขา
เราก็หมด ความสุภาพอะไรแล้ว
ตอบโต้ไป ว่า ทำไมออกตัวแรงว่านี่คือเมียครับ ก่อนไปนางก็มานอนบ้านกับผม มันก็เมียกันหมดสิ
ยังไม่ได้แต่งงานกัน ก็ใช้ถ้อยคำให้มันถ่อมตนลงบ้าง ไปจดทะเบียนสมรสเสียก่อน ค่อยสมอ้าง
ก็ต่อว่าไปว่า ระวังต้องเลี้ยงลูกผมก็แล้วไป
สุดท้าย นางแฟนหม้ายออกเสียง มาว่า ให้เราพอแล้ว..
ก็ใจแตกสลายน่าดูครับ
ว่าเราเลือกคบ เลือกใช้เวลากับคนที่ มีความรู้ มีความคิด เคยนั่งสวดมนต์ อาราธนาศีล แผ่เมตตา พร้อมๆกัน
แต่เวลา คนมันจะหักหลังกันนี่ มันไม่เห็นหัวเราใดๆเลย
เคยถามมาก่อนว่า ใช่ไหม เอาไหม ยอมรับแล้วไล่ผมไป เสียมันก็สิ้นเวรแก่กันตั้งแต่ต้นแล้ว
เราไม่เคยคิดว่าจะต้องราวีแย่งชิงเลย ใครพร้อมก็ดูแลคุณไป
ผมอยากขอคำวิจารณ์สักนิด
1.มีเหตุผลอะไร ต้องรอให้ผู้ชายมันมาฉะกันขนาดนี้ก่อน ถึงจะรู้สึกรู้สาครับ
2. ที่ไม่บอกไม่รับนี่ คือใจกับเราก็มี แต่ทางโน้นก็มีประโยชน์ ต่อที่ดิน อาจจะมาเป็นสามีดูแล ทรัพย์สินให้ แต่เมื่อมา กทม. ก็ยังมาคบค้าเราไว้ต่อ แบบนี้ไหมครับ
3.ปากพร่ำบอกเรา เรื่อง ศีลธรรม สมาธิ เมตตา เห็นใครในแชทของเรา ไล่เชคบิลคนเก่าๆเราจนหมด หึงหวงเรา พอเวลาตัวเองนี่ เงียบ ปากแข็งสนิท คนแบบนี้คือยังไงกันแน่ครับ
4.ผมพอรู้ แล้วว่า เมื่ออดีตกับสามีที่เสียไป นางปล่อยปละละเลย ลูกและครอบครัวแบบไหน ผมเจอคนที่บกพร่องเข้าจริงๆแล้วใช่ไหม
5. ยอมรับว่า เราเองกำลังรับอารมณ์ทั้งรักทั้งเกลียด คนแบบนี้ยังพอสมควร แก่การลดตัวให้อภัยไหมครับ
6. สืบขั้นลึกมา ไอ้ตาคนที่มาแอบจีบแอบกินกันนี่ ก็คนมีลูกมีเมียแล้วอีก เจ้าชู้ บ้านแตกมา เช่นกันกับนางนี่เอง ตามจนเจอภรรยาเขาละ
7.เราคนโสด สวยงามกับความรัก หรือทั้งหมด ทั้งมวล เรามันเบบี๋ ไปเอง โลกมันก็เป็นแบบนี้ละ
ผมก็ว่าจะตัดใจนะ อีกใจก็พยายามนึกถึงความดี ของนาง คนคนนี้ ถ้าโง่เง่าในศีลในธรรม คงเอาดี จนปัญญาแตกฉาน เป็นเจ้าของไร่องุ่นไม่ได้ ผมก็เอาใจช่วยว่าไม่น่าจะทรามขนาดนี้
ช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ
ปล.แท็ก การปฏิบัติธรรม
แท็ก จิตวิทยา
น่าจะเกี่ยวเนื่องในเรื่องครับ
เสียใจ ให้แม่หม้าย ซะงั้น ช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ
ละเอียดยิบ มีประเด็นให้ช่วยสอนผมหน่อย ค่อยๆอ่านครับ
ผมอายุ 43 ปี โสดไม่มีลูกและครอบครัว ก็ถนัดทางหาคนรู้ใจ บนเฟซบุ๊คมาบ้าง แต่ครั้งนี้เจอประสบการณ์ไม่ดี
เมษายน ปีก่อน มีวาสนา มีเงินมีทอง รีโนเวทบ้านแล้วขายได้ เหลือเงินสดเยอะ เวลาว่างก็เยอะ ติดโควิด งานไม่มี
ตั้งใจว่า เงินจากขายบ้าน จะไปตั้งต้นริเริ่มชีวิตเกษตรกร จะหลบหนีเมือง อยากมีคู่ใจร่วมความคิดเดียวกัน
ก็เหมือนมีอะไรดล ให้ไปเจอ สตรีนางหนึ่ง ในเฟซบุ๊ค นี่แระ
นางโพสต์ ในกรุ๊ปที่เกี่ยวข้องกับการหาที่ดินทำกิน ทำเกษตร
คือ นางมีที่ดิน เป็นสวนองุ่น ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งขาดคนดูแล ใครอยากทำอะไร ให้ขึ้นไปทำได้ เฝ้าไร่ให้เขาด้วย ทำนองนั้น
เราก็มีความสนใจ เข้าไปทักทายตามกระทู้นั้น แล้วแอดเป็นเพื่อน
จนกระทั่งได้สนทนากันในแชท ต่อ อีกราว 3 เดือน
เริ่มคุ้นเคย เริ่มมีเรื่องลึกๆ ให้เรารู้จัก
คือ อายุเท่ากัน เป็นหม้ายยังสวย สามีที่อายุมากกว่าเสีย เมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนหน้านี้ สัก 5-6 ปีที่แล้ว คือ นางเป็นเจ้าของไร่องุ่น มีที่ดินมากมาย 30-40 ไร่ ทางเหนือ ปลูกองุ่นไป เทรดหุ้นไป ชีวิตดีงามสนุกสนาน สวยงาม
หมายถึง 6 ปีก่อน นางทิ้งชีวิตภรรยา และแม่ ของลูกสองคน ในบ้าน กทม. แยกไปใช้ชีวิตอิสระ เทรดหุ้น ลงทุนที่ดิน ปลูกบ้าน ทำไร่ ปฏิบัติธรรม
สามี อายุเยอะกว่า สิบกว่าปี ก็เลยเลี้ยงลูกสาวลูกชาย ลำพัง
เมียและแม่ มีรูปสมบัติ ปัญญาสมบัติ ทรัพย์สมบัติ เพรียบพร้อม เลยหนีไปเข้าทางธรรม ศึกษาวิปัสนา คิดจะหลุดพ้น (ความตอนหลังที่ทราบแล้ว คือ ไม่น่าใช่)
ยิ่งปฏิบัติดี ยิ่งมีนิมิต เห็นหุ้น เล่นรวยเอาๆ
นิมิต ที่ทักเรา สมัยยังจีบกัน มาอ่านทบทวนทีหลัง เอ้า นางรู้ได้ไง เกิดตามนั้นหมดเลยครับ
ไร่องุ่น กว้างใหญ่ไพศาล สวยกริ้บ เป็นคุณนาย ทำไร่แบบคล้ายสวนธรรม วันพระก็ถือศีลแปดใส่ขาว กรรมฐาน
ทีนี้ เหมือนมีวิบากกรรม ลูกเกิดป่วย สามีโทรมาให้ ลงมาดูลูก พอแอดมิทลูกเสร็จ กำลังกลับบ้าน สามีเกิดสโตรกหัวใจ เสียชีวิตในทันที คาตาเลย (ขออโหสิกรรมที่กล่าวถึงผู้วายชนม์)
จากชีวิต นักเทรด ฟาร์มเมอร์ ที่ยังโสด ยังสวย ยังสาว เหมือนวิมานทลายครืนลงมา
ผัวที่รักตน แต่ตนหนีมา มาตายกระทันหัน เศร้าโศกเสียใจ สาหัสมาก ต้องทิ้งสวนที่สวยงาม ทิ้งองุ่น ทิ้งสถานที่ปฏิบัติธรรม ลงมาดูแลลูก กำลังเรียน ป.ตรี
เป็นโรคซึมเศร้า ติดมาด้วย...
ไร่สวนที่งดงาม คือทิ้งเลย
จนมาเจอเรา ฤดูฝนปี 63 เราลึกซึ้งกัน
ก็คบค้ากัน อย่างไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นที่พึ่งทางกายทางใจกันมา ไม่นาน แฟนก็พาไปชมไร่องุ่นที่ปล่อยร้างไว้ พาเราพบพ่อแม่
ชอบให้พาไปในที่ไกลมากๆ ไปพระธาตุต่างๆ
เขาคุยเราว่า ขายสวนนี้ได้ ไปเริ่มต้นอะไรๆกันใหม่ บนที่ดินรอบๆ ปริมณฑลก็ดี ที่นี่คือไกลเกินไป ( สุดขอบแดนเชียงราย)
นานวันเข้า สวนก็ขายไม่ได้ ภาวะวิกฤตขายคงยาก (เป็นที่ดิน สปก.)
เขาเอง ไม่มีภาระอะไรเลย ลูกๆเรียนจบหมดแล้ว พ่อทิ้งเงินไว้ให้ลูกๆแบบไม่ต้องทำอะไร สวนเดิมก็ให้ผลผลิต เป็นเงิน หล่อเลี้ยงเล็กน้อย
เราเองก็พาแม่ และพี่ชายขึ้นไปพบปะครอบครัวเขา ไปทีนึงก็ขาละ เกือบ 1000 km ก็คนรักกันนี่เอง
แฟนผมเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่เขาก็เหนื่อยที่จะช่วยดูแลสวนเอาไว้แล้ว
อยากให้ใครสักคนมาช่วยเป็นเรี่ยวแรงรักษา ที่ดินอันนี้เอาไว้
แม่เขา เคยพูดประมาณว่า คนจะตายก็ห้ามไม่ได้เนอะ
คือปลอบเรา ว่า ที่สามีลูกสาวเขาตายน่ะ ไม่ใช่ความบกพร่องใคร
เราเอง ก็มีท่าที เหมือนว่า ยังไงๆ ที่ดินภาคกลาง ใกล้ กทม. ก็ควรปักหลักปักฐาน มากกว่า ดูแลทรัพย์สินใน กทม.สะดวก น้ำท่าชุ่มฉ่ำ ไปมาสะดวกกว่ามาก
รักนางไหม ถามแบบนี้ ก็รัก
อยากมีลูกมีครอบครัวด้วยกัน
แต่ให้สละทั้งหมดชีวิต เพื่อไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่ชีวิต จิตใจได้ไหม ถ้าเป็นไปได้ ผมก็เห็นว่าไม่เหมาะ
ไกลแม่ (แม่ผมชรามากแล้ว 75ปี)
ผมชอบพื้นแผ่นดินราบเรียบ มีคลองหนองน้ำ มีนาข้าวเขียว ใกล้ กทม.
แต่บ้านนางอยู่ที่นั่น ถึงห่างไกล นางก็รักที่ดินของนางมากเช่นกัน และสรุปด้วย มันขายไม่ได้ ต้องไปทำมันต่อ ต้องไปฟื้นฟู เราก็ไปช่วยครั้งคราว
นางกลับไร่องุ่นถี่ๆ ไปแป้ปๆนึง ก็รีบกลับ กทม. มาหาลูกๆ ลูกมีอาการหวงแม่ ไม่ต้องการให้แม่หนีไปอยู่ไกลๆ ทิ้งพวกเขาไว้ จนพ่อเสียอีก
(อันนี้ เป็นปัญหาชีวิต ขั้นหนักของเขา)
ลูกกล่าวหาว่าแม่ ทิ้งพ่อไปจนพ่อตาย บางทีดื้อรั้น หนีออกจากบ้าน
(ผมละสงสารเวทนาลูกๆเขามาก เพราะเหมือนแม่จะไม่ค่อยอาทรลูกจริงๆด้วย นางอยากกลับแต่เชียงราย)
ต้นปีนี้ ผมทำหน้าที่ พาลูกและแฟน ไปลอยเถ้ากระดูกให้พี่สามีผู้ล่วงลับ
คิดว่าน่าจะมีกุศลร่วมกันมาบ้าง
กลับบ้านเขามา ปรากฏว่า ลูกสองคนทะเลาะเบาะแว้งกันอีก ถึงขั้นแจ้งตำรวจทำร้ายร่างกายกันเอง ลูกคนโตหนีออกจากบ้าน โทรหากันทั้งคืนทั้งวัน
สรุปว่า ไปนอนโรงพยาบาลจิตเวช(น้องเป็นซึมเศร้า ตั้งแต่พ่อจากไป) จิตแพทย์โทรบอกแฟนผมว่าลูกอยู่ที่นี่ พอไปพบ เด็กก็ไม่อนุญาตให้แม่เข้าเยี่ยม เพราะบรรลุนิติภาวะแล้ว
เราก็สงสารครอบครัวเขามาก ที่ต้องมาพบปัญหาแบบนี้
แฟนเขาตึงเครียด ก็ขับรถมาหาเรา ที่บ้าน กทม. ใกล้กัน เราทำกับข้าวดีๆ ให้กิน ปลอบประโลม เท่าที่หน้าที่คนรักกันจะช่วยได้
บางครั้ง ที่นางไม่พึงพอใจ เรื่องผม เรื่องแฟนเก่าๆ นางก็มีโทสะ ลงไม้ลงมือตบตีเรา เราก็มีความ สนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาแล้ว นางจะควบคุมตัวไม่ได้ ลงมือตบตีเราในกรณีที่เราตักเตือนอะไรๆ
เราก็ยังเห็นใจ และรัก
ต้นปีที่ผ่านมา นางต้องแยกลูกคนหนึ่ง ไปให้อยู่อพาร์ทเม้น คนหนึ่งอยู่บ้าน
แล้วนางก็กลับที่ดินอีกครั้ง ในต้นเดือนมีนา และเป็นครั้งที่หายไปจากผม นานกว่า 2 เดือนแล้วครับ
เรื่องเกิดกับผมอย่างช้ำใจ พอควร
นางมีนัดเจาะทำน้ำบาดาลบนไร่ บอกเราจะไปเพียง 7 วัน เราก็ไม่ได้ไปด้วยดังเคยๆ เราบอกเสร็จแล้วก็รีบกลับนะ
ไปถึง ได้เพียงไม่กี่วัน ด้วยนางเป็นคนสวย แถมทรัพย์สินมากมี ผู้ชายที่มาตื้อจีบ ในเฟซบุ้คนั้นนับไม่ถ้วนเป็นทุนอนุ่แล้ว
ไปถึงไร่ ก็มีมาบ่นๆ ว่าผู้รับเหมาคนเจาะบาดาล มาอ้อนพ่อ มาปากหวาน มาจีบ ว่าจะมาช่วยดูแลไร่ให้ คนที่พูดจาภาษาเดียวกันทางนั้น พ่อตาก็ต้อนรับเขา ให้นอนในบ้าน กันเลย
แฟนบ่นกับผมเพียงไม่กี่วันครับ ว่าผู้ชายตามจีบๆ หนีเขายังงั้นยังงี้
ถัดมาแป้ปเดียว นางขึ้นนั่งรถเขาถ่ายโชว์ลงเฟซ เรียบร้อย ไปไหนมาไหนกับคนนั้น
เราก็แซว ทักกันว่า จะแต่งงานจริงๆ จะตกลงปลงใจ ก็บอกผมนะ ผมไม่ได้ไปดูแลทางนั้นด้วย ก็หลีกทางด้วยดีได้
พ่อเขาสนับสนุนแบบนั้น
เราไม่ติดใจไรหรอก คงเหมาะควรแล้ว
นางปฏิเสธ เนี่ยสิ ปัดว่าเราแทน ว่าใครจะมั่วแบบเธอ(เรา) ไม่ใช่ ไม่เอา ไม่แต่ง
และก็ยังคงสถานะพูดคุยกับเรา สม่ำเสมอมาตลอด และเราก็สังเกตได้ ว่า ไม่ใช่อาการปกติ แต่ยังนอนใจครับ ว่าเขาคงไม่ทำเรา ก่อนไป มีทุกข์เรื่องลูกยังมากินข้าวปลากับแม่เรา
คงไม่น่าจะปล่อยตัว
มีนา 1 เดือน ภารกิจเจาะน้ำก็เสร็จแล้ว แต่ไม่กลับแฮะ
เราเฝ้าถาม มาแต่มีนา ว่าธุระเสร็จแล้ว จะกลับบ้างไหม ห่วงลูกบ้างนะ ได้รับคำตอบบ่อย ว่า 2-3 วัน กลับแล้ว
เรื่องเกิดแดงขึ้น กลางเดือนเมษายนครับ หลังจากเทศกาลสงกรานต์ครับ นางหายเงียบ เฟซไม่ตอบ ไลน์ไม่ตอบ โทรไม่รับ
จนเราเอา sim2 โทรหา ในเช้าวันหนึ่ง
เจอดี ถึงกับอึ้ง เราโทรหาคนของเรา
พบว่าพึ่งตื่น งัวเวีย
เสียงผู้ชายออกตัว ว่าที่รัก มีอะไรหรือ
ผมก็บันดาลโทสะรุนแรง ใช้ถ้อยคำไป แล้วเขาหลบวางสายไป
เราโทรอีก ทีนี้ ไอ้หมอนี่ออกอาการกักขฬะ ว่า มายุ่งอะไรกับเมียเขา
เราก็หมด ความสุภาพอะไรแล้ว
ตอบโต้ไป ว่า ทำไมออกตัวแรงว่านี่คือเมียครับ ก่อนไปนางก็มานอนบ้านกับผม มันก็เมียกันหมดสิ
ยังไม่ได้แต่งงานกัน ก็ใช้ถ้อยคำให้มันถ่อมตนลงบ้าง ไปจดทะเบียนสมรสเสียก่อน ค่อยสมอ้าง
ก็ต่อว่าไปว่า ระวังต้องเลี้ยงลูกผมก็แล้วไป
สุดท้าย นางแฟนหม้ายออกเสียง มาว่า ให้เราพอแล้ว..
ก็ใจแตกสลายน่าดูครับ
ว่าเราเลือกคบ เลือกใช้เวลากับคนที่ มีความรู้ มีความคิด เคยนั่งสวดมนต์ อาราธนาศีล แผ่เมตตา พร้อมๆกัน
แต่เวลา คนมันจะหักหลังกันนี่ มันไม่เห็นหัวเราใดๆเลย
เคยถามมาก่อนว่า ใช่ไหม เอาไหม ยอมรับแล้วไล่ผมไป เสียมันก็สิ้นเวรแก่กันตั้งแต่ต้นแล้ว
เราไม่เคยคิดว่าจะต้องราวีแย่งชิงเลย ใครพร้อมก็ดูแลคุณไป
ผมอยากขอคำวิจารณ์สักนิด
1.มีเหตุผลอะไร ต้องรอให้ผู้ชายมันมาฉะกันขนาดนี้ก่อน ถึงจะรู้สึกรู้สาครับ
2. ที่ไม่บอกไม่รับนี่ คือใจกับเราก็มี แต่ทางโน้นก็มีประโยชน์ ต่อที่ดิน อาจจะมาเป็นสามีดูแล ทรัพย์สินให้ แต่เมื่อมา กทม. ก็ยังมาคบค้าเราไว้ต่อ แบบนี้ไหมครับ
3.ปากพร่ำบอกเรา เรื่อง ศีลธรรม สมาธิ เมตตา เห็นใครในแชทของเรา ไล่เชคบิลคนเก่าๆเราจนหมด หึงหวงเรา พอเวลาตัวเองนี่ เงียบ ปากแข็งสนิท คนแบบนี้คือยังไงกันแน่ครับ
4.ผมพอรู้ แล้วว่า เมื่ออดีตกับสามีที่เสียไป นางปล่อยปละละเลย ลูกและครอบครัวแบบไหน ผมเจอคนที่บกพร่องเข้าจริงๆแล้วใช่ไหม
5. ยอมรับว่า เราเองกำลังรับอารมณ์ทั้งรักทั้งเกลียด คนแบบนี้ยังพอสมควร แก่การลดตัวให้อภัยไหมครับ
6. สืบขั้นลึกมา ไอ้ตาคนที่มาแอบจีบแอบกินกันนี่ ก็คนมีลูกมีเมียแล้วอีก เจ้าชู้ บ้านแตกมา เช่นกันกับนางนี่เอง ตามจนเจอภรรยาเขาละ
7.เราคนโสด สวยงามกับความรัก หรือทั้งหมด ทั้งมวล เรามันเบบี๋ ไปเอง โลกมันก็เป็นแบบนี้ละ
ผมก็ว่าจะตัดใจนะ อีกใจก็พยายามนึกถึงความดี ของนาง คนคนนี้ ถ้าโง่เง่าในศีลในธรรม คงเอาดี จนปัญญาแตกฉาน เป็นเจ้าของไร่องุ่นไม่ได้ ผมก็เอาใจช่วยว่าไม่น่าจะทรามขนาดนี้
ช่วยเตือนสติผมหน่อยครับ
ปล.แท็ก การปฏิบัติธรรม
แท็ก จิตวิทยา
น่าจะเกี่ยวเนื่องในเรื่องครับ