ขอขอบคุณเพจประวัติศาสตร์การปืน Firearms History อย่างสูงครับ
https://www.facebook.com/FirearmsHistory/
*เขียนในปี 2017
เมื่อนึกถึงปืนในตระกูล AR-15/M16 ที่ตัดลำกล้องสั้นมากๆเเล้ว ส่วนใหญ่ก็คนจะนึกถึงปืนในตระกูล CAR-15/GAU-5 ที่สร้างชื่อเสียงไว้ไม่น้อยในช่วงสงครามเวียดนาม ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาร้ายแรงมากก็ตาม
ซึ่งสิ่งนี้ก็จะทำให้มีการว่างเว้นจากการพัฒนา AR-15 ในแบบลำกล้องสั้นมากๆ ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลสหรัฐฯไปนานพอสมควรเลยทีเดียว
แต่โชคดีที่มีการเรียกร้องโดย SOCOM ให้มีการพัฒนาปรับปรุง M4/M4A1 ที่มีอยู่เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในระดับการปฏิบัติงานของหน่วยรบพิเศษทั้งหลาย แต่แล้วก็เหมือนกับความโชคดีในความโชคร้าย คำร้องขอของ SOCOM ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะ M4/M4A1 ที่มีใช้ในเหล่าอื่นไม่เคยได้ประสบปัญหาการใช้งานแบบเดียวกับที่ SOCOM เจอเลย(SOCOM ใช้งานหนักกว่าชาวบ้านแบบสุดๆมี แบบที่เรียกว่ายิง M4 เร็วและนานพอๆกับปืนกลเบาจนลำกล้องระเบิด)
ด้วยเหตุนี้นั้น SOCOM จึงต้องออกไปตั้งโครงการจัดหาและพัฒนาของตนเองขึ้นมาเพื่อแสวงหาปืนตามที่ตนเองต้องการ อันเป็นจุดกำเนิดของ SOPMOD (Special Operations Peculiar MODification) ในตำนานที่พัฒนาโดย Naval Surface Warfare Center, Crane Division (NAVSEA Crane)นั่นเอง ที่ในเวลาต่อมาเหล่าอื่นๆของกองทัพสหรัฐฯก็จะนำความสำเร็จที่ได้จากการพัฒนา SOPMOD นี้มาใช้งานในส่วนของตนเองด้วย
แล้ว SOPMOD นั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับการพัฒนา MK18 ละ?
คำตอบนั้นคือ หนึ่งในความต้องการพื้นฐานของ SOPMOD ได้จัดให้มีการพัฒนา Carbine Reliability Parts Set (CRPS) โดยเป้าหมายคือการทำให้เข้ากันได้ของชิ้นส่วนหลักๆของปืนและพัฒนา ergonomic พัฒนาโครงปืนส่วนบน(Upper Receiver)แบบใส่ลงไปในโครงปืนส่วนล่างของ M4A1 และใช้งานได้ทันทีเลย ซึ่งความต้องการของ SOCOM นั้นได้กำหนดไว้เป็น 3 แบบ คือ
1.Special Purpose Receiver(SPR) เป็นโครงปืนส่วนบนที่ออกแบบมาเพื่อทำให้สามารถเพิ่มระยะหวังผลและยิงได้แบบเเม่นยำระดับ DMR ในระยะหวังผลที่ 600-800 เมตร มีลำกล้องระหว่าง 18-23 นิ้ว และใช้งานกับกระสุนแบบใหม่ที่ออกมาอย่างน้ำหนักตั้งแต่ 73-88 เกรน
2.Over the Beach Receiver(OTBR) เป็นการเสริมความแข็งแรงให้โครงปืนส่วนบนทนกับแรงดันได้สูงขณะที่ใช้กระสุนแรงดันสูงในสภาพที่ปืนยังมีน้ำขังอยู่อย่างเช่น พึ่งโผล่ออกมาเหนือน้ำและยิงทันที
3.Close Quarter Battle Receiver(CQBR) เป็นโครงปืนส่วนบนที่มีการตัดลำกล้องให้ลดเหลือเพียงแค่ 10-12 นิ้ว โดยแนวคิดคือ สร้างปืนที่ความยาวในระดับพอๆกับปืนกลมือ แต่ยิงกระสุนของปืนไรเฟิลมาตรฐาน(เพื่อใช้งานทดแทนกับปืนกลมือแบบ MP5 9mm ในหน่วยรบพิเศษที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน)
แน่นอนว่าในช่วงเวลา ณ ขณะนี้กองทัพบกก็ยังปฏิเสธคำร้องขอที่จะปรับปรุง M4/M4A1 ที่มีอยู่ SOCOM เลยได้สั่งการให้ NAVSEA Crane จัดการปรับปรุงเอง โดยการนำโครงปืนส่วนบนของ M4/M4A1 ที่ตนเองมีอยู่นั้นมาตัดลำกล้องให้สั้นซะเองเหลือเพียง 10.5 นิ้ว และติดตั้งตัวลดเสียงและลดแสงแบบ QD(Quick Detach) ของ Knight's Armament Company รวมไปถึงระบบรางแบบ RIS ของ Knight's Armament Company เช่นกัน แต่ว่าศูนย์เล็งสำรองแบบถอดได้นั้นใช้ของ Karl Lewis แห่ง LMT (Lewis Machine & Tool Co.)
ไม่นานต่อมาเมื่อ Colt ได้ทราบข่าวของการพัฒนานี้เลยตัดสินใจที่จะร่วมมือกับ NAVSEA Crane ด้วย และได้นำเอาแบบที่ทำไว้นี้มาผลิตจากโรงงานของ Colt เองโดยทั้งหมดทุกส่วนของโครงปืนส่วนบน แต่ลักษณะของลำกล้องนั้นใช้แบบมาตรฐาน M4 ธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่แบบลำกล้องหนาแบบ M4 SOCOM และความยาวลำกล้องเหลือเพียง 10.3 นิ้วเท่านั้น และตามมาด้วยการผลิตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโครงปืนส่วนบนและส่วนล่างจาก Colt ด้วย
แต่ MK18 ส่วนใหญ่ที่พบว่ามีการใช้งานนั้นถ้าไม่ได้นำโครงปืนส่วนล่างของ M4/M4A1 (ที่เป็นของใหม่และมีจำนวนน้อยในคลังของกองทัพเรือ) ก็จะเป็นการนำเอาโครงปืนส่วนล่างของ M16A1 ที่เหลืออยู่มากในคลังของกองทัพเรือมาใช้แทน โดยใน MK18 บางกระบอกนั้นถึงขั้นมีการเอาโคร่งลูกเลื่อน(Bolt carrier)แบบเก่าของ M16A1 มาใช้แต่ปรับปรุงเปลี่ยนหัวลูกเลื่อน(Bolt head)ใหม่แทน ส่วนพานท้ายนั้นก็เปลี่ยนเป็นแบบมีช่องเก็บถ่านสำรองและปรับตำแหน่งได้ 6 ตำแหน่ง ซึ่งแตกต่างจากของ M4 ที่ปรับได้เพียง 4 ตำแหน่งเท่านั้น
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพของ MK18 นั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับ CAR-15/GAU-5 มาก แต่วาความเร็วปากลำกล้องลดลงเหลือเพียงแค่ 2,400-2,500 ฟุตเท่านั้น และมีทั้งแสง เขม่าควัน แรงดันค่อนข้างสูงมากเมื่อถอดชุดลดแสงและลดเสียงออก ซึ่งความเร็วต่ำเช่นนี้จะเป็นปัญหาอย่างมากต่อกระสุนแบบ M855 หรือ M193 เพราะไม่อาจทำให้กระสุนทุกๆนัดที่ยิงนั้นหมุนคว้างและแตกเป็นเศษเล็กๆเวลากระทบเป้าได้ นอกจากนี้ความแม่นยำยังแย่ลงอีกด้วย แต่โชคดีที่ใน ณ ขณะเวลาเดียวกันนั้น SOCOM ก็ได้มีแผนจัดหากระสุนพิเศษสำหรับ SPR ของตน นั้นก็จะออกมาเป็น MK262 Mod 1 อันโด่งดังนั้นเอง ซึ่งกระสุนชนิดนี้นั้นสามารถชดเชยทั้งเรื่องความแม่นยำและการสร้างบาดแผลได้เป็นอย่างดีใน MK18 ทำให้กลายเป็นปืนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จนหน่วยงานและเหล่าทัพอื่นของกองทัพสหรัฐฯก็ได้นำ MK18 มาใช้งานในหน่วยของตนด้วยเช่นกันเหมือนกับ SOPMOD อื่นๆของ SOCOM ที่ประสบความสำเร็จ
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 583 ***MK18 CQBR *** GAU-5/CAR-15 แห่งศตวรรษที่ 21(ที่ไม่ล้มเหลว)
https://www.facebook.com/FirearmsHistory/
*เขียนในปี 2017
เมื่อนึกถึงปืนในตระกูล AR-15/M16 ที่ตัดลำกล้องสั้นมากๆเเล้ว ส่วนใหญ่ก็คนจะนึกถึงปืนในตระกูล CAR-15/GAU-5 ที่สร้างชื่อเสียงไว้ไม่น้อยในช่วงสงครามเวียดนาม ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาร้ายแรงมากก็ตาม
ซึ่งสิ่งนี้ก็จะทำให้มีการว่างเว้นจากการพัฒนา AR-15 ในแบบลำกล้องสั้นมากๆ ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลสหรัฐฯไปนานพอสมควรเลยทีเดียว
แต่โชคดีที่มีการเรียกร้องโดย SOCOM ให้มีการพัฒนาปรับปรุง M4/M4A1 ที่มีอยู่เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในระดับการปฏิบัติงานของหน่วยรบพิเศษทั้งหลาย แต่แล้วก็เหมือนกับความโชคดีในความโชคร้าย คำร้องขอของ SOCOM ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะ M4/M4A1 ที่มีใช้ในเหล่าอื่นไม่เคยได้ประสบปัญหาการใช้งานแบบเดียวกับที่ SOCOM เจอเลย(SOCOM ใช้งานหนักกว่าชาวบ้านแบบสุดๆมี แบบที่เรียกว่ายิง M4 เร็วและนานพอๆกับปืนกลเบาจนลำกล้องระเบิด)
ด้วยเหตุนี้นั้น SOCOM จึงต้องออกไปตั้งโครงการจัดหาและพัฒนาของตนเองขึ้นมาเพื่อแสวงหาปืนตามที่ตนเองต้องการ อันเป็นจุดกำเนิดของ SOPMOD (Special Operations Peculiar MODification) ในตำนานที่พัฒนาโดย Naval Surface Warfare Center, Crane Division (NAVSEA Crane)นั่นเอง ที่ในเวลาต่อมาเหล่าอื่นๆของกองทัพสหรัฐฯก็จะนำความสำเร็จที่ได้จากการพัฒนา SOPMOD นี้มาใช้งานในส่วนของตนเองด้วย
แล้ว SOPMOD นั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับการพัฒนา MK18 ละ?
คำตอบนั้นคือ หนึ่งในความต้องการพื้นฐานของ SOPMOD ได้จัดให้มีการพัฒนา Carbine Reliability Parts Set (CRPS) โดยเป้าหมายคือการทำให้เข้ากันได้ของชิ้นส่วนหลักๆของปืนและพัฒนา ergonomic พัฒนาโครงปืนส่วนบน(Upper Receiver)แบบใส่ลงไปในโครงปืนส่วนล่างของ M4A1 และใช้งานได้ทันทีเลย ซึ่งความต้องการของ SOCOM นั้นได้กำหนดไว้เป็น 3 แบบ คือ
1.Special Purpose Receiver(SPR) เป็นโครงปืนส่วนบนที่ออกแบบมาเพื่อทำให้สามารถเพิ่มระยะหวังผลและยิงได้แบบเเม่นยำระดับ DMR ในระยะหวังผลที่ 600-800 เมตร มีลำกล้องระหว่าง 18-23 นิ้ว และใช้งานกับกระสุนแบบใหม่ที่ออกมาอย่างน้ำหนักตั้งแต่ 73-88 เกรน
2.Over the Beach Receiver(OTBR) เป็นการเสริมความแข็งแรงให้โครงปืนส่วนบนทนกับแรงดันได้สูงขณะที่ใช้กระสุนแรงดันสูงในสภาพที่ปืนยังมีน้ำขังอยู่อย่างเช่น พึ่งโผล่ออกมาเหนือน้ำและยิงทันที
3.Close Quarter Battle Receiver(CQBR) เป็นโครงปืนส่วนบนที่มีการตัดลำกล้องให้ลดเหลือเพียงแค่ 10-12 นิ้ว โดยแนวคิดคือ สร้างปืนที่ความยาวในระดับพอๆกับปืนกลมือ แต่ยิงกระสุนของปืนไรเฟิลมาตรฐาน(เพื่อใช้งานทดแทนกับปืนกลมือแบบ MP5 9mm ในหน่วยรบพิเศษที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน)
แน่นอนว่าในช่วงเวลา ณ ขณะนี้กองทัพบกก็ยังปฏิเสธคำร้องขอที่จะปรับปรุง M4/M4A1 ที่มีอยู่ SOCOM เลยได้สั่งการให้ NAVSEA Crane จัดการปรับปรุงเอง โดยการนำโครงปืนส่วนบนของ M4/M4A1 ที่ตนเองมีอยู่นั้นมาตัดลำกล้องให้สั้นซะเองเหลือเพียง 10.5 นิ้ว และติดตั้งตัวลดเสียงและลดแสงแบบ QD(Quick Detach) ของ Knight's Armament Company รวมไปถึงระบบรางแบบ RIS ของ Knight's Armament Company เช่นกัน แต่ว่าศูนย์เล็งสำรองแบบถอดได้นั้นใช้ของ Karl Lewis แห่ง LMT (Lewis Machine & Tool Co.)
ไม่นานต่อมาเมื่อ Colt ได้ทราบข่าวของการพัฒนานี้เลยตัดสินใจที่จะร่วมมือกับ NAVSEA Crane ด้วย และได้นำเอาแบบที่ทำไว้นี้มาผลิตจากโรงงานของ Colt เองโดยทั้งหมดทุกส่วนของโครงปืนส่วนบน แต่ลักษณะของลำกล้องนั้นใช้แบบมาตรฐาน M4 ธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่แบบลำกล้องหนาแบบ M4 SOCOM และความยาวลำกล้องเหลือเพียง 10.3 นิ้วเท่านั้น และตามมาด้วยการผลิตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโครงปืนส่วนบนและส่วนล่างจาก Colt ด้วย
แต่ MK18 ส่วนใหญ่ที่พบว่ามีการใช้งานนั้นถ้าไม่ได้นำโครงปืนส่วนล่างของ M4/M4A1 (ที่เป็นของใหม่และมีจำนวนน้อยในคลังของกองทัพเรือ) ก็จะเป็นการนำเอาโครงปืนส่วนล่างของ M16A1 ที่เหลืออยู่มากในคลังของกองทัพเรือมาใช้แทน โดยใน MK18 บางกระบอกนั้นถึงขั้นมีการเอาโคร่งลูกเลื่อน(Bolt carrier)แบบเก่าของ M16A1 มาใช้แต่ปรับปรุงเปลี่ยนหัวลูกเลื่อน(Bolt head)ใหม่แทน ส่วนพานท้ายนั้นก็เปลี่ยนเป็นแบบมีช่องเก็บถ่านสำรองและปรับตำแหน่งได้ 6 ตำแหน่ง ซึ่งแตกต่างจากของ M4 ที่ปรับได้เพียง 4 ตำแหน่งเท่านั้น
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพของ MK18 นั้นก็ถือว่าใกล้เคียงกับ CAR-15/GAU-5 มาก แต่วาความเร็วปากลำกล้องลดลงเหลือเพียงแค่ 2,400-2,500 ฟุตเท่านั้น และมีทั้งแสง เขม่าควัน แรงดันค่อนข้างสูงมากเมื่อถอดชุดลดแสงและลดเสียงออก ซึ่งความเร็วต่ำเช่นนี้จะเป็นปัญหาอย่างมากต่อกระสุนแบบ M855 หรือ M193 เพราะไม่อาจทำให้กระสุนทุกๆนัดที่ยิงนั้นหมุนคว้างและแตกเป็นเศษเล็กๆเวลากระทบเป้าได้ นอกจากนี้ความแม่นยำยังแย่ลงอีกด้วย แต่โชคดีที่ใน ณ ขณะเวลาเดียวกันนั้น SOCOM ก็ได้มีแผนจัดหากระสุนพิเศษสำหรับ SPR ของตน นั้นก็จะออกมาเป็น MK262 Mod 1 อันโด่งดังนั้นเอง ซึ่งกระสุนชนิดนี้นั้นสามารถชดเชยทั้งเรื่องความแม่นยำและการสร้างบาดแผลได้เป็นอย่างดีใน MK18 ทำให้กลายเป็นปืนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จนหน่วยงานและเหล่าทัพอื่นของกองทัพสหรัฐฯก็ได้นำ MK18 มาใช้งานในหน่วยของตนด้วยเช่นกันเหมือนกับ SOPMOD อื่นๆของ SOCOM ที่ประสบความสำเร็จ